บทที่ 133 จูบกันบนริมทาง
บทที่ 133 จูบกันบนริมทาง
เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวนั้น เซี่ยชิงหยวนก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย ก่อนจะเอามือปิดปากของชายหนุ่มไว้ทันที
เสียงของเธอค่อนข้างร้อนรน “คุณพูดไร้สาระอีกแล้ว พวกเรากำลังอยู่บนถนนสายหลักนะ!”
เธอผลักเขาออกไปให้นั่งอยู่ที่เดิม “ขับเร็ว ๆ เถอะ เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นพวกเราหมดหรอก!”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอ เสิ่นอี้โจวก็อารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาเสียงดัง
เมื่อเห็นเขาหัวเราะ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ
เธอยื่นมือออกไปและทุบตีเขาอีกครั้ง “คุณยังหัวเราะอยู่อีก!”
เสิ่นอี้โจวแตะบริเวณที่เธอทุบตีเขาพลางแสร้งทำเป็นเจ็บปวด
เซี่ยชิงหยวนกลอกตาใส่เขา “หยุดตอแหลได้แล้วค่ะ ไปกันได้แล้ว!”
จู่ ๆ เสิ่นอี้โจวก็โน้มหน้าเข้าหาเธออีกครั้ง “ชิงหยวน คุณหมายความว่าถ้าไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดง “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!”
เสิ่นอี้โจวพูดอย่างครุ่นคิด “เข้าใจแล้ว”
เขาลูบคางตัวเอง “ถ้างั้นผมจะขับรถไปยังที่ที่ไม่มีคน”
เขาเชิดคางขึ้น หรี่ตาคมดุุจกฟีนิกซ์ราวกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง
จากนั้นเขาพูดว่า “ผมจำได้ว่าตอนที่เรามาถึงที่นี่ครั้งแรก มันมีป่ายางอยู่ข้าง ๆ”
เมื่อพูดจบ เขาก็สตาร์ตรถอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนกลัวมากจนยกมือขึ้น “เสิ่นอี้โจว คุณมันบ้าไปแล้ว!”
พืชพรรณที่เพาะปลูกกันมากที่สุดในมณฑลอวิ๋นคือต้นยาง
ปกติ พวกต้นยางจะกรีดน้ำยางได้ก็ต่อเมื่ออายุได้แปดปี และช่วงกรีดต้นยางส่วนใหญ่คือช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ตอนนี้คือเดือนมิถุนายนเป็นช่วงที่คนกรีดยางพอดี
แม้ภายในสวนยางจะไม่ค่อยมีใครอยู่ก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้มันแน่นอนเสียทีไหนกัน?
อีกทั้งรถของเสิ่นอี้โจวก็จอดหราอยู่ตรงนั้น จึงยากที่จะไม่เรียกความสนใจของผูู้สัญจรไปมา
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกร้อนรนและปลายจมูกของเธอก็ชื้นด้วยเหงื่อบาง ๆ
ใบหน้าเรียวเล็กแดงระเรื่อ ริมฝีปากก็เป็นสีอ่อนละเอียดเช่นกัน แต่ดวงตาที่ดูพร่าเลือนของเธอในตอนนี้กลับมีเสน่ห์ล้นเหลือ
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวหรี่ลง เขาขับรถไปจอดเทียบที่สนามหญ้าทางด้านข้าง ปลดเข็มขัดนิรภัยและเอนตัวไปทางเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนหดคอหนีโดยไม่รู้ตัว แต่เสิ่นอี้โจวกลับตรึงท้ายทอยของเธอไว้ ก่อนจะดึงเธอเข้ามาประชิดตัว
หญิงสาวคาดเข็มขัดนิรภัย เธอจึงไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้
เธออ้าปากจะพูด แต่มันยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เขา
