บทที่ 24 คนรักลับของตู้อวิ๋นเซิง
บทที่ 24 คนรักลับของตู้อวิ๋นเซิง
เจี่ยต้าฮวากำลังพูดอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมีคนวิ่งเข้ามาถาม
หญิงสาวเพียงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่พวกชอบซุบซิบนินทา ดังนั้นจึงบอกไปว่า “ตู้อวิ๋นเซิงที่เป็นครูของโรงเรียนนี้ไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วในหมู่บ้านของเรา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวอวิ๋นรู้สึกราวกับหัวของเธอกำลังจะระเบิด ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อก่อนจะมองไปยังคนพูดอย่างระมัดระวัง
เธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดขึ้นมาว่า “เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
บางทีอาจจะเป็นเพราะสีหน้าของเธอจริงจังเกินไป เจี่ยต้าฮวาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่ายมากขึ้น “มันเพิ่งเกิดเมื่อคืนนี้เอง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเซี่ยวอวิ๋นก็ก้าวถอยหลัง ใบหน้าของหญิงสาวซีดเซียว และเธอก็ส่ายหัวไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
ทันใดนั้นเจี่ยต้าฮวาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “คิดว่าฉันโกหกคุณงั้นเหรอ?”
“เมื่อคืนนี้พวกเขาถูกพบว่ากำลังกอดกัน! ทุกคนในหมู่บ้านซีสุ่ยรู้เรื่องนี้กันหมด ยิ่งไปกว่านั้น เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านถึงกับขอให้ตู้อวิ๋นเซิงพักงานเพื่อสอบสวนเรื่องนี้เลย!”
“อีกไม่นานเลขาธิการพรรคก็จะมาถึงโรงเรียน คุณรอดูได้เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยต้าฮวา ผู้คนจำนวนมากจึงเข้ามาล้อมรอบเธอเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนเซี่ยวอวิ๋นนั้นได้เดินฝ่าฝูงชนออกไปอย่างสิ้นหวัง และมีแววเกลียดชังแฝงในดวงตาคู่นั้น จากนั้นเธอก็วิ่งตรงไปยังโรงเรียนทันที
เซี่ยชิงหยวนมองตามแผ่นหลังของเซี่ยวอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาและขอให้อารองจางห่อขาหมูให้เธอ
เนื่องจากความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ เธอจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อเซี่ยวอวิ๋นเป็นคนรักลับ ๆ ของตู้อวิ๋นเซิง อีกฝ่ายเป็นคนที่มีนิสัยฉุนเฉียวและเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก
เซี่ยวอวิ๋นมาจากในเมืองและครอบครัวของเธอก็มีเส้นสายในสังคมอยู่บ้าง ดังนั้นตู้อวิ๋นเซิงจึงเกลี้ยกล่อมให้เธอแต่งงานกับเขาในภายหลัง และใช้เส้นสายของเซี่ยวอวิ๋นเพื่อให้ได้ย้ายเข้าไปทำงานในตัวเมืองแทน
อันที่จริงวันนี้ที่เธอออกมาจ่ายตลาดกับเจี่ยต้าฮวาก็เพื่อรอผู้หญิงคนนี้
วันนี้ตู้อวิ๋นเซิงน่าจะรอดตัวยาก เมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเซี่ยวอวิ๋น
ด้วยความอารมณ์ดี เซี่ยชิงหยวนกับเจี่ยต้าฮวาจึงเดินตลาดต่ออีกหน่อย ทั้งยังซื้อปลาตะเพียนมาอีกสองตัว เกล็ดสีขาวของปลานั้นแวววาวและดูเหมือนว่าพวกมันเพิ่งถูกจับขึ้นมาจากแม่น้ำ
ถัดจากนั้นเธอก็ซื้อเต้าหู้เพิ่มอีก หญิงสาวคิดเอาไว้ว่าวันนี้เธอจะทำซุปเต้าหู้กินคู่กับปลาตะเพียน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจี่ยต้าฮวาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “สาวน้อยชิงหยวน เธอซื้อทั้งขาหมูและปลาตะเพียนแล้ว แต่ละอย่างล้วนมีราคาแพงทั้งนั้นเลย”
หญิงสาวยิ้ม “ปกติเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์บ่อยเท่าไหร่ แล้วโอกาสที่อี้โจวจะกลับมาก็หายากมากและอี้หลินก็โตขึ้นมากแล้ว อีกทั้งร่างกายของแม่สามีก็ผอมและอ่อนแอมาก ฉันจึงคิดว่าวันนี้จะทำอาหารดี ๆ ให้แก่พวกเขาสักหน่อย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจี่ยต้าฮวาก็มีบางอย่างจะพูด “จริงสิ เสิ่นอี้โจวเก็บเงินได้ตั้งมากมายขนาดนั้นในเดือน ๆ หนึ่ง แต่ยังต้องแบ่งกับครอบครัวของผานเยว่กุ้ยทุกเดือน ทั้งที่ทุกคนในครอบครัวนั้นก็แข็งแรงอย่างกับวัว โดยเฉพาะเสิ่นจวินที่อายุมากกว่าอี้หลินแค่ปีหนึ่ง แต่กลับสูงกลับเด็กคนนั้นตั้งคืบหนึ่งแน่ะ!”
