ตอนที่ 133 ยื่นเงินยื่นเสบียง
จ้งซูอวิ้นเขียนจดหมายให้กำลังใจองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้
นางไหว้วานพี่ใหญ่จ้งซูหาวส่งมอบจดหมาย
จ้งซูหาวจ้องมองนาง “น้องหญิง เจ้ามีความคิดต่อองค์ชายสามหรือ!”
จ้งซูอวิ้นกัดริมฝีปากเล็กน้อย ก้มหน้าพูดเสียงเบา “มีความคิดต่อเขาไม่ดีหรือ”
จ้งซูหาวขมวดคิ้ว “ดีอย่างไร! ระยะนี้ภายในวังหลวงบรรยากาศอึมครึม แต่ก่อนเจี่ยซูเฟยหยิ่งผยองเพียงใด สุดท้ายก็ต้องตาย เจ้าไม่เห็นหรือ เจ้าแต่งกับเขาจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร เจ้าฟังข้า อย่าได้สมรสกับองค์ชายเด็ดขาด มิฉะนั้นจะไม่มีจุดจบที่ดี”
“ท่านพี่อย่าพูดเหลวไหล! องค์ชายสามไม่ใช่คนแบบนั้น”
“เจ้าบอกข้ามาว่าเขาเป็นคนอย่างไร”
“ท่านพี่ ท่านน่ารำคาญเสียจริง! ท่านจะส่งมอบจดหมายแทนข้าหรือไม่”
จ้งซูหาวทำหน้าหมดหนทาง “เอาเถิด เอาเถิด ข้าจะส่งต่อจดหมายให้เจ้า แต่หากเจ้าคิดจะสมรสกับองค์ชายสาม เจ้าต้องข้ามผ่านด่านของท่านแม่เสียก่อน”
“ท่านพูดมากเสียจริง ข้าไม่ได้บอกว่าจะสมรสกับองค์ชายสามเสียหน่อย”
หึ!
สตรีมักจะปากไม่ตรงกับใจ
จ้งซูหาวแสร้งทำเป็นออกจากจวน จากนั้นวนกลับเข้าจวนอย่างเงียบๆ เพื่อไปเข้าพบองค์หญิงเฉิงหยางผู้เป็นมารดา
“ท่านแม่ น้องสามเหมือนจะเกิดความชอบต่อองค์ชายสาม นางเขียนจดหมายให้ข้าส่งต่อ”
องค์หญิงเฉิงหยางขมวดคิ้ว “เจ้ามั่นใจหรือ”
“ข้าซักถามน้องหญิงต่อหน้า นางไม่ได้ปฏิเสธ อีกทั้งยังหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง พูดมากน่ารำคาญ”
องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจ “ถึงแม้การอภิเษกกับองค์ชายสามจะเป็นเรื่องดี แต่เกรงว่าเรื่องดีนี้จะไม่ตกมาถึงซูอวิ้น”
“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร” จ้งซูหาวถามอย่างระมัดระวัง
องค์หญิงเฉิงหยางเลิกคิ้วพลันยิ้ม “ซูอวิ้นอยากอภิเษกกับองค์ชายสามใช่ว่าจะไม่ได้ สิ่งสำคัญคือจะมั่นใจได้อย่างไรว่าองค์ชายสามจะมอบสิ่งที่ดีให้ซูอวิ้นทั้งหมด”
จ้งซูหาวทำหน้าฉงน พลางถาม “ท่านแม่ ต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้องค์ชายสามแทนน้องหญิงหรือไม่”
องค์หญิงเฉิงหยางพยักหน้า “ทำตามที่น้องสาวของเจ้าบอก ส่งจดหมายไปให้องค์ชายสามเสีย เรื่องการตายของเถาชี องค์ชายสามล้มทรุดลง เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา มีเวลาก็ปลอบเขาหน่อย จำไว้ อย่าได้พูดถึงน้องสาวของเจ้าต่อหน้าเขา”
