ตอนที่ 174 จบสิ้น
“ได้ยินว่าหวังกุนซือมา เหตุใดจึงไม่เห็นคน”
เซียวฮูหยินถามด้วยความสงสัย
บ่าวรับใช้บอกนางว่าหวังกุนซือมาเยือน
นางรับสั่งบ่าวรับใช้ให้เชิญหวังกุนซือมาที่ห้องตำรา
สุดท้ายเพียงชั่วพริบตา บ่าวรับใช้ก็บอกนางว่าหวังกุนซือถูกไล่ออกไปแล้ว
ทำให้เซียวฮูหยินผงะไป
“หวังกุนซือไม่ได้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงไล่เขาออกไป”
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างเปิดเผย “หวังกุนซือไม่มีเรื่องไม่มาเยือน ทันทีที่เขามาก็เปิดปากบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกข้า ข้าครุ่นคิดดูแล้วมันผิดปกติ! ในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตระกูลเยียน เขาไม่มาหาท่านแม่แต่มาหาข้า ย่อมไม่มีเจตนาดี ข้าไม่อยากแม้แต่จะฟัง จึงปิดปากเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาพูดแม้แต่คำเดียว ให้คนขับไล่เขาออกไป”
เซียวฮูหยินได้ยิน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่รู้ว่าควรดีใจที่บุตรสาวเฉลียดเพียงนี้ หรือควรหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารแทนหวังกุนซือ
ทำสิ่งใดไม่ดี กลับไปยั่วยุอวิ๋นเกอ เจอของแข็งเข้าให้แล้ว!
เซียวฮูหยินถาม “หากพูดเช่นนี้ เจ้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมาเยือนหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าระรัว “ข้าไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่น้อย ไม่รอบเขาพูดแม้แต่คำเดียวก็ปิดปากเขาเอาไว้”
เซียวฮูหยินยังคงอยากหัวเราะ นางแอบหัวเราะอยู่ภายในใจ จากนั้นจึงกระแอมไอ “หวังกุนซืออายุมากแล้ว ลำบากเขาแล้ว เอาอย่างนี้ ข้าส่งคนไปดูเขา อย่าให้คนแก่เฒ่าอย่างเขาโกรธจนเป็นอันใดไป”
“ท่านแม่ไม่กังวลว่าเขาจะพูดจาเหลวไหลหรือ”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขับไล่เขาออกไปแล้ว คนฉลาดอย่างเขา ย่อมรู้ขอบเขต”
…
หวังกุนซือเสียใจอย่างมาก!
วันนี้ช่างไม่ได้รับความเป็นธรรม!
อยากร้องไห้!
แต่ก็ร้องไม่ออก!
ช่างน่าอับอายเสียจริง
ถูกคนขับไล่ออกจากจวนท่านหญิง เรื่องนี้คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี
ดังนั้นเขาไม่กล้าโหวกเหวก
เฮ้อ…เหตุใดจึงยากลำบากเพียงนี้!
เหตุใดเยียนอวิ๋นเกอจึงไม่ทำตามขั้นตอนกัน
มิน่าตู้ซินแสจึงย้ำเตือนเขา อย่าได้ปะทะกับคุณหนูสี่โดยตรง ต้องอ้อมค้อม
เขาเสียใจอย่างมาก เสียใจที่ไม่ฟังตู้ซินแส
ในขณะที่เขากำลังเสียใจ บ่าวรับใช้มารายงานว่าท่านหญิงส่งพ่อบ้านมาเยี่ยมเขา
หวังกุนซือรีบตั้งสติขึ้นมาทันที
แต่เขาก็กระจ่างในเวลาต่อมา มาเยี่ยมเป็นเรื่องจริง แต่มาสืบถามก็เป็นเรื่องจริง
เขาไม่อาจทิ้งความหวังไว้บนตัวของท่านหญิงได้
ถอนหายใจ…
เอาเถิด เอาเถิด เรื่องวุ่นวายของนายน้อย เขาจัดการเองดีกว่า
…
เมื่อหลิงฉางเฟิงตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ยินว่าเยียนอวิ๋นฉวนป่วย อีกทั้งยังป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้
เขาผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ยังเล่นกลอุบายแบบนี้อีกหรือ
เฮอะ!
