ตอนที่ 169 แย่งการค้า
เหลือเวลาอีกเพียงสิบวันก่อนจะถึงวันปีใหม่
เยียนอวิ๋นเกอออกเดินทางไปยังเรือนพักร่ำรวยเพื่อเป็นประธานในงานแต่งงานหมู่
เยียนสุยบอกนางว่าปัจจุบันมีคู่รักประมาณหกสิบหรือเจ็ดสิบคู่ที่ลงทะเบียนเตรียมตัวแต่งงาน
เมื่อนางเดินทางมาถึงอาจมีเพิ่มเติมอีกหลายคู่
เรือนพักร่ำรวยมีชีวิตชีวากว่าเดิมมากขึ้นเล็กน้อย
เรือนพักของผู้อพยพกำลังถูกโจมตีโดยชาวบ้านจากระยะใกล้เคียง อิทธิพลของผู้อพยพก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน
เยียนสุยบอกนาง “ทันทีที่การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลงก็มีชาวบ้านจากแคว้นระยะใกล้เคียงเดินทางมาบุกเบิกในเรือนพักอย่างต่อเนื่อง ข้าน้อยสรุปคร่าวๆ จนถึงเวลานี้ มีชาวบ้านทั้งหมดสามร้อยสิบสองครัวเรือนเข้าร่วมกันบุกเบิก มีจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งได้รับที่ดินค่าเช่าต่ำแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอรับบัญชีไปพลิกดู “คราวก่อนที่ข้ามา จำนวนรวมของชาวบ้านที่ทำการบุกเบิกยังไม่ถึงหนึ่งร้อยครัวเรือน เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เหตุใดจึงมีจำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากถึงเพียงนี้ ในนี้มีปัญหาใด”
ชาวบ้านในระแวกใกล้เคียงอยู่ในแถบนครบาล ไม่ว่าชีวิตจะหนักหนาสาหัสและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ชาวบ้านที่มีแปลงนาของตนเองย่อมต้องจัดการแปลงนาของตนเอง
ชาวบ้านที่ไม่มีแปลงนาของตนเองย่อมต้องจัดการแปลงนาที่เช่ามา
ซึ่งหมายความว่า แรงงานในครอบครัวหนึ่งล้วนทุ่มเทกับไร่นาของตนเอง
โดยพื้นฐานแล้วแทบจะไม่มีแรงงานเหลือออกมาบุกเบิก
เยียนอวิ๋นเกอหวังเสมอว่าชาวบ้านในท้องถิ่นจะสามารถใช้โจมตีผู้อพยพได้
การเกาะกลุ่มของผู้อพยพทำให้นางปวดหัว
หากไม่ได้มีกลุ่มองครักษ์นับพันนาย กลุ่มผู้อพยพที่ไม่สงบเหล่านั้นคงก่อความวุ่นวายขึ้นมานานแล้ว
แต่หลายปีที่ผ่านมา ความคืบหน้าเรื่องชาวบ้านในท้องถิ่นเข้าร่วมการบุกเบิกไม่ราบรื่นนัก
บุกเบิกอย่างเหน็ดเหนื่อยได้กลับมาเพียงแปลงนาค่าเช่าราคาถูก ยังไม่อาจเทียบได้กับการบุกเบิกให้ราชสำนัก อย่างน้อยได้ผลประกอบการหนึ่งในสิบ ได้รับแปลงนาเป็นของตนเอง
เยียนอวิ๋นเกอก็รู้ถึงข้อเสียของเรือนพัก ดังนั้นนางจึงไม่ฝืน
ไม่คิดว่าฤดูหนาวปีนี้จะผิดคาด
ชาวนาในหมู่บ้านใกล้เคียงไม่อยู่หลบหนาวอยู่ในเรือน แต่กลับวิ่งมาบุกเบิกในเรือนพัก
แปลกประหลาด!