“เพราะเหตุใด”
“เจ้าโง่หรือ เถาชีเพิ่งจากไป เวลานี้เจ้าเอ่ยถึงซูอวิ้นต่อหน้าองค์ชายสาม เจ้าจะให้องค์ชายสามคิดอย่างไร ไม่แน่ว่าเขาอาจเกลียดแค้นซูอวิ้น คิดว่าซูอวิ้นอยากให้เถาชีตาย”
จ้งซูหาวกระจ่างในทันที
เขาพูด “ไม่คิดว่าองค์ชายสามจะเป็นคนที่รักจริง เขารักเถาชีมากถึงเพียงนี้”
องค์หญิงเฉิงหยางได้ยินจึงหัวเราะออกมา “หากเขาไม่รักมากเพียงนี้ บางทีเถาชีอาจไม่ต้องตาย”
จ้งซูหาวทำหน้าฉงน ข้อความที่ต้องการจะสื่อในคำพูดนี้น่ากลัวอย่างมาก
องค์หญิงเฉิงหยางโบกมือ “รีบไปเถิด อย่าได้คิดเหลวไหล ยิ่งอย่าหลุดปากต่อหน้าองค์ชายสาม เถาฮองเฮาเป็นคนโหดเหี้ยม หากเจ้าทำลายแผนการของนาง ระวังนางจะเอาชีวิตเจ้า”
จ้งซูหาวรีบรับปาก “ข้าเข้าใจ ปากของข้าปิดสนิทอย่างมาก ไม่มีทางพูดแม้แต่คำเดียว”
…
การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง หลังจากเก็บเกี่ยวเสบียง นำเสบียงมาตากแห้งแล้ว จากนั้นก็นำเสบียงเก็บเข้าคลังตามลำดับ
เยียนอวิ๋นเกอติดหนี้มหาศาล
เสบียงเข้าคลังทางซ้าย ออกจากคลังทางขวา
นางชำระหนี้ที่ติดค้างสำนักเซ่าฝู่เป็นอันดับแรก
เสบียงนับพันหาบออกเดินทางจากเรือนพักร่ำรวยอย่างเอิกเกริก ลำเลียงไปยังคลังเสบียงของสำนักเซ่าฝู่
ลำเลียงติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าวันจึงสิ้นสุดลง
เยียนสุยถือใบรายการ มุ่งหน้าส่งมอบบัญชีที่สำนักเซ่าฝู่
ปีหน้ายังคงต้องจ่ายหนี้ต่อ
เวลาแห่งการเก็บเกี่ยว ราคาเสบียงค่อนข้างถูก เยียนอวิ๋นเกอใช้เสบียงจ่ายหนี้จึงขาดทุนเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะเป็นนางหรือว่าสำนักเซ่าฝู่ล้วนไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่ลำเลียงเสบียงให้สำนักเซ่าฝู่ เยียนอวิ๋นเกอฉวยโอกาสยัดเสบียงสองพันหาบที่ติดค้างองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินอยู่เข้าไปในขบวนรถของสำนักเซ่าฝู่ ก่อนจะขนส่งไปยังแปลงนาภายในนามขององค์ชายสอง
หลิงฉางจื้อส่งคนมาซื้อเสบียงที่เรือนพักร่ำรวยเป็นเวลาแรก
เขาจ่ายเงินแล้ว แต่กลับไม่รีบขนส่งเสบียงกลับไป
หลิงฉางจื้อต้องการให้เรือนพักร่ำรวยลำเลียงเสบียงไปยังสถานที่ที่กำหนด
เยียนอวิ๋นเกอกำชับเยียนสุย “เพียงแค่ให้เงินมากพอ เราก็ทำตามความต้องการของลูกค้า เรื่องอื่นไม่ต้องถาม ไม่ต้องสนใจ”
เยียนสุยรับคำสั่ง ส่งมอบเสบียงตามเงื่อนไขของตระกูลหลิง
อีกทั้งยังมีเสบียงที่เซียวอี้จองเอาไว้