หลิงฉางเฟิงกัดฟัน คิดที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนอวิ๋นฉวนด้วยตนเอง
สุดท้ายกลับไม่ได้พบแม้แต่เงาของเยียนอวิ๋นฉวน
หวังกุนซือรับรองเขา พลันร้องทุกข์ต่อเขา
“ไต้ฟูบอกว่านายน้อยของข้าท้องเสีย อีกทั้งยังดื่มน้ำเย็น ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้อง แม้แต่จะลุกออกจากเตียงก็ยังทำไม่ได้ ไต้ฟูยังกังวลว่าจะแพร่ระบาด ดังนั้นจึงกำชับให้กักตัวเอาไว้ ไม่อาจให้ผู้อื่นมาเยี่ยมนายน้อย เฮ้อ…ขอนายน้อยหลิงโปรดอภัย รอนายน้อยของข้ารักษาจนหายดี ย่อมจะเดินทางไปเยือนที่จวนเป็นการขอบคุณ”
หลิงฉางเฟิงพูด “ข้าไม่กลัวระบาด ให้ข้าพบพี่อวิ๋นฉวนเถิด เมื่อวานตอนดื่มสุราด้วยกัน เขายังดีๆ อยู่ เหตุใดวันนี้จึงป่วย ถึงแม้จะระบาด เกรงว่าข้าคงจะติดมาด้วยแล้ว”
“ไม่ได้ ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด! นายน้อยหลิงจะเสี่ยงอันตรายได้อย่างใด”
หวังกุนซือกีดกัน ไม่ยอมให้หลิงฉางเฟิงพบหน้ากับเยียนอวิ๋นฉวน
หลิงฉางเฟิงโกรธอย่างมาก เขาถามตรงๆ “พี่อวิ๋นฉวนไม่พอใจข้าเรื่องใดใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงใช้ข้ออ้างนี้ไม่ยอมพบข้า”
“นายน้อยหลิงเข้าใจผิดแล้ว! นายน้อยข้าทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้องมาทั้งคืน เวลานี้คงนอนหลับไปแล้ว เขาไม่รู้ว่านายน้อยหลิงเดินทางมาเยือนด้วยซ้ำ”
“ดี เจ้า…เจ้า เจ้าบังอาจตัดสินใจแทนนายน้อยของเจ้า ข้าจะพบพี่อวิ๋นฉวนบัดนี้”
เขาคิดจะบุกรุก
หวังกุนซือตกใจ จากนั้นจึงออกคำสั่งทันที “รั้งเขาเอาไว้! อย่าให้เขารบกวนนายน้อย ระวังถูกระบาด”
บ่าวรับใช้ต่างพยายามรั้งหลิงฉางเฟิงที่คิดจะบุกรุกเอาไว้
หลิงฉางเฟิงโกรธจนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ดีๆพวกเจ้า…เจ้าบอกเยียนอวิ๋นฉวน ข้าจะมาเยือนเขาในวันอื่น”
เขาจากไปด้วยความโกรธ
หวังกุนซือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขาตกใจแทบแย่
หลิงฉางเฟิงช่างไม่ใช่คนเสียจริง
หวังกุนซือมาถึงเรือนด้านหลัง
เยียนอวิ๋นฉวนกำลังดื่มยา สีหน้าของเขาซัดเผือด เขาป่วยจริงไม่ได้หลอกคน
เขาถามหวังกุนซือ “หลิงฉางเฟิงไปแล้วหรือ”
หวังกุนซือพยักหน้า “เขาคิดจะบุกรุก โชคดีที่ข้ารั้งเอาไว้ นายน้อยไม่ต้องกังวล”
เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้ว “เขาคิดจะบุกรุก ไม่มีเจตนาที่ดีเสียจริง”
หวังกุนซือพูดอย่างจริงจัง “นายน้อยคิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะทำอย่างไร”
เยียนอวิ๋นฉวนกัดฟัน “หากเวลานี้เขียนจดหมายถามความเห็นของท่านพ่อย่อมไม่ทัน เจ้าว่า ข้าเขียนจดหมายให้พี่ฉางจื้อดีหรือไม่”