เสิ่นอี้โจวเชิดคางเธอขึ้นด้วยมืออีกข้างแล้วจูบเธออย่างลึกซึ้ง
อุณหภูมิของร่างหนาร้อนจัดราวกับอยู่ในฤดูร้อน ความร้อนนี้ยิ่งทำให้ร่างกายของเซี่ยชิงหยวนแทบมอดไหม้
หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมาจากหน้าอก
หญิงสาวทำได้เพียงกำเข็มขัดนิรภัยแน่นเพื่อกลั้นเสียงครางเอาไว้
เมื่อเธอคิดว่ามันจบลงแล้ว เสิ่นอี้โจวกลับปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอออกอย่างรวดเร็วและช้อนเธอมานั่งบนตักของเขา
เซี่ยชิงหยวนอุทานเสียงหลง เธอคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกชายหนุ่มกลืนกินอีกครั้ง
เธอคร่อมร่างเขาไว้แบบนั้น ไออุ่นของกันและกันส่งผ่านเนื้อผ้าแบบบาง โดยไม่รู้เลยว่าอุณหภูมิร่างกายของใครร้อนรุ่มกว่ากัน
ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอต้องการเอนหลัง แต่พวงมาลัยที่ดุนอยู่ข้างหลังปิดกั้นทางหนีทีไล่สุดท้ายของเธอไปแล้ว
เสิ่นอี้โจวกักขังหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนจนเธอไม่อาจขัดขืนได้ และในที่สุดเธอก็เอนตัวทับเขา
เมื่อเสิ่นอี้โจวเต็มอิ่มกับสัมผัสนี้แล้ว เขาก็ลูบหลังหญิงสาวอย่างพึงพอใจ
เขากระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ จนทำให้ทั่วทั้งร่างของหญิงสาวสั่นระริกอีกครั้ง
มีรอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของชายหนุ่ม “กลับบ้านกันเถอะ”
…
เมื่อคนทั้งสองกลับบ้านก็ถึงตอนเย็นย่ำแล้ว
เสิ่นอี้หลินออกไปวิ่งเล่น ส่วนหลินตงซิ่วกำลังร่ำลากลุ่มเพื่อนของตัวเอง และกำลังจัดการสิ่งต่าง ๆ
เธอพูดว่า “แม่ไม่ค่อยอยากทิ้งของไว้ที่บ้าน และแม่ก็กังวลว่ารถจะขนไปไม่พอถ้าเอาของทั้งหมดนี้ไปด้วย”
เซี่ยชิงหยวนส่งรอยยิ้มปลอบประโลมไปให้เธอ “ถ้าเราขนไปไม่หมดก็เก็บมันไว้ในบ้านก่อนก็ได้ค่ะแม่ พอเรากลับมาอีกในครั้งหน้า เราจะได้มีของใช้ที่บ้านได้”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้วครับแม่ ยังไงเราก็ต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกแน่นอน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวพูด ความรู้สึกเสียดายของแต่เดิมของหลินตงซิ่วก็ลดลง
เธอพูดว่า “ได้กลับมาอยู่ที่นี่บ้างก็ดีเหมือนกัน”
เธออาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบทั้งชีวิต
สามีกับพ่อสามีของเธอต่างก็ถูกฝังอยู่ที่นี่
เสิ่นอี้โจวเอาแขนโอบไหล่ผู้เป็นแม่ “แม่ครับ ตราบใดที่อยากกลับมา เราก็กลับมาได้เสมอ”
ตลอดชีวิตของหลินตงซิ่ว ตั้งแต่เธอยังสาว ทุกอย่างอุทิศเพื่อสามีของเธอ ต่อมาหญิงชราคนนี้ก็ได้ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับลูกชายทั้งสอง
อาจกล่าวได้ว่าเธออุทิศทั้งชีวิตให้กับครอบครัวนี้
เสิ่นอี้โจวเข้าใจถึงความไม่เต็มใจของผู้เป็นแม่ และเขาก็จะเคารพความรู้สึกของท่านเช่นกัน
หลินตงซิ่วอดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาคลออีกครั้ง
เธอพยักหน้าและพูดว่า “ดี ดี”
