ตอนที่ 184 คนฉลาด
เมื่อพี่เซิ่นได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าว่าควรทำอย่างไร ข้าฟังเจ้า”
“พวกเราสองคนทำนาได้ไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นภัยแล้ง การทำนาปีนี้ย่อมไม่มีผลประกอบการ พวกเราทำได้เพียงใช้ฝีมือ”
หวังหยวนเหนียงเป็นสตรีที่มีความคิดอย่างมาก สมองของนางแล่นอย่างรวดเร็ว
พี่เซิ่นกลัดกลุ้มตามนาง “แต่ว่าเถ้าแก่เริ่มลดปริมาณการผลิตแล้ว พวกเราไม่อาจออกจากเรือนพักร่ำรวบได้ แต่ละวันยังคงต้องทำงาน นอกจากทำงานหาเงินให้เถ้าแก่แล้ว พวกเราจะใช้ฝีมือไปหาเงินจากที่ใดได้อีก”
หวังหยวนเหนียงก็กลุ้มใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ทั้งสองล้วนทำงานอยู่ในเรือนพักร่ำรวย
เมื่อเรือนพักร่ำรวยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ชีวิตของคนทั้งสองย่อมได้รับผลกระทบ
ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรือภัยน้ำหลาก คนย่อมต้องกินข้าว
กินข้าวย่อมต้องมีเสบียง เสบียงในนาลดปริมาณการผลิตก็ต้องใช้เงินซื้อเสบียง
หนทางการหาเงินมีน้อย ช่างน่ากลุ้มใจเสียจริง!
หวังหยวนเหนียงครุ่นคิด พลันพูด “กักตุนเสบียงก่อน ต่อจากนี้กินน้อยลงในแต่ละมื้อ”
พี่เซิ่นไม่มีความเห็น เขาพยักหน้า “ฟังเจ้า”
หวังหยวนเหนียงพูดอีก “วันพรุ่งนี้ข้าไปเจรจากับเด็กในร้านผ้าสี่ฤดู ถามสถานการณ์ละเอียดกับเขา หากราคาเหมาะสม พวกเรากักตุนผ้าผืนเพิ่มอีกหน่อย”
“กักตุนผ้าผืนทำอันใด ในบ้านมีชุดพอสวมใส่” พี่เซิ่นสงสัยเล็กน้อย
หวังหยวนเหนียงกลอกตาใส่เขา “ข้ากังวลว่าผ้าผืนจะราคาขึ้น หากสิ้นปีมีเรื่องไม่คาดฝัน ผ้าผืนยังสามารถนำมาแลกเสบียงได้”
“ผ้าผืนจะราคาขึ้นหรือ”
หวังหยวนเหนียงพูด “ข้าจำได้ว่าตอนเด็ก ราวข้าอายุเจ็ดแปดขวบ เวลานั้นก็เป็นภัยแล้งเช่นเดียวกัน ฤดูหนาวปีนั้น ในเรือนยากจน ทุกคนล้วนกำลังจะอดตาย ท่านแม่ข้าหยิบผ้าครึ่งผืนที่เป็นสินสอดของนางออกมาแลกเป็นเสบียง พวกเราจึงรอดมาได้
ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่า ไม่เพียงเสบียงขึ้นราคา สิ่งของอื่นล้วนขึ้นราคา ผ้าผืนแพงกว่าเคยมากกว่าหนึ่งเท่า โชคดีที่เหลือผ้าครึ่งผืนไว้ไม่ได้ใช้ จึงแลกเป็นเสบียงกลับมาได้”
“อย่างนั้นก็ฟังเจ้า กักตุนผ้าผืนเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน ถึงแม้ผ้าผืนจะไม่ขึ้นราคาในสิ้นปี แต่ก็นำมาตัดเย็บชุดได้”
หวังหยวนเหนียงไม่รู้หนังสือ แต่นางกลับสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย
นางรู้สึกว่าไม่เพียงต้องกักตุนผ้าผืนไว้ในเรือน ยังต้องกักตุนผักดองและน้ำตาทรายแดง
หากสิ่งของเหล่านี้ล้วนขึ้นราคา ออกไปซื้อในภายหลังย่อมจะเสียเงินมากกว่าเดิม
นางยังตัดสินใจรอตอนที่บิดามาตลาด ถามสถานการณ์ภัยแล้งในปีนั้นอย่างละเอียด สิ่งของทุกอย่างล้วนขึ้นราคาจริงหรือไม่
พี่เซิ่นเตือนนาง “อย่ากักตุนไว้มาก ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็ฝนตก”
“ข้าว่ายาก! นับแต่ปีใหม่จนถึงเวลานี้ ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว อากาศแบบนี้ อย่างน้อยต้องแห้งแล้งหนึ่งปีเต็ม”
พี่เซิ่นขำนาง “เจ้ามีประสบการณ์มากหรือ”
หวังหยวนเหนียงเม้มปากยิ้ม “ข้ามีความเคยชินหนึ่งคือชอบจดจำเวลา ข้าความจำดี”
หากนางเคยเรียนหนังสือ ย่อมต้องเป็นหญิงสาวที่มากความสามารถ
พี่เซิ่นพยักหน้าระรัว เขาเห็นด้วย
ความจำของหยวนเหนียงไม่เลวจริงๆ
เพียงแต่ความคล่องแคล่วยังไม่เพียงพอ อย่างน้อยไม่อาจเทียบเขาได้
งานด้านฝีมือ ในโรงงานมีร้อยกว่าคน หากเขายอมรับเป็นที่สอง ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับว่าเป็นที่หนึ่ง
เขามีพรสวรรค์ด้านงานฝีมือ อาจารย์ใหญ่ยังบอกว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้
แต่เมื่อห่างจากงานฝีมือ ด้านอื่นก็ธรรมดา
ส่วนหวังหยวนเหนียงไม่ใช่ นางโดดเด่นในทุกด้าน
นางเป็นบุตรสาวคนโต มีภาระอยู่กับตัว ดังนั้นจึงต้องเก่งในทุกเรื่อง โดดเด่นในทุกทาง สมองของนางจึงถูกฝึกฝนจนมีความฉลาดเฉลียว
เพียงแต่เสียดายที่นางไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวอักษรในตำรา
หวังหยวนเหนียงตัดสินใจว่าจะรับงานฝีมือมาทำหลังเลิกงานในแต่ละวัน
พี่เซิ่นถักทอสิ่งของที่ทำจากไม้ไผ่ ทำงานไม้
ฝีมือของเขาดี สามารถขายให้ร้านขายของชำหนานเป่ย
ร้านขายของชำหนานเป่ยรับซื้องานฝีมือทุกรูปแบบตลอดปี เพียงแต่มีเงื่อนไขค่อนข้างสูง งานฝีมือทั่วไป ร้านขายของชำหนานเป่ยไม่สนใจ
ฝีมือของพี่เซิ่นยอดเยี่ยม ไม่กลัวร้านขายของชำหนานเป่ยไม่รับสินค้าของเขา
ส่วนหวังหยวนเหนียงรับงานทำพื้นรองเท้าจากร้านผ้าสี่ฤดู
นางใช้เสบียงแลกผ้านุ่นมา จี้จั่งกุ้ยในร้านผ้าสี่ฤดูจึงยอมให้งานทำพื้นรองเท้าแก่นาง
จี้จั่งกุ้ยบอกว่า “งานตัดเย็บในร้านผ้าของพวกเราล้วนมาจากฝีมือของอาจารย์ใหญ่ในเมืองหลวง ทำงานละเอียด ไม่ใช่คนทั่วไปที่จะเทียบได้ แต่ว่างานทำพื้นรองเท้านี้ หากเจ้าไม่รังเกียจงานหนัก เจ้าก็สามารถทำได้ ร้านผ้าของพวกเราให้เศษผ้าและนมข้าว เจ้าออกแรง เจ้ายอมหรือไม่”