เยียนสุยรีบพูด “ข้าน้อยก็ประหลาดใจเช่นกัน ดังนั้นจึงส่งคนไปตรวจสอบโดยเฉพาะ ที่แท้ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เดินทางมาบุกเบิกในเรือนพักร่ำรวยล้วนถูกบีบบังคับจากการกู้หนี้ดอกเบี้ยสูงจนต้องสูญเสียแปลงนา ไร้ซึ่งหนทาง จึงทำได้เพียงเดินทางมาบุกเบิกในเรือนพัก”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “เหตุใดกู้หนี้ดอกเบี้ยสูงในปีนี้จึงโหดเพียงนี้”
เยียนสุยกดเสียงต่ำลง “มีบางตระกูลต้องการแปลงนาที่ติดต่อกัน ตรงกลางมีหมู่บ้านหลายแห่งคั่นเอาไว้ พวกเขาล้วนไม่ยอมขายที่ดินในมือ ดังนั้นตระกูลเหล่านี้จึงซื้อหนี้ดอกเบี้ยสูงของทุกคนในแต่ละหมู่บ้านมา บีบบังคับให้พวกเขาจ่ายหนี้ด้วยที่นา ซึ่งทำให้เกิดปัญหาใหญ่มาก”
“สำนักราชการในท้องถิ่นไม่ดูแลหรือ”
เยียนสุยส่ายหน้าระรัว “สำนักราชการทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ยอมทวงความยุติธรรมแทนชาวบ้าน สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือ คนเหล่านั้นได้ที่นาและบ้านเรือนไปยังไม่พอ ยังบังคับให้ชาวบ้านเป็นผู้เช่า ตั้งใจตั้งด่านสกัดไม่ให้คนออกจากหมู่บ้าน
แม้แต่สำนักราชการก็สนับสนุนการตั้งด่านสกัดไม่ให้ชาวบ้านหนีออกมา ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่ของตนเอง หากมิใช่เช่นนี้ ชาวนาที่เดินทางมาบุกเบิกในเรือนพักร่ำรวยคงจะมีมากยิ่งขึ้น”
ตั้งด่านสกัดทำได้เพียงยับยั้งคนส่วนหนึ่งไม่ให้หนีออกมา แต่ไม่อาจยับยั้งทุกคนได้
เดินทางข้ามเนินเขาย่อมมีวิธีหลบด่านสกัดมาแสวงหาทางรอดที่เรือนพักร่ำรวย
เยียนอวิ๋นเกอถาม “มีคนใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างมาหาเรื่องในเรือนพักหรือไม่”
เยียนสุยส่ายหน้า “เวลานี้ยังไม่เคยมีคนมาก่อเรื่อง บางทีอาจรู้ว่าเรือนพักของเราไม่อาจก่อเรื่องด้วยได้ ดังนั้นจึงไม่กล้ามา”
เยียนอวิ๋นเกอไม่กล้าชะล่าใจ “เพิ่มการเฝ้าระวัง อย่าได้ปล่อยผู้ที่น่าสงสัยผ่านไปแม้แต่คนเดียว ตรวจสอบให้ละเอียด”
“ขอรับ!”
