ตอนที่ 73 ผู้ที่จะตายเป็นรายต่อไป
หย่งไท่ปีที่สิบเอ็ด วันที่สิบเก้าเดือนหก ฟ้าสดใส
หลังจากผ่านการฆ่าล้างมาทั้งคืน เมืองหลวงที่กว้างใหญ่ก็เงียบสงัดราวกับเมืองร้าง
นอกจากทหารกองทัพเหนือที่ก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง สำรวจตามแต่ละถนนหนทางแล้ว บนถนนไม่เห็นประชาชนแม้แต่คนเดียว
ร้านค้าต่างปิดประตูสนิท
หากภายในจวนไม่มีอาหาร อีกทั้งไม่สามารถออกมาซื้อได้จะทำอย่างไร
ทำใจ!
อดอาหารสามวันห้าวันไม่มีทางตาย
ด้านหลังประตูที่ปิดสนิท ดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองผ่านช่องว่างระหว่างประตูเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก
คนของอี้จวง[1]กำลังขนย้ายซากศพ
ศพแล้วศพเล่าถูกขนขึ้นเกวียน กองจนกลายเป็นภูเขา ถูกขนย้ายออกนอกเมืองไปอย่างช้าๆ
มีนักการถือถังน้ำ กำลังชำระล้างคราบเลือดบนถนน
หลังจากที่ชำระล้างหลายครั้ง ร่องรอยของการเข่นฆ่าก็หายไป
ราวกับการฆ่าล้างเมื่อคืนเป็นเพียงฝันร้าย
มีเพียงบริเวณพระราชวัง จวนของเหล่าท่านอ๋องยังคงทิ้งร่องรอยหลังจากการถูกเพลิงใหญ่เผาไหม้ เผยให้เห็นถึงความพังพินาศของเมื่อคืน
คานของตัวเรือนที่ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านตกลงมา
โต๊ะเก้าอี้และคานที่ยังไม่ได้ถูกเผาจนมอดไหม้ยังมีควันลอยขึ้นมา
มีนักการถือน้ำเปล่าสาดลงไป…
ซู่!
ควันลอยขึ้นบนฟ้า
ฤดูร้อน ซากศพไม่อาจปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้งได้ เพราะอาจเกิดโรคระบาด
องครักษ์ซิ่วอี[2] แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย พวกเขาโพกผ้าบนศีรษะ กำลังรื้อค้นซากปรักหักพังหาซากศพที่ถูกทับไว้ด้านล่าง ก่อนจะนำทั้งหมดมากองไว้บนถนน รออี้จวงใช้เกวียนเข็นออกไปเพื่อกลบที่นอกเมือง
มันเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยมาก
“ตายหมดแล้วใช่หรือไม่!”
ด้านหนึ่งรื้อค้นหาซากศพ ด้านหนึ่งบ่นเสียงเบา
เหล่าองครักษ์ซิ่วอีต่างเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ ความโกลาหลเมื่อคืนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย
แต่พวกเขากลับต้องมาจัดการความเรียบร้อย
พวกกองทัพเหนือที่เลวทราม สนใจแค่การฆ่าคนแต่ไม่ช่วยฝัง
อากาศร้อนเพียงนี้ ซากศพไม่อาจตากแดดได้!
ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นมาค้นหาซากศพทั่วทุกหนแห่งตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง
ผู้คนอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อเห็นจวนท่านอ๋องที่เคยงดงามโอ่อ่านี้กลายเป็นเถ้าถ่านภายในค่ำคืน
“พระบรมวงศานุวงศ์ที่สูงส่งแล้วอย่างไร สุดท้ายก็กลายเป็นวิญญาณใต้ดาบ”
“ทั้งที่เป็นท่านอ๋องกลับต้องสูญเสียชีวิตภายในค่ำคืนเดียว เฮ้อ…”
“กลางวันแล้ว การประชุมในท้องพระโรงยังไม่สิ้นสุด ไม่รู้สถานการณ์ภายในพระราชวังจะเป็นอย่างไร พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทรงเรียกองครักษ์จินอู่เข้าไปจับคนในวังด้วยหรือไม่”
“ไม่มีทาง! เพิ่งสังหารพระบรมวงศานุวงศ์ จะสังหารขุนนางราชสำนักอีกหรือ ไม่กลัวเกิดการก่อกบฏหรือ”
องครักษ์ซิ่วอีทั้งหลายพึมพำเสียงเบา
ในฐานะข้าราชการ พวกเขากินเสบียงจากราชสำนัก ข่าวย่อมแม่นยำกว่าสามัญชนทั่วไป
พวกเขาเดาว่าสามัญชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น ทุกคนต่างกำลังฉงน
“เอ๊ะ คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่!”
เมื่อยกคานหนึ่งออก เผยให้เห็นคนที่ถูกทับอยู่ด้านล่าง อีกฝ่ายยังสามารถกะพริบตาได้ เขายังมีชีวิตอยู่จริงด้วย
องครักษ์ซิ่วอีคนแรกถาม “ทำอย่างไร”
พวกเขามีหน้าที่มาขุดหาคนตาย เรื่องของคนเป็นไม่เกี่ยวกับองครักษ์ซิ่วอี
องครักษ์ซิ่วอีคนที่สอง “มอบให้กองทัพเหนือ จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเขา”
องครักษ์ซิ่วอีคนแรกพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
องครักษ์ซิ่วอีคนที่สามใจอ่อน พูดกับคนที่ถูกทับอยู่ใต้คานว่า “เจ้าอย่าโทษพวกข้า! พวกข้าแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไร้หนทางเช่นเดียวกัน”
คนผู้นั้นอ้าปาก ส่งเสียงแหบพร่า “อย่าส่งข้าให้กองทัพเหนือ ส่งให้กองทัพใต้”
องครักษ์ซิ่วอีทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
องครักษ์ซิ่วอีคนแรกตอบ “ได้ พวกเราจะส่งตัวเจ้าให้กองทัพใต้ เจ้าจะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับพวกข้า”
คนผู้นั้นถูกดึงออกมา ขาของเขาถูกทับจนหัก มิน่าถึงออกมาไม่ได้
บริเวณใกล้เคียงมีคนของกองทัพใต้อยู่ องครักษ์ซิ่วอีสองคนหามเขาส่งตัวให้แก่กองทัพใต้
คนผู้นั้นอยู่ในมือของกองทัพใต้แล้ว เขารายงานตัวทันทีหลังจากได้พบกับเสี้ยวเว่ย[3] ท่านหนึ่ง “ข้าจะพบนายน้อยอี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
“ข้าเป็นคนของนายน้อยอี้ ปฏิบัติงานตามคำสั่ง แต่ฝีมือข้าไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นองครักษ์ของจวนอ๋อง”
“รอก่อน! นายน้อยเข้าไปพระราชวังแต่เช้า เวลานี้ยังไม่กลับมา!”
…
ในตำหนักจินหลวน การประชุมในท้องพระโรงดำเนินมากว่าสามชั่วยามแล้ว อีกทั้งยังไม่มีวี่แววจะจบสิ้น
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการต่างกำลังอภิปรายด้วยความเที่ยงธรรม
เริ่มจากโจมตีฮ่องเต้ที่เข่นฆ่าบรรดาท่านอ๋องโดยไม่ผ่านการหารือ
จนกระทั่งต่อมาเริ่มถวายคำแนะนำให้ฮ่องเต้ใช้โอกาสนี้เรียกคืนพื้นที่ศักดินา อากรส่วย อำนาจทางการทหารของบรรดาท่านอ๋อง
กักขังบรรดาท่านอ๋องไว้ในเมืองหลวง ไม่ให้ออกจากเมืองหลวงได้หากไม่มีพระราชโองการ
สิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ล้วนมีพระคลังและสำนักเซ่าฝู่รับผิดชอบ
หากเรียกคืนพื้นที่ศักดินาแล้วให้ราชสำนักส่งขุนนางไปดูแลจัดการ ย่อมหมายความว่าราชสำนักจะมีตำแหน่งเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ตำแหน่งละคน มีตำแหน่งเพิ่มขึ้นย่อมมีบัณฑิตรับราชการมากขึ้น
สำหรับขุนนางฝ่ายราชการแล้วเป็นเรื่องที่ดีมาก!
