ตอนที่ 2 กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย
ตอนที่ 2 กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย
เมื่อเห็นท่าทางต่อต้านของเขารวมถึงหนังสติ๊กในมือ หลินเซี่ยจึงยกมือสัมผัสหน้าผากตัวเองที่เจ็บปวด ถึงรู้ว่าบริเวณดังกล่าวปูดโปนออกมา
ฉากนี้ช่างดูคุ้นเคยเสียจริง ๆ!
เธอหันมองไปทางประตูอีกครั้งด้วยสายตาว่างเปล่า
อย่าบอกนะว่านี่คือการเกิดใหม่?
คิดได้แบบนั้นเธอก็กระโดดลงจากเตียงเตา(1)ด้วยความเหลือเชื่อ คว้ากระจกกลมบานเล็กบนโต๊ะไม้เก่า ๆ มาถือไว้เพื่อส่องใบหน้า
ใบหน้าสวยงามของหญิงสาวแรกรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะปรากฏขึ้นในกระจก
นี่คือเธอสมัยสาว ๆ!
แถมยังเป็นเธอในช่วงที่เพิ่งจะแต่งงานกับเฉินเจียเหอ
สายตาของเธอจับจ้องไปที่ปฏิทินบนผนังอีกครั้ง ตัวเลขบนปฏิทินบ่งบอกว่าตอนนี้เธอได้ทะลุมิติมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้วจริง ๆ
เธอย้อนเวลากลับมาในเดือนสิบสองของปี 1988 ซึ่งเป็นวันที่สามของการแต่งงานระหว่างเธอกับเฉินเจียเหอ
ในเวลานั้นเธอเพิ่งถูกส่งตัวกลับมายังบ้านเกิดของตัวเองในชนบท จากนั้นก็ถูกย่า อารอง และคนอื่น ๆ จัดแจงให้เธอไปแต่งงานกับใครบางคนอย่างรีบร้อน
เธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุมากกว่า และมีลูกชายวัยห้าขวบ
เดิมทีเธอไม่เต็มใจ แต่หลังจากคิดทบทวนดูอีกที เฉินเจียเหอทำงานอยู่ในไห่เฉิง บางทีการแต่งงานกับเขาอาจทำให้เธอสามารถกลับไปโลดแล่นอยู่ในเมืองได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงตอบตกลง
หลังจากแต่งงานได้สองวัน เธอก็ไม่ยอมให้เฉินเจียเหอนอนร่วมเตียงอีก
แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะลงจากเตียง เลยเอาแต่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงนี้
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเช้าวันที่เธอต้องกลับไปเยี่ยมบ้านในชาติที่แล้ว หู่จื่อใช้หนังสติ๊กยิงหน้าผาก จากนั้นเธอก็ร้องเอะอะโวยวาย และไม่ได้กลับไปหาครอบครัวเดิม
หู่จื่อตกใจจนเตลิดหนีออกจากบ้านไปด้วยเหตุนี้ จากนั้นเขาก็แขนหัก
ตอนนี้ เมื่อเธอมองไปที่เด็กน้อยซึ่งกำลังจ้องเขม็งมองเธอจากหน้าประตู เธอกลับรู้สึกเคลิ้มไปด้วยความสุข รีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกจากห้อง
หู่จื่อคิดว่าหลินเซี่ยต้องการไล่ตามเขาเพื่อลงโทษ เขาก็เก็บหนังสติ๊ก แล้ววิ่งซอยเท้าสั้น ๆ ไปหลบที่ไหนสักที่
หลินเซี่ยก้าวข้ามธรณีประตู ลมหนาวด้านนอกพัดโชยมาปะทะ ทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน
มุมกำแพงอิฐทางทิศใต้ของลานบ้าน ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งสวมเสื้อนอกสีเทา ใบหน้าเคร่งขรึมและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน กำลังขนซังข้าวโพดมาสร้างห้องน้ำกลางแจ้ง
พอหลินเซี่ยเห็นฉากนี้ ความทรงจำเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในสมองของเธออีกครั้ง
ช่วงแรก ๆ ที่เธอแต่งงาน เธอเคยออกปากว่าไม่ชอบห้องน้ำในบ้านที่ไม่มีอากาศถ่ายเท เฉินเจียเหอรับฟังเงียบ ๆ จากนั้นก็ฝ่าลมหนาวออกไปขนซังข้าวโพดจากกลางทุ่งกลับมา แล้วลงมือสร้างห้องน้ำที่แข็งแรงและมีอากาศถ่ายเทอย่างเพียงพอ
เมื่อมองไปที่ร่างสูงใหญ่นั้น หลินเซี่ยก็สูดจมูก ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวด้วยหยดน้ำตา
ขณะนี้เธอสวมเสื้อผ้าเนื้อบาง ยืนดูผู้ชายคนนั้นทำงานด้วยอาการเหม่อลอย หู่จื่อที่วิ่งไปหลบอยู่หลังประตูไม่เห็นเธอวิ่งไล่ตามมา จึงคิดว่าหลินเซี่ยยอมแพ้แล้ว ทันใดนั้นก็รวบรวมความกล้าหาญขึ้นมาอีกครั้ง จึงหยิบเอาก้อนหินลักษณะแหลมคมบนพื้นขึ้นมา กดก้อนหินเข้ากับหนังสติ๊ก แล้วยิงใส่เธออีกครั้ง
ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ฝีมือของเด็กชายค่อนข้างแม่นยำ
หินก้อนนั้นพุ่งปะทะหลังมือของหลินเซี่ยแบบไม่พลาดเป้า
หลินเซี่ยร้องโอ๊ยออกมาอีกครั้ง
เมื่อยกมือขึ้น ถึงเห็นว่าผิวหนังบริเวณหลังมือมีเลือดไหลซึมออกมา พร้อมกับหินรูปเพชรก้อนเล็ก ๆ ที่กลิ้งไปตามพื้น
เธอเงยหน้าขึ้น เห็นว่าตัวการที่ใช้หนังสติ๊กทำร้ายเธอกำลังมองมาที่เธออย่างท้าทาย
แถมยังทำเสียงล้อเลียนด้วย
เจ้าเด็กนี่ กล้าดียังไง?