หวังหยวนเหนียงไม่แม้แต่จะคิดก็พยักหน้ายอมรับ
นางเกรงว่าหากช้าไปงานนี้จะถูกผู้อื่นแย่งไปก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สองสามีภรรยาก็ล้วนมีรายรับสองทาง
รายรับจากโรงงานถักทอหนึ่งทาง
หลังเลิกงาน พี่เซิ่นยุ่งกับการทำงานฝีมือ ส่วนนางยุ่งอยู่กับการทำพื้นรองเท้า
สองสามีภรรยาสนับสนุนกัน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
…
ภัยแล้งยังคงความต่อเนื่อง บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นน่าวิตกกังวล
อย่างไรแล้ว ทั้งคนส่วนใหญ่ของเรือนพักร่ำรวยล้วนมีกินตามสภาพอากาศ
โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยและชาวนาที่เช่าแปลงนาเพาะปลูก เมื่อนึกถึงภัยแล้ง เสบียงลดปริมาณการผลิต พวกเขาต่างกลุ้มจนผมเริ่มหงอก
สิ่งหนึ่งที่น่ายินดีคือ พวกเขาพบเจอกับเถ้าแก่ที่มีมโนธรรมและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
น้ำที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกยังเพียงพออยู่ในเวลานี้
เถ้าแก่ไม่ได้สั่งห้ามทุกคนนำน้ำจากสระขึ้นมารดที่นา ซึ่งทำให้ผู้คนที่กำลังกังวลต่างโล่งใจ
กลัวแค่เพียงพบเจอกับเถ้าแก่ที่เฝ้ารอทุกคนล้มละลาย ทั้งที่ในสระมีน้ำ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้เช่าใช้
ทนมองดูที่นาแห้งแล้ง ผลประกอบการแห้งเหี่ยวด้วยความสิ้นหวัง!
คนจำนวนมากยิ่งขึ้นเดินทางมายังเรือนพักร่ำรวย
มีผู้ลี้ภัย มีชาวบ้านโดยรอบ
เยียนสุยราวกับเผชิญศึกหนัก เขาสั่งให้องครักษ์ผลัดเวรสามเวลาเพื่อรับรองระเบียบและความปลอดภัยของเรือนพัก
ในเวลาเดียวกันเขายังเกณฑ์กำลังคนสร้างกำแพงล้อมรอบเพิ่ม
พยายามกีดกันคนที่ไม่สงบอยู่ด้านนอกเรือนพัก
สำหรับคนที่เข้ามาค้าขายในเรือนพักก็มีการตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้น
หนทางทั้งสามที่เชื่อมต่อกับด้านนอกก็มีด่านสกัด
หากเป็นผู้ที่หน้าคุ้นเคยยังดี ส่วนใหญ่ล้วนผ่านได้อย่างราบรื่น
แต่สำหรับคนแปลกหน้า บรรดาองครักษ์ระมัดระวังอย่างมาก พวกเขามักจะซักถามก่อนค่อยปล่อยผ่าน
บรรดาพ่อค้าต่างๆ ย่อมมีเสียงบ่นเป็นอย่างมาก
แต่เพื่อความปลอดภัยของเรือนพัก ย่อมต้องดำเนินการเช่นนี้ต่อไป
เมื่อบรรดาพ่อค้ารู้ว่าโรงงานถักทอหยุดการส่งออกสินค้าปริมาณมากยิ่งบ่นมากขึ้น
