ที่ดูถูกพวกเขานั้นก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่ว่านี้ถึงขนาดลวนลามโจรอีกผู้หนึ่งต่อหน้าพวกเขา!
แถมพวกเขายังได้แต่ต้องทนลืมตาดูมันกระทำเช่นนี้!
ไม่รู้ว่าวิชาแยกร่างของเจ้าโจรผู้นี้ไปร่ำเรียนมาจากที่ใด ถึงได้แตกต่างกับที่พวกเขาฝึกฝนกันมาอย่างสิ้นเชิง ร่างแบ่งภาคของมันแต่ละคนล้วนเป็นร่างจริง ขนาดไม่ได้ใช้อาวุธ อาศัยเพียงกำปั้นก็แทบจะต่อยพวกเขาถึงตายกันหมดแล้ว!
พละกำลังของร่างแบ่งภาคยังแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยว่าร่างหลักนั้นที่จริงแล้วจะแข็งแกร่งถึงขั้นใด
ในดินแดนจิ่วโจวนั้น ถึงตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ คนที่สามมารถอาศัยเพียงพลังฝีมือก็บุกเข้ามาในวังตันติ่งกงได้ ทั้งยังใช้แค่หมัดเปล่าก็สร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้….
นอกจากเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นั้นแล้ว…..พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นที่ทำได้อีก
แต่ว่ารูปร่างของหนุ่มน้อยผู้นั้น….ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายคลึงกับเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยาง
ดังนั้น ตอนนี้ในใจของทุกคนต่างก็มีข้อสงสัยแบบเดียวกัน ไอ้เด็กเวรที่หาญกล้าบ้าบิ่นผู้นี่มันเป็นใครกันแน่?
แม้แต่ซ่งชิงอีก็กำลังขบคิดปัญหานี้อยู่เช่นกัน
จะเป็นคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนหรือไม่?
ไม่….ไม่น่าเป็นไปได้
ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังต้องอาศัยยาตันจากวังตันติ่งกงของนาง เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแม้ว่าจะลึกลับซับซ้อนยากที่จะคบค้า แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้วังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นเสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่ทั้งสองฝ่ายยังพอจะมีการติดต่อกันอยู่บ้าง ดังนั้นตำหนักซิวหลัวเตี้ยนย่อมไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อย่างแน่นอน
นางโคลงศีรษะเบาๆ เลือดจากบาดแผลบนใบหน้าหยุดไหลไปแล้ว นางกำธนูด้ามหยกเอาไว้แน่น
เมื่อต้องทนมองดูพวกศิษย์แต่ละกลุ่มถูกต่อยจนร่วงลงมาจากท้องฟ้า ซ่งชิงอีก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว
นางล้วงเอาขลุ่ยสั้นเลาหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ
ฝูลั่วที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
“ท่านเจ้า นี่ท่าน….”
“ฝูลั่ว ข้าไม่เคยถูกผู้ใดรังแกจนย่างกรายมาถึงบนศีรษะเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าเองก็รู้ดี”
ซ่งชิงอีชิงพูดออกมาก่อน สกัดคำพูดที่เหลือของฝูลั่วเอาไว้
สีหน้าของฝูลั่วยังไม่น่าดู ….นางมองดูซ่งชิงอีวางขลุ่ยสั้นเล่านั้นบนริมฝีปาก ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เป่าออกมา หัวใจของฝูลั่วก็ร่วงลงไปก่อนแล้ว
……………………
อีกด้านหนึ่ง ครึ่งมือของตู๋กูซิงหลันกำลังล้วงลงไปในตัวเสื้อของคนผู้นั้นแล้ว
มือของนางอยู่ตรงทรวงอกของเขา ลูบคลำตามอำเภอใจจากไหปลาร้าลงไปเรื่อยๆ
กล้ามเนื้อของเขาแข็งมากๆ ท่ามกลางอากาศเช่นนี้ เขาเองก็สวมใส่เสื้อผ้าเอาไว้ไม่น้อย แต่ว่าผิวทั่วร่างก็เป็นเหมือนกับมือของเขา เย็นเฉียบราวกับหยก
มือข้างหนึ่งของตู๋กูซิงหลันล้วงลงไป มืออีกข้างก็พยายามดิ้นให้หลุดจากการหนีบของเขา ทั้งยังดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาลงมาอีกด้วย เรียกว่าปอกหัวไหล่ของเขาจนโผล่ออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
เรี่ยวแรงของนางมีไม่น้อย การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็ถกออกมาจนเห็นท่อนแขนเกือบจะทั้งหมดแล้ว
อีกก้าวเดียว ขาดอีกก้าวเดียวเท่านั้น ก็จะดึงเสื้อตัวนี้ลงจนถึงบั้นเอวของเขาได้แล้ว
นางจะได้มองดูว่าตรงบั้นเอวของเขามีสัญลักษณ์ดอกบัวดำลายทองนั้นหรือไม่….