เซี่ยชิงหยวนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบ
จากนั้นเธอก็กลั้นยิ้มและตอบด้วยท่าทางอึดอัดใจว่า “พวกเขาเป็นญาติกับอี้โจว ไม่ต้องพูดถึงเงินแปดหยวนต่อเดือน ถ้าพวกเขาเห็นบางอย่างในบ้านของเราแล้วอยากได้ก็จะหยิบมันไปทันที”
“อะไรนะ? ตั้งแปดหยวน!” เจี่ยต้าฮวาทนไม่ได้และตะโกนออกมา
เมื่อตระหนักได้ว่าปฏิกิริยาของตัวเองรุนแรงเกินไป เธอจึงรีบปิดปากและพูดเสียงเบาลงว่า “ฉันจำไม่ได้หรอกนะว่าใครเป็นคนถามผานเยว่กุ้ยครั้งที่แล้ว แต่เธอโกหกพวกเราว่าขอแบ่งไปแค่หนึ่งหยวนเท่านั้นเอง
เจี่ยต้าฮวากลายเป็นไม่พอใจผานเยว่กุ้ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในสถานที่ห่างไกลความเจริญ อัตราค่าจ้างและการบริโภคนั้นไม่สูงมากนัก
เงินหนึ่งหยวนสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ที่ผู้ใหญ่สามารถกินได้จนอิ่มถึงสิบชาม
แปดหยวนนี้มีค่าเท่ากับแปดสิบชามเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็ตบมืออย่างแรงและด่าขึ้นว่า “มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว!”
เซี่ยชิงหยวนเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “พี่ต้าฮวา ช่างมันเถอะ ป้าเยว่กุ้ยบอกว่าขาแข้งของลุงเสิ่นสิงอาการไม่ดีและคุณปู่ก็เคยอาศัยอยู่ที่บ้านของพวกเขา ดังนั้นเราควรจะกตัญญูต่อพวกเขาเสียหน่อย”
“พวกเขามันผายลมทั้งเพ!” เจี่ยต้าฮวารู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อคิดถึงเงินแปดหยวนนั้น ราวกับว่ามันเป็นเงินของตัวเอง
เธอถือตะกร้าในมือข้างหนึ่งและพูดกับหญิงสาวว่า “ตอนนั้นที่พ่อของเสิ่นอี้โจวจากไป มันก็มีแต่ป้าตงซิ่วที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนเพียงลำพัง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อสามีได้ แต่พอเสิ่นสิงแต่งงานและพาผานเยว่กุ้ยมาอยู่ด้วย เขาแทบจะผลาญสิ่งที่มีอยู่ในตระกูลหมดอยู่แล้ว เจ้าเสิ่นสิงคนนี้ไร้ยางอายจริง ๆ ยังมีหน้ามาขอให้เธอให้เกียรติเขาอีกเหรอ!”