เสบียงเข้าคลังไปแล้ว แต่คนยังไม่มารับเสบียง เยียนอวิ๋นเกอคิดว่าเซียวอี้ลืมไปแล้วเสียอีก
ในขณะที่นางกำลังคิดเช่นนี้ เซียวอี้ก็เดินทางมาถึงเรือนพักร่ำรวย อีกทั้งยังลำเลียงเสบียงนับพันหาบจากไปในคราวเดียว
ลำเลียงเสบียงในยามดึกอย่างลับๆ ล่อๆ น่ากลัวเสียจริง
เยียนอวิ๋นเกอกำชับเยียนสุย “พวกเราแค่ขายเสบียงเท่านั้น ส่วนคนที่ซื้อเสบียงเป็นผู้ใด ซื้อไปทำอันใด ขนส่งอย่างไร พวกเราอย่าได้ถามแม้แต่น้อย”
เยียนสุยจดจำคำสั่งของเยียนอวิ๋นเกอ ไม่ถามหรือพูดเรื่องที่มากเกินความจำเป็นแม้แต่น้อย
ทั้งสองฝ่ายส่งมอบเสบียงกันอย่างเงียบสงบ
สุดท้ายเป็นปันผลที่ต้องให้บิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้าน
เพื่อเสบียงในรอบนี้ เยียนโส่วจ้านได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขาแอบส่งทหารห้าร้อยนายเดินทางเข้ามาลำเลียงเสบียงในเมืองหลวง
เรื่องที่เกี่ยวข้องมีเยียนอวิ๋นฉวนจัดการ ทั้งการเกณฑ์ผู้ลี้ภัย ทั้งการแบ่งเสบียงเป็นจำนวนน้อย ทั้งการลำเลียงเสบียงจากเรือนพักร่ำรวยออกไปยังเมืองแถบนครบาล
สุดท้ายรวมเสบียงและขนส่งกลับแคว้นซ่างกู่โดยทหารห้าร้อยนาย
สถานที่บุกเบิกที่เยียนอวิ๋นเกอเลือกนี้ช่างเหมาะสมกับลูกค้ารายใหญ่บางคนเสียจริง
พื้นที่บุกเบิกตั้งอยู่บนพื้นที่ชานเมืองของแถบนครบาล มีแม่น้ำที่สามารถเดินเรือ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็สามารถออกจากเขตนครบาลได้
อีกทั้งบริเวณรอบด้านอ้างว้าง ประชากรน้อย ระหว่างทางไม่มีด่าน อำนวยความสะดวกต่อคนอย่างเยียนโส่วจ้านอย่างมาก
ลับๆ ล่อๆ ขนส่งเสบียงออกพื้นที่นอกเขตนครบาลได้อย่างไร้เสียงแม้จะอยู่ภายใต้พระเนตรของฮ่องเต้
…
เสบียงเต็มคลังหายลับไปในชั่วพริบตา เยียนอวิ๋นเกอเจ็บใจอย่างมาก
นางกัดฟันกรอด “คนเหล่านี้ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง ซื้อเสบียงทีละหลายพันหาบ เสบียงถูกพวกเขาซื้อไปจนหมดแล้ว”
ส่วนนางเหลือเพียงเงินเก็บในคลัง
เงินเป็นตะกร้าวางเต็มอยู่ในคลัง
อย่าเห็นว่าเงินมีจำนวนมาก ในชั่วพริบตาเงินเหล่านี้ก็ต้องจ่ายออกไป
เยียนสุยถามนาง “ปีหน้ายังจะค้าขายกับตระกูลหลิงและนายน้อยอี้หรือไม่ขอรับ คุณหนูเองก็ต้องเก็บเสบียงไว้บ้าง”
เยียนอวิ๋นเกอกัดฟัน “บุกเบิกต่อ อย่าได้หยุด ปุ๋ยไม่พอก็ไปสร้างห้องน้ำหลวงในเมืองที่อยู่นอกนครบาล”
เยียนสุยขมวดคิ้ว พูด “ไปเอาปุ๋ยจากเมืองนอกนครบาลต้นทุนสูงเกินไป ไม่คุ้มขอรับ!”