ในเมื่อเป็นเรื่องที่ดี ย่อมต้องไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ โน้มน้าวให้ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย
เหล่าขุนนางฝ่ายทหารต่างเงียบสนิท
เรื่องใหญ่เพียงนี้ ฮ่องเต้กลับปิดบังทุกคน มีเพียงกองทัพเหนือและกองทัพใต้มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหว
คราวหน้าดาบในมือของฮ่องเต้จะเพ่งเล็งมาที่แม่ทัพทั่วแผ่นดินหรือไม่
เรื่องเมื่อคืนช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เหล่าท่านอ๋องถูกประหารโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการซานฝ่าซือ[4] พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีโทษ มีเพียงการตัดสินใจของฮ่องเต้
เหล่าแม่ทัพมองฮ่องเต้ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า ภายในใจครุ่นคิด สมกับที่มีความเด็ดเดี่ยว
ฮ่องเต้องค์นี้อันตรายเกินไป
ท่านอ๋องไม่อาจมีชีวิตเล็ดรอด ชีวิตของเหล่าแม่ทัพยิ่งเปรียบเสมือนหมูหรือแพะที่สามารถเข่นฆ่าได้ทุกเวลา
แม่ทัพจำนวนมากต่างแลกเปลี่ยนสายตากันภายใต้ความเงียบ
ทุกคนต่างมีความกังวลและความคิดแบบเดียวกัน
ฮ่องเต้อยุติธรรมก็อย่าโทษทุกคนไร้เยื่อใย
เหล่าขุนนางฝ่ายราชการยังคงอภิปรายอย่างมีอรรถรส ทั้งอ้างอิงประวัติศาสตร์ทั้งบรรยายประโยชน์และผลเสีย…
ฮ่องเต้หย่งไท่หลับตาลงช้าๆ ราวกับเหน็ดเหนื่อยจนอยากจะบรรทม
ซุนปังเหนียนสังเกตท่าทีของฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นฮ่องเต้หลับตาลง เขาจึงทูลถามขึ้นเสียงเบา
“ฝ่าบาท เลยเวลาเที่ยงมาแล้ว จะทรงจบสิ้นการประชุมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตอบรับด้วยเสียงขึ้นจมูก “อืม”
ซุนปังเหนียนชะงัก ก่อนจะทูลต่อ “ร่างของท่านอ๋องทั้งหลายยังรอคอยพระราชโองการของฝ่าบาทว่าจะทรงจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างของเหล่าท่านอ๋องจะส่งกลับไปฝังในพื้นที่ศักดินา หรือว่าเลือกที่ฝังในสุสานหลวง
เรื่องนี้ เถาฮองเฮาไม่อาจตัดสินได้ จึงต้องขอโปรดให้ฮ่องเต้ตัดสินใจ
ฮ่องเต้ลืมตาขึ้น สายตากวาดผ่านใบหน้าของขุนนางทุกคน
เหล่าขุนนางมีความคิดอย่างไร ฮ่องเต้กระจ่างใจอย่างมาก
เขาลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ขุนนางฝ่ายราชการที่กำลังอภิปรายหยุดชะงักราวกับถูกบีบคอ พวกเขาทำหน้าฉงน
ขุนนางทุกคนต่างจ้องมองฮ่องเต้ที่ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน
ฮ่องเต้กระแอมไอเสียงเบา “เรื่องการเรียกคืนพื้นที่ศักดินา พวกเจ้าวางแผนมาให้ข้าดูก่อนค่อยหารือกันวันหลัง เลิกประชุม!”