เมื่อได้ยิน ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็พลันเศร้าหมองลง “พอได้ยินพี่ต้าฮวาพูดแบบนี้ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินจากเสิ่นอี้โจวว่า ตอนที่คุณปู่อาศัยอยู่ที่บ้านของลุงเสิ่นสิง เขาต้องส่งทุนการศึกษาที่ได้รับจากโรงเรียนให้แก่พวกเขาทุกเดือน ต่อมาพอเริ่มทำงาน ไม่ต้องพูดถึงเงินเดือนของเขา สามีฉันต้องแบ่งให้ครอบครัวของเสิ่นสิงจนถึงขนาดไม่มีเงินสำรองเก็บไว้เลย”
ดวงตาของเจี่ยต้าฮวาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะพูดขึ้นว่า “สิ่งที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อี้โจวบอกฉันมาแบบนั้น”
เก้าในสิบส่วนของสิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริง
ตอนที่พ่อเฒ่าเสิ่นยังอยู่ที่นั่น ยังไม่มีการแบ่งแยกครอบครัว ทั้งเงินเดือนและทุนการศึกษาเกือบทั้งหมดของเสิ่นอี้โจวถูกส่งไปยังครอบครัวของเสิ่นสิง
หลังจากคุณปู่เสียชีวิต ครอบครัวของเสิ่นสิงก็ถือโอกาสแยกตัวออกไป ปล่อยให้หลินตงซิ่วดูแลตัวเอง ดังนั้นเงินเดือนส่วนใหญ่ของเสิ่นอี้โจวจึงตกไปอยู่กระเป๋าของครอบครัวเสิ่นสิง โดยที่หลินตงซิ่วไม่ได้มีส่วนร่วมกับเงินก้อนนั้นเลย
จนกระทั่งก่อนที่เธอจะแต่งงาน ชายหนุ่มได้ขอให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านแยกครอบครัวออกมาในที่สุด
โชคดีที่ตอนที่พ่อเฒ่าเสิ่นยังมีชีวิตอยู่ เขายังคงมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวอยู่บ้าง จึงได้แอบเก็บเงินที่ชายหนุ่มส่งให้ทุกเดือนเอาไว้บางส่วน ในขณะที่อี้โจวก็เก็บออมเงินบางส่วนเอาไว้เช่นกัน
มิฉะนั้น ครอบครัวของพวกเขาคงจะไม่มีเงินแม้แต่จะแต่งภรรยา
ชื่อเสียงของเสิ่นอี้โจวในหมู่บ้านนั้นดีงามมาเสมอ เจี่ยต้าฮวาจึงไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด
เธอสบถออกมาอย่างหัวเสีย “หาดีไม่ได้เลยจริง ๆ!”
จากนั้นเธอก็พูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “เธอปล่อยให้พวกเขารังแกพวกเธอแบบนี้เลยเหรอ? ชีวิตของพวกเขามีเงินหล่อเลี้ยงอยู่เปล่า ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลยตั้งแปดหยวน แบบนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์หรอกเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นหดหู่และทอดถอนใจ “ไม่ใช่ว่าฉันต้องการแบบนั้น แต่พวกเขาใช้ความกตัญญูกดขี่เรา หลังจากคุณปู่จากไปเราก็ยังต้องทนทุกข์กับมัน”
เจี่ยต้าฮวาต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เธอจำนิสัยที่อ่อนโยนของเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วได้ เธอจึงเม้มปากและไม่พูดอะไรอีก
หญิงสาวเฝ้าดูดวงตาที่กลอกตาไปมาของเจี่ยต้าฮวา และรู้ว่าเรื่องนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
หญิงสาวจึงเปลี่ยนไปพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ ต่อ
เสิ่นสิงกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงมากที่สุดไม่ใช่หรือ?
นี่ไม่ใช่เป็นการฉวยโอกาสจากผู้อื่น แล้วแสร้งทำเป็นลำบากใจหรอกหรือ?
เธอต้องการจะเห็นนักว่า ระหว่างชื่อเสียงที่เขาหวงแหนนักหนากับเงินแปดหยวน เสิ่นสิงจะยอมละทิ้งอย่างใดกันแน่?