ในใจของนางวาดหวัง ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวไปด้วย กลัวว่าจะเป็นเพียงความยินดีที่ว่างเปล่า
ขณะที่มัวแต่เกิดความลังเลไปชั่วครู่ จึงไม่ทันได้ลงมือต่อ ข้อมือก็ถูกเข้าคว้าเอาไว้แน่น
ครั้งนี้ เขาถึงกันดึงนางเข้าไปในอ้อมกอดทั้งตัว ปลายคางเลื่อนต่ำลงมา ริมฝีปากกลีบบัวที่แดงราวผุดจากขุมนรกคู่นั้นพลันขยับ น้ำเสียงต่ำพร่ากระซิบที่ริมหูของนาง
“เมื่อกระทำเรื่องที่ไม่สมควรกระทำกับข้า ย่อมต้องรับผิดชอบ เจ้าอย่าได้เสียใจในภายหลัง”
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปชั่วครู่ รับผิดชอบหรือ?
หากว่าเป็นเสี่ยวเฉวียนเฉวียนละก็ นางย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์….ความรับผิดชอบของนางคงต้องเปลี่ยนไปเป็นอีกรสชาติหนึ่ง
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะตอบเขาไป ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยที่แสบแก้วหูดังขึ้นมา
แม้แต่เหล่าศิษย์ที่เหาะอยู่ในอากาศต่างก็พากันอุดหูเอาไว้ แต่ละคนรีบเหาะลงมาและล่าถอยออกไป
เพียงแค่ครู่เดียวทั่วทั้งท้องฟ้าก็เหลือแต่เพียงตู๋กูซิงหลันและคนผู้นั้น อ้อยังมีร่างแบ่งภาคของนางด้วย
เสียงขลุ่ยนั้นยังคงไม่ยอมหยุด เสียงของมันเหมือนกับใช้ปลายเล็บขูดลงไปบนกระจกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเสียงที่ทรมานผู้ฟังอย่างมาก
ตู๋กูซิงหลันมองตามเสียงนั้นไปที่บนตึกสูง
ก็เห็นซ่งชิงอีจับจ้องมาที่นางอย่างเย็นชา บนริมฝีปากของนางมีขลุ่ยสีขาวที่ทำจากกระดูกเลาหนึ่ง เสียงนั้นดังมาจากขลุ่ยกระดูกเลานั้นนั่นเอง
พอเป่าออกมา ท้องฟ้ายามค่ำก็เหมือนเกิดลมหนาวพัดโหมขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งๆดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ในอากาศพลันมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น…..
หมอกสีแดงเลือดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางสายลม จากนั้นหมอกสีแดงเลือดก็เปลี่ยนเป็นเงาร่างของผู้คน
เงาร่างสีแดงเลือด ใบหน้าที่ซีดขาว บนใบหน้าของพวกเขายังมีลวดลายอักขระอยู่เต็มไปหมด ทั้งมือและเท้าถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาขนาดเท่าข้อมือ ดูแล้วทั้งลึกลับและน่าหวาดกลัว
บนตึกสูง ซ่งชิงอีที่เห็นว่าตนเองสามารถเรียก ‘ผีกุ่ยหลัวซา[1]’ออกมาได้ทีละตัวๆ จนสำเร็จ แววตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความพอใจ
วังตันติ่งกงมีฝีมือด้านการหลอมยาตันอย่างชำนิชำนาญก็จริง แต่ว่าในด้านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรนั้นยังถือว่าอ่อนด้อยไปมากอยู่เหมือนกัน
เพื่อวังตันติ่งกง และเพื่อตนเองแล้ว นางย่อมต้องมีไม้ตายอยู่บ้าง
‘ผีกุ่ยหลัวซา’เหล่านี้ก็คือไม้ตายอย่างหนึ่งของนาง
ใช้วิญญาณแค้นที่มีไอแค้นรุนแรงที่สุดสร้างขึ้นมา ‘ผีกุ่ยหลัวซา’แต่ละตัวมีพลังรุนแรงกว่าวิญญาณแค้นทั่วไปนับพันเท่า
‘ผีกุ่ยหลัวซา’แต่ละตัวสามารถต่อสู้กับเหล่ายอดนักพรตได้นับสิบคน
และครั้งนี้ นางถึงกับเรียก ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ออกมาถึงร้อยตัวในคราวเดียว
นางไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะมีหนทางรับมือ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ที่นางสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจได้
‘ผีกุ่ยหลัวซา’เหล่านี้ นางใช้เวลาสร้างขึ้นมานานถึงหลายร้อยปีแล้ว
เหล่าคนหนุ่มสาวที่ถูกจับมาปรุงเป็นยาบุปผาสะคราญในช่วงนี้ หลังจากที่ตายแล้ว วิญญาณของพวกเขาถูกนางกักขังเอาไว้ ตระเตรียมจะสร้างเป็น ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ชุดต่อไป
ใช้ทุกสิ่งให้เป็นประโยชน์จนถึงหยดสุดท้าย เป็นอุปนิสัยประจำตัวของซ่งชิงอีอยู่แล้ว
นางเป่าขลุ่ยกระดูกในมือบงการผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น
คอยดูเถอะ อีกไม่ถึงครู่เดียว เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะต้องถูกผีกุ่ยหลัวซาของนางฉีกเป็นชิ้นๆ
แม้มองดูจากไกลๆ ก็รู้ว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นมีรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย นางจะต้องสับเขาจนกลายเป็นเนื้อบดนำไปปรุงและหลอมเป็นยาบุปผาสะคราญให้จงได้!
ซ่งชิงอียกปลายคางเชิดขึ้นจนสูง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง
ส่วนฝูลั่วก็พอจะถอนหายใจออกมาได้เปาะหนึ่ง
ในดินแดนจิ่วโจวนี้ นอกจากนางแล้ว ก็ไม่มีบุคคลที่สองที่รู้ว่าท่านเจ้าวังสร้าง‘ผีกุ่ยหลัวซา’ขึ้นมา
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านเจ้าก็ไม่เคยเรียกผีกุ่ยหลัวซาพวกนี้ออกมาก่อนเลย วันนี้เป็นเพราะว่ามีคนบุกมาจนถึงประตู นางจึงจำต้องเรียกพวกมันออกมา
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ล้วนถูกท่านเจ้าควบคุมเอาไว้ได้หมดแล้ว เช่นนี้ก็ดี
เพราะการปรากฏตัวของผีกุ่ยหลัวซา อุณหภูมิที่อบอุ่นรอบด้านจึงลดลงไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งๆที่ตอนนี้ยังไม่ทันจะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่เมื่อผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ปรากฏตัวออกมา ก็ทำให้บรรยากาศเหมือนตกอยู่กลางฤดูเหมันต์ที่รุนแรงที่สุด
ในอากาศมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มีไอแค้น ไอหยินที่หนาวเย็น และกลิ่นเน่าของศพที่ผุดออกมาจากในสุสาน
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกไม่สบายจนย่ำแย่
บางคนถึงกับอาเจียนออกมาแล้ว
เหล่าศิษย์ของวังตันติ่งกงถึงกับตะลึงไปแล้ว แต่ละคนแยกย้ายกันถอยออกไป
พวกเขาพากันอุดจมูกเอาไว้ พลางจับลำคอของตนเองเอาไว้ เพื่อที่จะได้ผลักไสความหนาวเย็นเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย
ศิษย์เหล่านี้ มาที่วังตันติ่งกงก็เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนการปรุงยา การบำเพ็ญจึงมิได้สูงส่งเท่าใด
เมื่ออยู่ๆต้องมาเจอกับภูติผีเหล่านี้ก็ต้องย่ำแย่แล้ว
……………………
——
[1] 鬼罗刹(Gui Luo Sha): Raksasi,รากษส ยักษ์หรืออสูรชั้นต่ำประเภทหนึ่ง ดุร้าย กินเนื้อมนุษย์ เป็นบริวารของพยายม