หวังกุนซือขมวดคิ้วมุ่น พลันก้มหน้าครุ่นคิด
เยียนอวิ๋นฉวนรอคอยคำตอบของเขา
เขียนจดหมายให้หลิงฉางจื้อ ให้หลิงฉางจื้อออกหน้าจัดการหลิงฉางเฟิง มันเป็นวิธีที่เยียนอวิ๋นฉวนคิดไปคิดมาแล้วดีที่สุด
ในที่สุดเขาก็สงบลง
เขาไม่ยอมให้มือของตนเองแปดเปื้อนด้วยเรื่องสกปรกแบบนี้
เขายิ่งไม่อยากมีความผิดอยู่ในมือของหลิงฉางเฟิง กลายเป็นสุนัขรับใช้ของหลิงฉางเฟิงเพราะเรื่องนี้
หวังกุนซือพูดถูก ตราบใดที่เขารับปากหลิงฉางเฟิง ย่อมเท่ากับมีความผิดตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย
เพื่อปิดปากของอีกฝ่าย เขาทำได้เพียงจัดการเรื่องสกปรกแทนอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้เขาจะได้แต่งงานกับคุณหนูตระกูลหลิง แต่เขาก็ต้องจมอยู่ในบ่อโคลน ไม่อาจหลุดพ้นได้
ไม่คุ้มค่า!
แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจหลิงฉางเฟิงได้
คิดไปคิดมา ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีเพียงหลิงฉางจื้อที่จัดการหลิงฉางเฟิงได้
ความจริงแล้ว เยียนอวิ๋นเกอก็มีความสามารถคล้ายคลึงกัน
แต่เยียนอวิ๋นเกอไม่อยากยุ่งเกี่ยว
อีกทั้งให้เยียนอวิ๋นเกอออกหน้าแทนเยียนอวิ๋นเพ่ย เพียงแค่คิดก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
หลังจากไตร่ตรองข้อดีและข้อเสียแล้ว หวังกุนซือกัดฟันพูด “วิธีของนายน้อยอาจเป็นไปได้”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงโล่งใจในทันที
วิธีมีผลก็พอ!
“ข้าจะเขียนจดหมายให้พี่ฉางจื้อบัดนี้”
“ไม่ต้อง! นายน้อยกำลังป่วย จดหมายฉบับนี้ข้าจะเขียนแทน นายน้อยบอกมาก็พอ!”
“ได้!”
จดหมายฉบับหนึ่งถูกเขียนออกมา
หลังจากเป่าให้แห้ง ใส่ลงในซองจดหมาย ให้คนนำไปมอบให้หลิงฉางจื้อ
…
ยังอยู่ในช่วงวันหยุดปีใหม่ หลิงฉางจื้อก็งานยุ่งมากเหมือนกัน
เขาออกจากจวนไปสร้างปฏิสัมพันธ์ทุกวัน
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เขานั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้า
ไม่คิดว่ารถม้าจะถูกคนขวางเอาไว้
เมื่อรู้ว่าเยียนอวิ๋นฉวนให้คนส่งจดหมายมา เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
มีเรื่องใดไม่อาจพูดต่อหน้าได้ จำเป็นต้องขวางรถม้า อีกทั้งยังต้องมอบให้เขากับมือ
เขารับจดหมายมาจากมือของบ่าวรับใช้ตระกูลเยียน เห็นได้ชัดว่าบ่าวรับใช้ตระกูลเยียนโล่งใจอย่างมาก
ทันใดนั้นหลิงฉางจื้อรู้สึกอยากรู้เนื้อหาในจดหมายขึ้นมา
เมื่อเปิดจดหมายอ่านดู
ไม่ดูไม่รู้ เมื่อดูแล้วเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
เลือดสูบฉีดขึ้นสมอง เขากัดฟันกรอด ก่อนจะตะหวาดออกมาเสียดัง “เหลวไหล!”