“น้อมส่งเสด็จ!”
ฮ่องเต้ก้าวเท้าเดินจากไป เหล่าขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารต่างโน้มตัวส่งเสด็จ
เมื่อฮ่องเต้จากไป ตำหนักจินหลวนก็กลายเป็นตลาดสดในทันที
เหล่าขุนนางต่างหารือกัน หนึ่งคนหนึ่งความคิด ไม่อาจเจรจากันได้
ขุนนางที่เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรง นอกจากขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารแล้ว ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์จำนวนหนึ่ง
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หวาดระแวงที่สุด
ฮ่องเต้สังหารเหล่าท่านอ๋อง พระบรมวงศานุวงศ์อย่างพวกเขาจะห่างจากความตายอีกไกลหรือ
พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายรวมตัวกันกระซิบกระซาบ
“ฝ่าบาททรงโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน!”
“ไม่เพียงโหดเหี้ยม แต่บ้าคลั่งอย่างมาก ไม่สนเยื่อใยของคนตระกูลเดียวกัน”
“คนของตระกูลเถาสังหารตระกูลของพวกเรา ตระกูลเถาสมควรตาย”
“ตระกูลเถาปฏิบัติตามรับสั่ง หากไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาท ตระกูลเถาจะกล้าใช้กองทัพเหนือสังหารเหล่าท่านอ๋องได้อย่างไร”
“ตระกูลเถาเป็นดาบ เป็นนกเหยี่ยวในมือของฝ่าบาท”
“ไม่อาจปล่อยตระกูลเถาไปได้”
“ใช่ ไม่อาจปล่อยตระกูลเถาไปได้”
บังเอิญอย่างมาก เหล่าแม่ทัพก็มีความคิดนี้ ไม่อาจปล่อยตระกูลเถาไปได้
สถานการณ์ตึงเครียด พระบรมวงศานุวงศ์ไม่กล้าติดต่อกับแม่ทัพอย่างเปิดเผย พวกเขาไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ
ทั้งสองฝ่ายหารือกันว่าจะล้มตระกูลเถาอย่างไร
ขุนนางฝ่ายราชการไม่ได้เข้าร่วม พวกเขาเอาแต่จับจ้องพื้นที่ศักดินาของเหล่าท่านอ๋อง ครุ่นคิดว่าจะแย่งชิงพื้นที่เหล่านี้กลับมายังราชสำนักได้อย่างไร อีกทั้งควรส่งขุนนางท่านใดไปดูแล
ขุนนางฝ่ายราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งแม่ทัพกลายเป็นขั้วตรงข้ามซึ่งกันและกัน
ขุนนางฝ่ายราชการต้องการให้ฮ่องเต้ประหารเหล่าท่านอ๋องทั้งหมด ต่อจากนี้ฮ่องเต้อาศัยเพียงขุนนางฝ่ายราชการดูแลแผ่นดิน
พระบรมวงศานุวงศ์ แม่ทัพล้วนเป็นกลุ่มคนที่อยู่เฉยไม่ได้ สมควรประหารให้หมด
ในตำหนักจินหลวน ขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารต่างมองค้อนอีกฝ่าย
หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ บนราชสำนักคงไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแล้ว
…
ฮ่องเต้เสด็จมาตำหนักเว่ยยาง
วันนี้เถาฮองเฮาอารมณ์ดีมาก
แต่คำนึงจากสถานการณ์ในเวลานี้ นางจึงไม่ได้แต่งกายสง่างาม หากแต่สวมชุดเรียบง่าย ทำให้ฮ่องเต้ชอบใจมาก
เขาชอบฮองเฮาที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านและเรียบง่าย ราวกับกลับสู่สมัยที่พวกเขายังไร้เดียงสา
เวลานั้นฮองเฮาช่างงดงาม ทำให้คนยากที่จะลืมเลือนไปทั้งชีวิต
ฮ่องเต้จูงมือของเถาฮองเฮานั่งลงบนพื้นด้วยกัน
นางในถวายอาหารขึ้นมา
เถาฮองเฮาอารมณ์ดีอย่างมาก “หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทยังไม่ได้เสวยพระกายาหาร จึงให้ห้องเครื่องเตรียมเอาไว้ ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานเพคะ”
“ฮองเฮามีใจแล้ว!”