พวกเขาเดินทางมาไกลก็เพราะได้ยินว่าผ้าผืนในเรือนพักร่ำรวยคุณภาพดี ราคาเหมาะสม อีกทั้งระยะทางก็ไม่ไกลมาก สามารถประหยัดค่าขนส่งได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาจึงได้มารับของจากเรือนพักร่ำรวย
สุดท้ายเมื่อเดินทางมาถึง เรือนพักกลับบอกพวกเขาว่าหยุดการส่งออกสินค้าปริมาณมาก ส่งได้เพียงจำนวนน้อย
“ปริมาณน้อยคือเท่าใดหรือ”
“ต่ำกว่าสิบผืนถือว่าปริมาณน้อย หากสิบผืนขึ้นไปไม่ส่งออก”
“สิบผืน? ให้ขอทานหรือ พวกเราเดินทางมาไกล ให้ผ้าเพียงสิบผืน ไม่พอต่อการยัดร่องฟันเสียด้วยซ้ำ”
“มันเป็นกฎ รับได้ก็รับ รับไม่ได้พวกเราก็หมดหนทาง”
“เถ้าแก่ของเรือนพักร่ำรวยคิดอย่างไร มีเงินมาให้ถึงที่ยังไม่เอา กลัวเงินมันร้อนมือหรือ”
“เกรงว่าไม่ได้กลัวเงินร้อนมือ หากแต่ต้องการโก่งราคา”
“พ่อค้าเลว!”
“ปีนี้มีภัยแล้ง ผลประกอบการย่อมต้องได้รับผลกระทบ เถ้าแก่ของเรือนพักร่ำรวยมีปฏิกิริยาว่องไว นี่เพิ่งจะต้นปีก็เริ่มกักตุนผ้าผืนเอาไว้แล้ว ไม่กลัวพรุ่งนี้มีฝนตกลงมาแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ผ้าผืนที่กักตุนอยู่ในโกดังล้วนเสียหายหรือ”
“เรือนพักร่ำรวยมีรากฐานแน่นหนา คนที่อยู่เบื้องหลังก็มีอำนาจ เพียงแค่ผ้าผืนเสียหายก็แบกรับไว้ อีกทั้งเรือนพักร่ำรวยเพียงแค่ยอมลดราคาผ้าผืนลงเล็กน้อยก็ไม่กลัวจะเกิดความเสียหาย”
“เพราะว่ามีความมั่นใจเกินไปจึงกล้าทำเช่นนี้”
บรรดาพ่อค้าต่างมีสีหน้าหดหู่
แต่สุดท้ายก็ยังมีสถานการณ์ที่ดี
เรือนพักร่ำรวยไม่ยอมส่งออกสินค้า แต่ร้านผ้าสี่ฤดูกลับขายสินค้าตามปกติ เพียงแต่ราคาแพงกว่าสินค้าที่ออกมาจากโรงงานถักทอของเรือนพักเล็กน้อย
“ราคาสูงกว่าเล็กน้อยก็ได้ ปีนี้สภาพอากาศไม่ดี ขนผ่าผืนกลับไปย่อมขายได้ราคา อย่างไรก็ไม่ขาดทุน”
“มาสักครั้งไม่ง่าย อย่างไรก็กลับไปมือเปล่าไม่ได้ ต้องขนสินค้ากลับไปบ้าง”
“ถูกต้อง”
พ่อค้ากลุ่มนี้ไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากนัก แต่โชคดีที่มีจำนวนมาก
พวกเขาร่วมมือกันกดราคาต่อร้านผ้าสี่ฤดู สุดท้ายเจรจาจนได้ราคาที่ทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจ
จากนั้นพ่อค้ากลุ่มนี้จึงกวาดผ้าผืนในร้านผ้าสี่ฤดูไปจนหมด
แม้แต่ผ้าป่านที่ราคาถูกที่สุดก็ยังไม่ปล่อยผ่าน
ร้านผ้าสี่ฤดูที่เต็มไปด้วยสินค้านั้นว่างเปล่าในชั่วพริบตา ทำให้คนไม่คุ้นชินอย่างมาก
เมื่อบรรดาพ่อค้าซื้อสินค้าเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางจากไปในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เพราะเกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ดึงดูดความสนใจพ่อค้าอื่น
