บทที่ 84 หมื่นปี
บทที่ 84 หมื่นปี
เซี่ยชิงหยวนมั่นใจมากในตอนนี้ว่า ทุกสิ่งที่เสิ่นอี้โจวกำลังทำอยู่ เขาจงใจ
เธอยิ้มและพูดว่า “คนโบราณกล่าวว่าอาหารและการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ”
ท่าทีของเสิ่นอี้โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “คนโบราณยังกล่าวอีกว่าคนเราสามารถแข็งแกร่งได้แม้ไม่ปรารถนาก็ตาม”
เซี่ยชิงหยวน “ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งหรอกนะคะ”
เสิ่นอี้โจวว่า “ผู้หญิงไม่ต้องหลีกทางให้ผู้ชาย เพราะแม้แต่เด็กผู้หญิงก็มีจิตใจเยี่ยงชายตัวใหญ่ได้*[1]”
เซี่ยชิงหยวนเย้ยหยัน “เสิ่นอี้โจว คุณลองจู้จี้กับฉันมากกว่านี้ดูสิ”
เสิ่นอี้โจวยังคงยิ้ม “เอาล่ะ พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อเกินไป!
ในที่สุด ทั้งสองก็ไม่ได้คุยหัวข้อนี้อีกต่อไป
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเซี่ยชิงหยวนกำลังจะระเบิดเต็มที
หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเช้า พวกเขาก็ขี่รถสามล้อออกไปด้วยกัน
เซี่ยชิงหยวนนั่งที่เบาะหลัง ยิ้มรับสายตาของทุกคนตลอดทาง
เธออดไม่ได้ที่จะถามเสิ่นอี้โจว “คุณเป็นถึงเลขาธิการ การขี่สามล้อแบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวถามเธอกลับ “งั้นเราเปลี่ยนเป็นแบบสองล้อดีไหม?”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธออดไม่ได้ที่จะหยิกเนื้อนุ่มรอบเอวของอีกฝ่าย “ทำไมวันนี้คุณเอาแต่แกล้งฉัน”
เสิ่นอี้โจว “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
เซี่ยชิงหยวนขมวดคิ้ว “หรือว่าไม่ใช่?”
เสิ่นอี้โจวพูดอย่างหนักแน่น “ไม่ใช่”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถถามอะไรเขาได้อีก จึงปิดปากเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน คนทั้งสองก็มาถึงแม่น้ำสายเล็กที่เสิ่นอี้โจวพูดถึง
แม้จะเรียกว่าแม่น้ำ แต่ที่จริงแล้วแม่น้ำที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาไม่ได้ลึก และก้อนกรวดที่ก้นแม่น้ำก็มองเห็นได้ชัดเจน
ความกว้างของแม่น้ำไม่ได้กว้างนักแค่ประมาณสองหรือสามเมตรเท่านั้น
ผืนน้ำใส มีหญ้าเขียวขจีขึ้นทั้งสองข้างฝั่ง มีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้าง ๆ
ลำต้นของพฤกษาคดเคี้ยว ห้อยระอยู่บนผิวน้ำ สะท้อนเป็นเงาสีเขียวในน้ำ
เมื่อชายหนุ่มจอดรถ เซี่ยชิงหยวนก็กระโดดลงจากรถทันที
พวกเขาถอดรองเท้าและถลกกางเกงขึ้นถึงเข่า
เสิ่นอี้โจวยื่นมือไปหาเธอ แสดงท่าทางเพื่อช่วยเธอก้าวลงไปในแม่น้ำ
เซี่ยชิงหยวนหันเมินไปอีกด้านหนึ่งและเดินข้ามหญ้าเขียวด้วยตัวเอง
เสิ่นอี้โจวมองตามแผ่นหลังของหญิงสาว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ตรงริมแม่น้ำ และในไม่ช้าเธอก็พบกับหอยขมที่ก้นแม่น้ำ
พวกมันเกาะอยู่บนก้อนกรวดที่มีขนาดเท่าหัวคน บางส่วนอยู่ในโคลนริมฝั่งแม่น้ำเกาะกันเป็นก้อน
ในหมู่พวกมันมีปลาเล็กปลาน้อยว่ายไปมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งดูมีชีวิตชีวามาก
เมื่อเห็นแบบนี้ มุมปากของเซี่ยชิงหยวนไม่อาจระงับรอยยิ้มได้
มีเยอะจริง ๆ!