ฮ่องเต้เสวยพระกายาหารด้วยความเงียบ เถาฮองเฮาถอยไปอยู่ด้านข้าง ปรนนิบัติฮ่องเต้ด้วยตนเอง
เมื่อฮ่องเต้เสวยจนเกือบอิ่ม นางจึงตักน้ำแกงชามหนึ่งวางไว้ข้างมือฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเสวยน้ำแกงเพคะ ห้องเครื่องต้มน้ำแกงไก่นี้ด้วยไฟอ่อน ต้มมานานห้าถึงหกชั่วยาม บำรุงร่างกายที่สุด”
ฮ่องเต้ตอบรับ “อืม” ก่อนจะดื่มทีละคำ
เถาฮองเฮาพูดเสียงเบา “เมื่อตกดึก ภายในเมืองคงจัดการได้สะอาดจนไม่หลงเหลือภัยคุกคามใดแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้วางชามน้ำแกงลง กวาดตามองเถาฮองเฮา “ฮองเฮามีใจแล้ว! เรื่องในครานี้ โชคดีที่มีฮองเฮาและพี่ชายช่วยเหลือ”
เมื่อคืนคนที่นำกองทัพเหนือสังหารเหล่าท่านอ๋องก็คือนายท่านใหญ่ตระกูลเถา
ทหารทั้งสามค่ายของกองทัพเหนือที่อยู่เฝ้าเมืองหลวงยอมจำนนต่อตระกูลเถามานานแล้ว
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาสั่งการกองทัพเหนือด้วยตนเองราวกับแขนสั่งการนิ้วมือ เขารู้สึกดีอย่างมากที่ได้กอบกุมชะตาชีวิตของเหล่าท่านอ๋องไว้ในมือของตนเอง
เถาฮองเฮาเม้มปากยิ้ม “แบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท เป็นเรื่องที่หม่อมฉันและตระกูลเถาสมควรทำเพคะ แต่ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งไม่รู้สมควรพูดหรือไม่”
“เรื่องใดหรือ ฮองเฮาพูดมาเถิด”
เถาฮองเฮาพูดอย่างครุ่นคิด “ท่านอ๋องมีหกท่าน แต่หาร่างพบเพียงห้าท่านเพคะ”
ฮ่องเต้หรี่ตาลง “ขาดร่างของผู้ใด”
เถาฮองเฮาพูด “ขาดร่างของท่านอ๋องตงผิงเพคะ ใต้เท้าเถาปิดเมืองหลวง ค้นหาทั้งเมืองแล้ว แต่หม่อมฉันคิดว่าท่านอ๋องตงผิงได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้วเพคะ เมื่อวานได้ยินว่ามีคนพบเซียวอี้นำคนที่มีลักษณะคล้ายท่านอ๋องตงผิงไปยังทางใต้ของเมืองด้วยเพคะ”
[1] อี้จวง หมายถึง สถานที่ที่เก็บโลงศพชั่วคราว
[2] องครักษ์ซิ่วอี หมายถึง องครักษ์หรือทหารที่ทำหน้าที่จับผู้ร้ายในสมัยโบราณ
[3] เสี้ยวเว่ย หมายถึง ตำแหน่งยศร้อยโทในกองทัพ
[4] ซานฝ่าซือ หมายถึง กระบวนการกฎหมายที่แบ่งออกเป็นสามฝ่าย