ยุคสมัยนี้มีด่านบนถนนหลวงมากมาย
โดยเฉพาะการลำเลียงสินค้าข้ามเขต แต่ละด่านย่อมมีการเก็บส่วย
แม้แต่อุจจาระก็ยังต้องเก็บ
จะไปหาผู้ใดเจรจากัน
การขนส่งปุ๋ยหนึ่งคันรถ นอกจากเงินค่าอาหารสัตว์แล้ว ยังต้องจ่ายค่าแรงและค่าด่านอีก
เมื่อคำนวณลงมา ต้นทุนจึงสูงเกินไป
ไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่า!
เยียนสุยพูดขึ้นอีกครั้ง “ต้นทุนสูงเพียงนี้ สู้ใช้เงินซื้อปุ๋ยในเมืองหลวงดีกว่า”
เยียนอวิ๋นเกอปวดหัว
เวลานี้เป็นเวลาที่ไม่ควรทำตัวเป็นที่สนใจ นางไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลใหญ่กลุ่มนั้นจริงๆ
นางครุ่นคิด พลันพูด “เนื่องจากทำสงคราม เมืองแถบนครบาลมีผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หาวิธีรวบรวมปุ๋ยจากผู้ลี้ภัยเหล่านี้ นอกจากนี้ยังสามารถเลี้ยงสัตว์อย่างแพะและวัวเพิ่มขึ้น รวบรวมปุ๋ยจากสัตว์มาเลี้ยงดิน”
เยียนสุยจดบันทึกทีละข้อ สุดท้ายยืนยัน “อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปรวบรวมปุ๋ยจากพื้นที่อื่นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “หากปุ๋ยจากผู้ลี้ภัยและสัตว์ไม่เพียงพอ สุดท้ายยังต้องไปรวบรวมปุ๋ยจากพื้นที่อื่น”
เยียนสุยเสนอ “หากคุณหนูไม่ขายเสบียงให้ตระกูลหลิงหรือนายน้อยอี้ ท่านก็ไม่ต้องบุกเบิกเพิ่ม อีกทั้งไม่ต้องใช้ปุ๋ยมากถึงเพียงนี้”
เยียนอวิ๋นเกอกลับส่ายหน้า “เสบียงเป็นรากฐาน พวกเราต้องบุกเบิกต่อ อย่าคิดว่าเสบียงมีมากเกินไป ข้าจะคิดหาวิธี คงจะยังมีวิธีอื่นที่สามารถเลี้ยงดินได้”
นอกจากวิธีการเลี้ยงดินตามเกษตรกรแบบเดิมแล้ว นางอาจสามารถใช้วิธีการทางเคมีได้หรือไม่
เคมี เคมีหรือ
สิ่งแรกที่แวบเข้าหัวของเยียนอวิ๋นเกอก็คือโพแทสเซียม
แต่โพแทสเซียมมาจากอะไร
เงื่อนไขที่มีในเวลานี้ไม่อาจสกัดจากฝีมือมนุษย์ได้ ทำให้นางคิดไม่ออก
เมื่อข้ามอดีตชาติมาเป็นเวลานาน ทำให้นางลืมความรู้ส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว
ช่างน่าปวดหัวเสียจริงๆ
สมองของนางคงได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ในท้องมารดา
หรือบางทีสมองของนางอาจยังพัฒนาไม่เต็มที่ ความรู้ส่วนใหญ่เมื่ออดีตชาติยังระลึกไม่ได้