เยียนอวิ๋นเกอถามอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ ตระกูลที่เกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นผู้เช่าเหล่านั้น คิดค่าเช่าอย่างไร”
พูดถึงเรื่องนี้ เยียนสุยก็มีอารมณ์ดุเดือด
เขาพูดจนน้ำลายกระเซ็น “มีเพียงคุณหนูที่เมตตา เก็บค่าเช่าแปลงนาราคาถูกเพียงสามส่วน ค่าเช่าแปลงนาที่ไม่ใช่แปลงนาราคาถูกก็เก็บเพียงห้าส่วน ทั่วทั้งนครบาลไม่อาจหาเรือนพักที่เก็บค่าเช่าได้ต่ำกว่าคุณหนูอีกแล้ว ข้าน้อยตั้งใจไปสืบมา เวลานี้แปลงนาของแต่ละตระกูลเริ่มต้นจากค่าเช่าหกส่วน มีบางตระกูลใจดำเก็บค่าเช่าเจ็ดถึงแปดส่วน
ค่าเช่าที่สูงเพียงนี้ นอกจากต้องยอมเป็นบ่าวแล้ว มิฉะนั้นหลังจากจ่ายค่าเช่า ยังต้องแบกรับค่าส่วย คุณหนูลองคิดดู ทั้งค่าเช่าทั้งค่าส่วย เหน็ดเหนื่อยมาทั้งปี เสบียงจะพอกินได้อย่างไร เสบียงไม่พอกินก็ต้องทนหิว กู้หนี้ดอกเบี้ยสูงมาใช้ชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาจะมีอนาคตได้อย่างไร มิน่าชาวบ้านเหล่านั้นจึงยอมหนีออกมาบุกเบิกที่เรือนพักร่ำรวยของพวกเรา แต่กลับไม่ยอมเป็นผู้เช่าของตระกูลใหญ่เหล่านั้น เพราะพวกเขาใจดำเกินไป!”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าผงะ “ข้าจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อน ค่าเช่าที่ดินในแถบนครบาลส่วนใหญ่เพียงแค่ห้าถึงหกส่วน มีจำนวนน้อยที่ใจดำเก็บถึงเจ็ดส่วน เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน หกส่วนก็ถือว่ามีคุณธรรมแล้ว เจ็ดถึงแปดส่วนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังที่นาเหล่านั้นไม่รู้หรือว่าการทำเช่นนี้จะบีบบังคับให้ผู้เช่าต้องพลัดถิ่น ครอบครัวแตกแยก”
เยียนสุยถอนหายใจ “คุณหนูจิตใจเมตตาย่อมไม่เข้าใจความคิดของคนใจดำเหล่านั้น พวกเขาไม่สนใจว่าผู้เช่าจะครอบครัวแตกแยกหรือไม่ หากครอบครัวแตกแยก พวกเขาย่อมสามารถขยายการรับทาสได้อย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ผู้เช่ากลายเป็นทาส กดขี่ตามอำเภอใจ ตายก็ตายไป ยังสามารถประหยัดเสบียงได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ย่อมจะมีชาวบ้านที่ล้มละลายกลายเป็นทาสนาของพวกเขาอย่างไม่ขาดสาย เพาะปลูกแทนพวกเขาในทุกวัน”
พูดถึงเรื่องนี้ เยียนสุยก็ขุ่นเคืองอย่างมาก
แต่เขาไม่ใช่ขุนนาง
ถึงแม้เขาจะเป็นขุนนาง แต่ก็ไม่อาจแทรกแซงภารกิจของพื้นที่อื่น
เยียนอวิ๋นเกอเคาะโต๊ะเบาๆ นางสามารถสัมผัสได้ว่าจะมีวิกฤตที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา
นางถาม “ที่นี่คือนครบาล ตระกูลเหล่านั้นเหิมเกริมเช่นนี้ ไม่มีสำนักราชการใดซักถาม ไม่มีผู้ใดร้องเรียนต่อราชสำนักจริงหรือ”
“ร้องเรียนอย่างไร กระดาษสีขาว ตัวอักษรสีดำ หนี้ดอกเบี้ยสูงที่ยืมเองกับมือไม่อาจปฏิเสธได้”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะออกมา “ตระกูลเหล่านั้นใช้กลอุบายสกปรกเช่นนี้ยึดครองที่นาของผู้อื่น สำนักราชการกลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ซักถามแม้แต่น้อย หากถังดินปืนนี้ระเบิดขึ้นในอนาคต คนแรกที่ตายก็ย่อมต้องเป็นขุนนางที่ไม่สนใจคนกลุ่มนั้น ข้าถามเจ้า แปลงนาภายใต้ชื่อท่านแม่ของข้าเก็บค่าเช่าเท่าใด”
“เรียนคุณหนู แปลงนาภายใต้ชื่อของท่านหญิง หากเป็นแปลงนาชั้นดีเก็บค่าเช่าหกส่วน หากเป็นแปลงนาอื่นเก็บค่าเช่าห้าส่วน หากเป็นแปลงนาที่อยู่บริเวณเนินเขาที่แห้งแล้งเก็บค่าเช่าสี่ส่วนหรือสามส่วน”
เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที
นางกลัวว่าท่านแม่จะกลายเป็นเจ้าของที่ดินที่ใจดำเช่นเดียวกับผู้อื่น
เยียนสุยราวกับรู้ว่านางกังวลเรื่องใด เขาพูดเสียงเบา “คุณหนูวางใจ แปลงนาภายใต้ชื่อของท่านหญิงไม่เคยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง เสบียงที่ให้ยืมออกไปเก้าส่วนได้กลับมาสิบเอ็ดส่วน ถือว่ามีคุณธรรมอย่างมากแล้ว”
ออกไปเก้าส่วนได้กลับมาสิบเอ็ดส่วน อาทิยืมเสบียงหนึ่งร้อยจิน ต้องถูกหักสิบจินเป็นค่าดำเนินการ ผู้ยืมจะได้เพียงเก้าสิบจิน
ตอนคืนเสบียงยังต้องคืนหนึ่งร้อยสิบจิน
ดอกเบี้ยไม่ต่ำ
แต่เมื่อเทียบกับหนี้ดอกเบี้ยสูงที่ทบดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นราคาที่มีคุณธรรมมากแล้ว
เยียนอวิ๋นเกอเคาะโต๊ะ “ชาวบ้านแถบนครบาลมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น พื้นที่นอกนครบาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง สถานการณ์ย่อมต้องย่ำแย่กว่าพื้นที่แถบนครบาล โอกาสบางอย่างดูท่าทางต้องเริ่มลงมือล่วงหน้า เยียนสุย ข้ามอบภารกิจหนึ่งให้เจ้า”
“คุณหนูเชิญรับสั่ง!”
“รับนักบัญชีเพิ่ม พวกเราจะเปิดโรงแลกเงิน แย่งการค้าของหนี้ดอกเบี้ยสูง”
เอ๊ะ
“คุณหนูจะเปิดโรงแลกเงิน แย่งการค้าของหนี้ดอกเบี้ยสูงจริงหรือ”
“อย่างไร เจ้ากลัวหรือ มีองครักษ์สองพันนายปกป้องเจ้า เจ้ายังไม่มีความมั่นใจเปิดโรงแลกเงินอีกหรือ”