เธอจำได้ว่าตอนที่ทำงานอยู่ทางใต้ มีอาหารอันโอชะที่เรียกว่าบะหมี่หอยขม
น้ำซุปทำจากกระดูกชิ้นโต หอยขมและส่วนผสมอื่น ๆ
ที่สำคัญที่สุดคือใส่หน่อไม้ดองเปรี้ยวลงไปด้วย
รสชาติของหน่อไม้นั้นทั้งเปรี้ยวและมีกลิ่น แต่มันกลับเพิ่มสีสันให้กับบะหมี่หอยขมและกลายเป็นเหมือนจิตวิญญาณของบะหมี่หอยขมทั้งชาม
อันที่จริง รสชาติอาหารของจังหวัดอวิ๋นและจังหวัดซีนั้นคล้ายคลึงกันมาก
เธอสามารถปรับสูตรบะหมี่หอยขมให้มีรสชาติถูกใจคนที่นี่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยชิงหยวนก็มีกำลังใจมากขึ้น
แต่เมื่อคิดย้อนไปอีกทีว่าคนในยุคนี้มีน้อยมากที่จะออกมานั่งกินอาหารนอกบ้าน เซี่ยชิงหยวนจึงล้มเลิกความคิดเรื่องร้านบะหมี่นี้ไปด้วยความเสียดาย
เธอคงต้องรอจนกว่าจะได้ย้ายไปที่เมืองหลวงของจังหวัดกับเสิ่นอี้โจวในอนาคต และเมื่อชีวิตของผู้คนค่อย ๆ ดีขึ้น เธอถึงค่อยกลับมาคิดถึงแผนการนี้ในภายหลัง
ทว่าในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดถึงแผนการในอนาคต เสิ่นอี้โจวก็เดินลงไปในแม่น้ำก่อนแล้ว
เขาถือถังอะลูมิเนียมไว้ในมือ และกำลังก้มลงเพื่อค้นหาหอยในน้ำ
เสิ่นอี้โจวตัวสูงมากอยู่แล้ว ตอนนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าสูททำให้ร่างกายของเขาดูมีออร่า ซึ่งไม่เข้ากับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
เซี่ยชิงหยวนกลั้นหัวเราะและก้มลงเก็บหอยขม
หอยขมในจังหวัดอวิ๋นมีขนาดเล็กกว่าหอยขมที่อื่นมาก
หัวโต ก้นแหลม สีของลำตัวคล้ายต้นไผ่ หอยขมบางตัวมีสีน้ำตาลและน้ำตาลเข้ม
คุณภาพน้ำในปัจจุบันดีมาก มันไม่มีสารพิษ หอยขมทั้งหมดจึงสะอาด ยกเว้นพืชน้ำที่เติบโตบนเปลือกบ้าง นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งสกปรกอื่น
เมื่อนำหอยขมเหล่านี้กลับบ้านและเลี้ยงไว้สักสองวันก็สามารถนำมารับประทานได้แล้ว
แค่เพียงเวลาไม่นาน ถังของเซี่ยชิงหยวนก็มีหอยอยู่ครึ่งถัง
เธอถามเสิ่นอี้โจว “คุณต้องการให้ฉันเอาหอยพวกนี้ไปทำให้กินไหมคะ”
เสิ่นอี้โจวยืดตัวขึ้น ในถังของเขามีหอยขมอยู่ครึ่งถังเหมือนกันและมีหอยแมลงภู่แม่น้ำอยู่สองสามตัว เขาพูดว่า “ตราบใดที่ทำคุณเป็นคนทำ ผมจะกินแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราทำบะหมี่หอยขมตกลงไหม”
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวประหลาดใจ “บะหมี่หอยขม?”
เซี่ยชิงหยวนอยู่ในภวังค์ความสุขที่ได้เก็บหอยขมและตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “มันเป็นอาหารชนิดหนึ่งของจังหวัดซี รสชาติค่อนข้างเผ็ดและออกรสเปรี้ยว ทั้งยังมีกลิ่นหอมและฉุน แต่มันอร่อยมาก!”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วและจ้องหน้าเธอ “คุณดูรู้จักมันดีจัง”
“แน่นอน…” ทันใดนั้นเซี่ยชิงหยวนก็นึกถึงบางสิ่งได้ จากเสียงของเธอก็ขาดห้วง
เธอพูดแก้เก้อ “อันที่จริง ฉันก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น”
ทว่าเสิ่นอี้โจวดูจะไม่อยากจบประเด็นนี้
เขาเดินไปเทถังหอยของเซี่ยชิงหยวนลงในถังของตัวเอง จากนั้นพูดว่า “คุณเคยทำงานในเมืองหลินเฉิงมาก่อนใช่ไหม”
เมืองหลินเฉิงเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเมืองเตียนเฉิง มันเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองเตียนเฉิงมาก
เมื่อชาติที่แล้วเซี่ยชิงหยวนเคยถูกหวังผิงส่งไปทำงานที่นั่น
เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ผู้คนยังไม่นิยมเดินทางไปเมืองอื่นเพื่อทำงานเหมือนยุคหลังจากนี้ นับประสาอะไรกับจังหวัดอวิ๋นที่เป็นพื้นที่ล้าหลังและห่างไกล มันดูจะไม่สมเหตุสมผลมาก หากเธอบอกว่าตัวเองเคยไปเมืองหลินเฉินมาก่อน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นเต็มหลัง
ก่อนหน้านี้เธอต้องการบอกเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของเธอ แต่หลังจากได้ยินเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของอีกฝ่าย เธอจะบอกความจริงได้ยังไง?