เยียนอวิ๋นเกอหดหู่อย่างมาก
เวลานี้ใช้วิธีการแบบดั้งเดิมไปก่อนเถิด
รอนางกลับไปค่อยๆ คิด ย่อมต้องระลึกถึงความรู้ที่ถูกฝุ่นปกคลุมเอาไว้เหล่านั้นได้
โรงตีเหล็กของเรือนพักร่ำรวยถูกจัดตั้งขึ้นมาแล้ว เวลานี้ผลิตอุปกรณ์เกษตรอย่างจอบและเคียวเป็นหลัก อีกทั้งยังมีหม้อเหล็ก เสียมเหล็ก…
นอกจากผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ในเรือนพักแล้ว ยังสามารถแบ่งออกมาจำหน่ายได้ส่วนหนึ่ง
บนลานจัตุรัส ด้านข้างของร้านขายของชำหนานเป่ยจึงมีร้านขายเหล็กที่ขายอุปกรณ์การเกษตรและอุปรณ์ครัวโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้าน
…
หวังหยวนเหนียงใช้เสบียงที่กักตุนเอาไว้ซื้อหม้อเหล็กให้ครอบครัวใบหนึ่ง
หม้อเหล็กในบ้านใช้จนทะลุแล้ว ทั้งซ่อมทั้งปะหลายครั้ง ทำให้ก้นหม้อหนามาก สิ้นเปลืองฟืนอย่างมาก
ในครอบครัวไม่มีนางและน้องรองอยู่เท่ากับขาดแรงงานไปสองคน
อาศัยน้องชายและน้องสาวขึ้นเขาไปเก็บฟืน เมื่อถึงฤดูหนาวอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่
ซื้อหม้อเหล็กใบใหม่ หนึ่งคือประหยัดฟืน
สองคือ ถึงเวลาที่ต้องซื้อของใช้ในครอบครัวแล้ว
นางฉวยโอกาสที่บิดาตาหวังคนซื่อมาขายรองเท้าฟางในตลาดนำหม้อเหล็กไปให้
“หม้อเหล็กใบใหม่ เอาไว้ใช้ในเรือน”
“แพงมากใช่หรือไม่”
มองหม้อเหล็กใบใหม่ ตาหวังคนซื่อเผยรอยยิ้มที่มาจากใจ
หมอเหล็กใบนี้กว้างสองฉื่อ เขาชอบใจอย่างมาก
หวังหยวนเหนียงพูด “ร้านเหล็กราคาเป็นธรรม ต่อจากนี้ท่านพ่ออยากซื้อสิ่งใด มาซื้อที่ตลาดทางนี้ อย่าไปในเมือง ในเมืองนอกจากไกลแล้ว ยังต้องดูสีหน้าคนอีก”
“ใช่ๆๆ ทางนี้ดีมาก เวลานี้พวกเจ้ายังทำงานหนักอยู่หรือไม่”
“ข้าบอกแล้ว พวกเราทำงานแบบนับชิ้น ทำมากได้มาก ข้าอยากให้มีงานที่ทำไม่จบสิ้นในแต่ละวัน อย่างนี้ถึงจะกักตุนเสบียงได้มาก”
“งานสำคัญ ร่างกายยิ่งสำคัญ อย่าเหนื่อยเกินไป”
“ท่านพ่อวางใจ ข้ารู้หนักเบา”
นอกจากหม้อเหล็กแล้ว หวังหยวนเหนียงยังซื้อผ้าป่านสามฉื่อให้บิดานำกลับไป
เดิมทีนางอยากซื้อชุดสำเร็จรูป แต่กลัวไม่พอดี
โดยรวมแล้ว หวังหยวนเหนียงกำชับหลายเรื่อง
ตาหวังคนซื่อฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บุตรสาวพูดสิ่งใดก็คือสิ่งนั้น