เยียนสุยส่ายหน้าระรัว “คุณหนูจะเปิดโรงแลกเงิน ข้าน้อยมีแต่จะดีใจ จะกลัวได้อย่างไร เพียงแต่ข้าน้อยแค่ไม่รู้ว่าคุณหนูคิดจะเปิดโรงแลกเงินนี้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “เจ้าวางใจ ข้ารู้ว่าชาวบ้านลำบาก ไม่มีทางใช้กลอุบายทบดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยก็ไม่อาจต่ำเกินไปได้ อย่างไรทุกคนก็ต้องกินข้าว ดอกเบี้ยรายเดือนสองส่วน ดอกเบี้ยรายปีสองส่วนสี่ หากกู้น้อยกว่าเงินสิบก้วน ไม่ต้องจำนำ หากกู้มากกว่าเงินสิบก้วนต้องมีจำนำ การกู้สามารถกู้ได้ครึ่งเดือนครั้ง เดือนละครั้ง หรือปีละครั้ง สองปีครั้ง พวกเราไม่คิดทบดอกเบี้ย เงินต้นก็ไม่ทบต้น”
ดอกเบี้ยรายเดือนสองส่วน ดอกเบี้ยรายปีสองส่วนสี่ ซึ่งหมายความว่าดอกเบี้ยรายเดือนร้อยละสอง ดอกเบี้ยรายปีร้อยละยี่สิบสี่
ท่ามกลางดอกเบี้ยสามส่วน สี่ส่วน หรือห้าส่วนหกส่วนในทุกวันนี้ ดอกเบี้ยรายเดือนสองส่วนไม่ถือว่าสูง อีกทั้งยังมีคุณธรรมอย่างมาก
อีกทั้งโรงแลกเงินอื่นล้วนทบดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยรวมกับเงินต้น เงินต้นยิ่งทบยิ่งมาก ดอกเบี้ยยิ่งคิดยิ่งมาก
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจทนต่อการกดขี่เช่นนี้ได้
แต่ว่าสถานการณ์ในเวลานี้ก็คือหนี้ดอกเบี้ยสูงเป็นใหญ่
คนทั่วไปหากอยากกู้ยืมเงิน นอกจากหาญาติของตนเอง ก็ทำได้เพียงหากู้ดอกเบี้ยสูง
นอกจากสองเส้นทางนี้ บนโลกไม่มีเส้นทางการกู้ยืมที่สามให้เดิน
หากญาติก็ยากจน ไม่มีเงินให้ยืมจะทำอย่างไร
ทำได้เพียงเดินบนเส้นทางการกู้ยืมดอกเบี้ยสูงจนไม่อาจหวนกลับมาได้
สุดท้ายบ้านแตกสาแหลกขาด จนต้องขายตัวเป็นทาส
เยียนสุยถาม “โรงแลกเงินของพวกเราจะเปิดในเมืองหลวงหรือเรือนพัก”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “สาขาหลักเปิดในเรือนพัก! ปีหน้าดูสถานการณ์ก่อน หากสถานการณ์อนุญาต พวกเราค่อยเปิดสาขาย่อยในแต่ละเมือง ส่วนทางเมืองหลวงยังไม่เปิด”
เพียงแค่คิดก็รู้ เมืองหลวงย่อมต้องเป็นเขตหายนะของการกู้ยืมหนี้ดอกเบี้ยสูง
สถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่รู้หรือ
องครักษ์จินอู่รู้แต่เพียงจับจ้องขุนนางในราชสำนัก แต่ไม่รู้จักทอดสายตาไปบนพื้นเสียบ้างหรือ
อีกทั้งยังมีองครักษ์ซิ่วอี นางไม่เชื่อว่าสำนักหยาเหมินเหล่านี้ไม่รู้ผลลัพธ์ของการกู้หนี้ดอกเบี้ยสูง แต่กลับไม่มีผู้ใดส่งเสียง
เฮอะๆ …
ฮ่องเต้หย่งไท่ยังฝันที่จะเป็นฮ่องเต้เพียงหนึ่งเดียว แต่กลับไม่รู้ว่าประตูจวนแทบจะถูกผู้อื่นพลิกออกมาแล้ว
แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะเกิดความโกลาหลขึ้นหรือไม่
แต่ว่าจากความสามารถในการปิดบังของตระกูลใหญ่ การแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นของสำนักราชการ ถึงแม้จะเกิดความโกลาหลในสามัญชน หากสามารถควบคุมได้ พวกเขาย่อมจะปิดข่าวให้สนิทจนกระทั่งมันเน่าเปื่อย