เมื่อกลับถึงจวนก็เดินลงจากรถม้าด้วยใบหน้าดำทะมึน เขาถามบ่าวรับใช้ “นายน้อยห้าล่ะ”
บ่าวรับใช้รีบกล่าว “เรียนนายน้อยใหญ่ นายน้อยห้าออกจากจวนไปดื่นสุราขอรับ”
“รีบตามเขากลับมา หากเขาไม่ยอมกลับมา แม้จะต้องหามก็หามเขากลับมา”
“ขอรับ!”
องครักษ์ตระกูลหลิงออกเดินทางทั่วเมืองตามหาหลิงฉางเฟิง
ในที่สุดก็หาเขาเจอที่หอนางโลมชั้นสูงแห่งหนึ่ง
ตอนที่หาเขาเจอ เขายังนอนอยู่ในอ้อมกอดของหญิงงามอย่างเริงรมย์
บรรดาองครักษ์ดุดัน ไม่สนใจว่าเขาเป็นนายน้อยหรือไม่ เพราะพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของหลิงฉางจื้อเพียงผู้เดียว
พวกเขาไม่พูดสิ่งใด หิ้วปีกเขาลากออกจากหอนางโบมทันที
หลิงฉางเฟิงก่นด่าตลอดทาง
องครักษ์ที่ไร้ความเคารพกลุ่มนี้ มีโอกาสเขาจะจัดการพวกเขาอย่างหนัก
องครักษ์พูด “นายน้อยคิดก่อนว่าจะรับมือกับนายน้อยใหญ่อย่างไรเสียเถิด! ส่วนพวกข้า ท่านไม่ต้องเปลืองแรง”
พวกเขาเป็นคนของหลิงฉางจื้อ ดังนั้นจึงไม่ให้เกียรติหลิงฉางเฟิงแม้แต่น้อย
หลิงฉางเฟิงมึนงง “ข้าดื่มสุราข้าผิดหรือ! พี่ใหญ่ควบคุมข้ามากเกินไปหรือไม่”
องครักษ์ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ไม่ตอบคำถาม
พวกเขาใช้ความเร็วที่สุดนำตัวหลิงฉางเฟิงมาถึงหน้าของหลิงฉางจื้อ เรื่องที่เหลือไม่เกี่ยวกับพวกเขา
…
เมื่อหลิงฉางเฟิงได้พบกับหลิงฉางจื้อผู้เป็นพี่ใหญ่ เขาก็แสดงท่าทีน้อยใจอย่างมาก
เขานวดคลึงแขนที่ถูกองครักษ์จับจนเจ็บ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่มีเรื่องสำคัญใดหรือ เหตุใดจึงตามข้ากลับมาอย่างเร่งรีบ คราวหน้าอย่าให้องครักษ์กลุ่มนั้นมาตามหาข้าได้หรือไม่ ให้พ่อบ้านสองคนออกมาตามข้ายังดีว่าองครักษ์กลุ่มนั้น”
หลิงฉางจื้อทำหน้าเย็นชา “นั่งเถิด! ระยะนี้ข้ามัวแต่ยุ่งเรื่องงานเลี้ยง ละเลยเจ้าไป วันนี้พวกเราพี่น้องนั่งลงคุยกันดีๆ”
หัวใจของหลิงฉางเฟิงเต้นผิดจังหวะ
นิสัยของพี่ใหญ่เป็นอย่างไร เขาจะไม่รู้หรือ
เขาเป็นคนที่บ้างาน อยากจะให้วันหนึ่งมีสักยี่สิบสี่ชั่วยาม เขาจะมีเวลาว่างคุยกับเขาได้อย่างไร
เขาไม่กล้านั่งลงไป เพียงแค่ยิ้มอย่างเกรงกลัว “ข้ายืนก็พอ! พี่ใหญ่อยากคุยเรื่องใด”
หลิงฉางจื้อยิ้มเย็น “คุยเรื่องแผนการลอบสังหารของเจ้า!”
โครม!
หลิงฉางเฟิงแอบคิดในใจ แย่แล้ว แย่แล้ว!