มันจะดูแปลกถ้าเธอพูดความจริงในตอนนี้
เหมือนมีคนถามว่าทำไมคุณรู้เรื่องนี้ แล้วคุณบอกว่าคุณย้อนกลับมาเกิดใหม่
ถ้าพูดผิดโอกาส มันก็จะเหมือนพูดเล่นเพื่อหลอกอีกฝ่าย
ดังนั้นเมื่อเห็นการจ้องมองที่จริงจังของเสิ่นอี้โจว เธอจึงกล่าวว่า “เคยมีปัญญาชนรุ่นเยาว์จากจังหวัดทางตะวันตกที่เดินทางมาบ้านของฉันเล่าสิ่งที่เขาเจอมาให้ฟัง ซึ่งฉันบังเอิญไปได้ยินพอดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นอี้โจวก็พยักหน้า “เป็นแบบนั้นนี่เอง”
จากนั้นเขาก็หันกลับไปสำรวจแม่น้ำต่อ
เซี่ยชิงหยวนมองที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม สงสัยว่าเขาเชื่อเธอหรือไม่
ไม่เป็นไร ไว้ค่อยว่ากันทีหลังเมื่อมีโอกาส
ในที่สุดทั้งสองก็กลับขึ้นฝั่งพร้อมกับหอยมากมาย
ถังสองใบเต็มไปด้วยหอยขมและหอยแมลงภู่
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่แกว่งขาของเธอ รอให้เท้าของเธอแห้ง แล้วพูดว่า “เขตที่อยู่อาศัยของเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ นะคะ”
เสิ่นอี้โจวนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาคาบใบหญ้าอยู่ในปากซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปหยิบมันมาจากไหน
เซี่ยชิงหยวนถามเขาว่า “คุณบรรเลงเพลงด้วยใบไม้ได้ไหม”
เสิ่นอี้โจวถามกลับ “คุณอยากฟังเหรอ”
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขา เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ใช่”
เสิ่นอี้โจวเม้มริมฝีปาก “รอเดี๋ยวนะ”
เซี่ยชิงหยวนเห็นเขาไปเด็ดใบไม้สีเขียวจากต้นไม้
“ผมจะลองดู ไม่รู้มันจะใช้ได้ไหม”
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำในสิ่งที่เธอพูด
ดังนั้นเธอจึงแสดงสีหน้าซาบซึ้งทันทีขณะมองไปที่เสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวนั่งลงหลังจากเด็ดใบไม้มา ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบีบปลายทั้งสองข้างของใบไม้ จากนั้นม้วนส่วนบนของใบไม้ออกติดไว้ใต้ริมฝีปากบน
ด้วยการเป่าลมของเสิ่นอี้โจว เสียงที่ไพเราะก็ดังออกมาจากใบไม้
มันเป็นทำนองเพลง ‘ยามเย็นที่ชานเมืองมอสโก’
ความประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน เธอวางคางไว้บนมือข้างหนึ่งและฟังเงียบ ๆ
อันที่จริง เธอรู้ว่าเสิ่นอี้โจวเล่นดนตรีเป็น
แต่ที่เธอเคยเห็นคือเขาเล่นฮาร์โมนิก้า
เธอยังจำเพลงที่ชื่อว่า ‘ยามเย็นที่ชานเมืองมอสโก’ ได้
เธออายุน้อยกว่าเขา ตอนนั้นเธออยู่ชั้นป.สี่ มันเป็นวันอาทิตย์และไม่มีใครอยู่ในโรงเรียน
เมื่อเธอกลับไปเอาของ ก็ได้ยินเสียงฮาร์โมนิก้าที่คุ้นเคยจากห้องเรียนฝั่งตรงข้าม
เธอตามหาเสียงนั้นแล้วเห็นเสิ่นอี้โจวกำลังเล่นฮาร์โมนิก้าอยู่ข้างหน้าต่าง
เห็นได้ชัดว่าเขาอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น และเขายังเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง
แต่ดวงตาของเขากลับนิ่งสงบราวกับทะเลสาบที่ลึกล้ำและเศร้าสร้อย
แต่เมื่อเขาเล่นเป่าฮาร์โมนิก้า ดวงตาของเขาดูจะเอ่อล้นไปด้วยแสงดาวนับไม่ถ้วน
เหมือนกาแล็กซีที่ส่องสว่าง เติมเต็มหัวใจของเธอ
บางครั้งหญิงสาวก็คิดว่าเวลาผ่านราวหนึ่งหมื่นปีโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเมื่อเล่นถึงจุดหนึ่ง เสิ่นอี้โจวก็หยุด
เขามองเธอด้วยความอ่อนโยนเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านระหว่างคิ้วและดวงตา
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนฟื้นคืนสติ เสิ่นอี้โจวก็ยื่นมือไปหาเธอ
[1] สำนวนนี้มักถูกใช้เพื่อแสดงถึงความสามารถและศักยภาพของผู้หญิงที่สามารถทัดเทียมกับผู้ชายได้ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครเพื่อรับรู้และบรรลุเป้าหมายในชีวิต สำนวนนี้เชื่อมั่นในความสามารถของผู้หญิงและเชิดชูคุณค่าของเพศหญิงในสังคม