“จริงสิ” ทันใดนั้นหลินตงซิ่วก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ลุงของลูกมาที่นี่ตอนเที่ยงและบอกว่าจะเชิญเราไปทานอาหารเย็นค่ำนี้ ลูกว่าเราควร…”
ผู้คนมักจะรักษารอยแผลเป็นของพวกเขาและลืมความเจ็บปวดหลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง หลินตงซิ่วก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อเห็นครอบครัวของเสิ่นสิงมาที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าทางที่น่าสังเวช เธอก็เริ่มใจอ่อน
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดแต่มองไปยังเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมจะไปหาพวกเขาเอง”
จากนั้นเขาก็พูดกับเซี่ยชิงหยวน “ถ้าเราไม่ปฏิเสธให้ชัดเจน พวกเขาจะมาอีกแน่นอน”
เสิ่นสิงเป็นนักวางแผนที่ดี ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่
แทนที่จะปล่อยเรื่องนี้ให้ค้างคา จะเป็นการดีกว่าถ้าจะทำให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและพูดว่า “ไปทำมันให้ชัดเจนกันเถอะ”
เมื่อหลินตงซิ่วได้ยินการสนทนาระหว่างลูกชายกับลูกสะใภ้ของเธอ
เธอรู้สึกละอายเมื่อนึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของเธอ เธอสางผมของตนและพูดว่า “ต่อจากนี้ แม่จะฟังลูก ๆ นะ ตอนนี้พวกลูกไปจัดการด้วยตัวเองเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวให้กำลังใจเธอ “คุณแม่คะ ไม่ใช่ว่าเราไร้ความรู้สึกนะ แต่แม่ลองคิดดูสิคะว่า เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาเคยชวนเราไปทานอาหารค่ำด้วยกันไหม? และไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาเคยเอาเปรียบเราทุกทาง หนูเกรงว่าแม้แต่น้ำเปล่าพวกเขาคงไม่แบ่งให้เราจิบด้วยซ้ำ”
หลินตงซิ่วได้แต่พยักหน้า “ใช่ ลูกพูดถูก”
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวไปถึงบ้านของเสิ่นสิง ดวงตาของเสิ่นสิงหรี่ลงทันที
แม้ว่าเซี่ยชิงหยวนและคนอื่น ๆ จะไม่มา แต่เสิ่นอี้โจวจะมาคนเดียวก็พอแล้ว
เสิ่นสิงยิ้มและกล่าวว่า “อี้โจว เข้ามานั่งก่อนสิ”
จากนั้นเขาก็หันไปสั่งผานเยว่กุ้ย “ยายเฒ่าไปฆ่าไก่มาที! คืนนี้ฉันจะเมากับอี้โจว!”
ผานเยว่กุ้ยก็ตอบกลับด้วยยิ้มและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ฉันจะไปทันที”
“ไม่ต้องงหรอกครับ” เสิ่นอี้โจวยกมือปรามพวกเขา “ผมจะกลับบ้านหลังจากพูดแค่สองสามประโยค”
บริเวณคิ้วและดวงตาของชายหนุ่มดูไร้อารมณ์มาก
เพียงเหลือบตามอง พวกเขาก็สังเกตเห็นระยะห่างที่กว้างออกจนดูราวไม่มีใครเข้าใกล้ได้
หัวใจของเสิ่นสิงแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ “อี้โจว…”
ขณะที่มองไปยังเสิ่นอี้โจว เขากุมหน้าอกแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้ว “คุณลุงครับ ในวันที่เราบอกยุติความสัมพันธ์ เราได้แสดงเจตจำนงชัดเจนแล้วว่าครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายจะไม่เกี่ยวพันกันอีก ดังนั้นโปรดอย่ารบกวนพวกเราอีกเลย”