หากไม่อาจปิดบังได้แล้ว พวกเขาก็สามารถหาแพะรับบาปมารับความผิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
อย่างไรก็ตาม ตระกูลใหญ่ไม่สูญเสียแม้แต่น้อย
ในสมัยนี้ สิ่งเดียวที่สามารถสั่นคลอนรากฐานของตระกูลใหญ่ได้มีเพียงการก่อกบฏ
เพียงแค่ไม่ก่อกบฏ ตระกูลใหญ่ย่อมสามารถสืบทอดต่อไปได้รุ่นสู่รุ่น
ไม่มีราชวงศ์พันปี แต่กลับมีตระกูลใหญ่พันปี
การสืบทอดของตระกูลใหญ่ยาวไกลยิ่งกว่าราชวงศ์
…
เยียนสุยได้รับคำสั่งให้เปิดโรงแลกเงิน เขาขยันขันแข็งอย่างมาก
เหลืออีกไม่กี่วันก็ปีใหม่แล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ว่าง
เขาเรียกนักบัญชีและซินแสทั้งหลายในเรือนพักมามอบหมายภารกิจให้ “เมื่อผ่านปีใหม่ไป เถ้าแก่มีแผนการใหม่ ต้องการนักบัญชีจำนวนมาก หลังจากพวกเจ้ากลับไป ถามสหายของพวกเจ้า ถามนักบัญชีที่เคยทำงานในโรงแลกเงินว่ายอมมาทำงานในเรือนพักร่ำรวยหรือไม่ มีสวัสดิการอย่างดี”
หานฉีจงเป็นคนแรกที่ตระหนักได้ “พ่อบ้านใหญ่จะรับนักบัญชีที่เคยทำงานในโรงแลกเงิน เถ้าแก่คิดจะเปิดโรงแลกเงินหรือ”
เยียนสุยพูดด้วยรอยยิ้ม “รายละเอียดต้องทำอันใด เมื่อหลังปีใหม่พวกเจ้าจะรู้เอง ทุกคนช่วยออกแรงทำงานให้เถ้าแก่ เถ้าแก่ย่อมไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเจ้า ข้าจะบอกบางอย่างกับพวกเจ้า เงินรางวัลปลายปีของทุกคนน่าประทับใจอย่างมาก ย่อมทำให้พวกเจ้าได้ชีวิตที่สงบสุขและมั่งคั่งในปีใหม่นี้”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนดีใจอย่างมาก
ทำงานในเรือนพักร่ำรวย สิ่งที่ทำให้คนตั้งตารอที่สุดคือเงินรางวัลปลายปี
อย่างน้อยเงินเดือนหนึ่งเดือน อย่างมากเงินเดือนครึ่งปีหรือหนึ่งปี
ได้มากได้น้อยล้วนขึ้นอยู่กับการทำงานและผลงานในหนึ่งปีนี้
หวังซินแสถามหานฉีจงด้วยรอยยิ้ม “พี่หานได้เงินไป จะซื้อเรือนหรือที่นาหรือไม่”
หานฉีจงพูด “ข้าอยากซื้อรถม้ามากกว่า”
“ซื้อรถม้าง่าย แต่การเลี้ยงม้าต้องสิ้นเปลืองหญ้า แน่นอน จากกำลังทรัพย์ของพี่หาน ย่อมเลี้ยงไหว”
หวังซินแสเป็นคนบ้านเดียวกันกับหานฉีจง เขามาเป็นนักบัญชีในเรือนพักร่ำรวยผ่านการแนะนำของหานฉีจง เขาทำงานที่นี่เป็นเวลาสองปี
บัณฑิตยากจนในอดีตสวมเสื้อไหม รองเท้าข้อสูง บนหัวเป็นปิ่นหยกราคาสองก้วน
บัณฑิตเหล่านี้หาเงินเก่ง ใช้เงินก็เก่ง
ไม่เหมือนพ่อบ้านและบ่าวรับใช้อื่นที่เสียดายเงิน เงินเดือนในแต่ละเดือนล้วนเก็บเอาไว้
เหมือนดังที่เยียนอวิ๋นเกอพูด ไม่ว่าอย่างไรบัณฑิตก็เป็นกำลังจับจ่ายหลัก
ไม่ว่ายุคสมัยใด ทำการค้ากับบัณฑิตล้วนได้กำไร