เมื่อพวกเขาวิ่งมาดูที่ร้านผ้าสี่ฤดู โธ่เอ๋ย ผ้าผืนล้วนถูกคนกลุ่มนี้ล้วนซื้อไปจนหมดแล้ว
ดังนั้น พ่อค้าอีกกลุ่มจึงวิ่งไปที่ร้านขายของชำหนานเป่ยเพื่อกว้านซื้อผักดอง…
สถานการณ์นี้แผ่ขยายไปจนถึงกลุ่มผู้ลี้ภัย
มนุษย์ล้วนมีความคิดการทำตามส่วนมาก
เจ้าไปกว้านซื้อ เขาก็วิ่งไปกว้านซื้อ ทำให้ร้านขายของชำหนานเป่ยกลายเป็นตลาดสดที่เบียดไปด้วยผู้คน
เยียนสุยมาหาเยียนอวิ๋นเกอ “คุณหนู สถานการณ์ผิดปกติ!”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ในเมื่อสถานการณ์ผิดปกติ ก็หาทางควบคุมสถานการณ์เอาไว้”
“ขอคุณหนูโปรดชี้แนะ ข้าน้อยไม่อาจหาทางที่ดีได้แม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “จำกัดการซื้อ! ทุกคนจำกัดปริมาณการซื้อ หากยังมีภัยแล้งต่อไปอีกหลายวัน แม้แต่การใช้น้ำของคน สัตว์ หรือการเพราะปลูกก็ต้องจำกัดปริมาณ เตรียมตัวไว้เถิด ปีนี้ย่อมต้องลำบากกว่าหลายปีที่ผ่านมา
กำชับองครักษ์ ปัญหาความปลอดภัยไม่อาจชะล่าใจได้ ยิ่งเป็นเวลานี้ยิ่งเกิดปัญหาง่าย หากไม่เกิดเรื่องก็แล้วไป หากเกิดเรื่องย่อมเป็นเรื่องใหญ่ คนจำนวนมากพักอยู่ในเรือนพัก หากเกิดเรื่องขึ้นมา เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว”
หลายหมื่นคนเชียว!
หากเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่มีคนตายย่อมเป็นไปไม่ได้
ไม่ตายสักร้อยแปดสิบคน เรื่องคงไม่อาจหยุดลงได้
เยียนสุยก็กังวลอย่างมาก
เขาใช้กลอุบายบังคับให้ดำเนินการจำกัดจำนวนการซื้อ
ไม่ปล่อยให้การกว้านซื้อกระจายออกไป
นอกจากนี้เขายังห้ามพ่อค้าแปลกหน้าเหล่านั้นเข้ามาซื้อขายในเรือนพัก เพราะกังวลว่าจะเกิดปัญหา
บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย
มีคนเตรียมตัวเคลื่อนไหว แต่ก็มีคนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
มีคนเตรียมตัวล่วงหน้า กักตุนสิ่งของทีละเล็กทีละน้อย
เยียนอวิ๋นเกอปรับแก้เป้าหมายในปีนี้อย่างเด็ดเดี่ยว
ลดจำนวนไร่ในการบุกเบิกลง
ปีนี้ไม่รีบร้อนในการบุกเบิก นางต้องรับรองการผลิตของที่นาในเวลานี้ก่อน
ในเวลาเดียวกัน นางส่งคนไปซื้อเสบียงเก่าจากสำนักเส้าฝู่และร้านค้าเสบียงใหญ่มากักตุน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
ภัยแล้งในปีนี้บรรเทาลงได้ย่อมดีที่สุด
หากบรรเทาไม่ได้ เสบียงที่ซื้อเข้ามาในราคาต่ำก็จะเป็นเสบียงช่วยชีวิต
———————————————-