“เฉินหู่จื่อ!”
หลินเซี่ยเปล่งเสียงคำรามลั่นราวกับสิงโตเหอตง ก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปหา แล้ววาดขาเตะก้นเจ้าเด็กจอมซนคนนั้นทันที
หู่จื่อที่กำลังภูมิใจกับฝีมือการยิงอันแม่นยำของตัวเองไม่คาดคิดว่าเธอจะไล่ตามมาเตะก้นของเขาอย่างจัง เขารีบกุมบั้นท้ายตัวเองไว้ด้วยความอับอายและโกรธเคือง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ผู้หญิงไม่ดี กล้าดียังไงมาเตะผม?”
หลินเซี่ยไม่ยอมเขาเช่นกัน อธิบายกับเขาด้วยเหตุผล “ก็เธอมายิงฉันก่อนทำไม?”
หู่จื่อในตอนเด็กเป็นเด็กแสบจอมดื้อรั้น คำสั่งสอนดี ๆ ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเลย นอกจากนี้ เธอจำได้ว่าชาติที่แล้วตัวเองมักจะวางตัวเย่อหยิ่งและเจ้ากี้เจ้าการขนาดไหน เมื่อย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เธอก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
อีกอย่าง เพื่อรับมือกับเด็กแสบแบบเขาให้อยู่หมัด ผู้ใหญ่จะต้องโหดกว่า เอาชนะความร้ายกาจด้วยความร้ายกาจ
“ดูสิ มือของฉันเลือดออกเพราะเธอนะ” หลินเซี่ยพลิกหลังมือตัวเองขึ้นมาแล้วสะบัดอย่างแรงต่อหน้าเขา
หู่จื่อรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่โต้กลับว่า “ใครใช้ให้คุณเป็นผู้หญิงขี้เกียจ ใครใช้ให้คุณมาอยู่บ้านย่าของผม ใครใช้ให้คุณนอนกับพ่อของผมกันล่ะ?”
หลินเซี่ยอธิบาย “ฉันแต่งงานกับพ่อของเธอ เราสองคนต้องนอนด้วยกันอยู่แล้ว และต่อจากนี้ไปฉันก็จะกลายเป็นแม่ของเธอด้วย”
“คุณไม่ใช่แม่ผม แม่ผมตายไปนานแล้ว คุณมันแม่เลี้ยงใจร้าย”
“แม่เลี้ยงก็แม่เหมือนกัน”
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน เหมือนไก่ชนสองตัวที่พร้อมจิกอีกฝ่ายเสมอ ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร
เฉินเจียเหอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่นี่ เขาวางซังข้าวโพดในมือลง แล้วเดินมาทางนี้
“ผู้หญิงไม่ดี ออกไปจากบ้านย่าผมนะ ผมไม่ต้องการให้คุณมาเป็นแม่ของผม แล้วผมก็ไม่ยอมให้ย่าเอาแต่ปรนนิบัติคุณทั้งวันด้วย”
เมื่อได้ยินคำกล่าวหาจากปากเด็กน้อย หลินเซี่ยก็นึกถึงพฤติกรรมอันน่าเอือมระอาในชาติที่แล้วหลังจากที่ตัวเองเพิ่งจะแต่งงานกับเฉินเจียเหอ ทันใดนั้นก็นึกอยากตบหน้าตัวเองขึ้นมา
เธอเคยชินกับชีวิตที่สุขสบายตอนอยู่ในเมือง แต่แล้วจู่ ๆ ก็ถูกส่งตัวมาอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่แห้งแล้งห่างไกลความเจริญโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือมาก่อน อีกทั้งสภาพอากาศในบ้านนอกช่วงฤดูหนาวก็หนาวเย็นเกินไป เธอจึงเอาแต่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียง อาศัยคนอื่นคอยเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำให้ถึงที่
ในขณะที่เธอกำลังประจานตัวเองอยู่ในใจ เธอก็ยังแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงใจร้ายเมื่อเผชิญหน้ากับหู่จื่อ “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่กับพ่อของเธอไปตลอดชีวิต ต่อให้เธอไม่เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย”
กลับมาชาตินี้ เธอจะไม่เลือกเส้นทางชีวิตผิดพลาด และทอดทิ้งพวกเขาอีกต่อไป
เฉินเจียเหอหยุดชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาลึกล้ำของเขามองไปยังหญิงสาวที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
อยู่กับเขาไปตลอดชีวิต
หู่จื่อเถียงเธอไม่ได้ ทันทีที่เขาเห็นเฉินเจียเหอกำลังเดินมาทางนี้ เขาก็เริ่มร้องไห้และฟ้องว่า “พ่อ ผู้หญิงไม่ดีทำร้ายผม หล่อนเตะก้นผมด้วย”
“หุบปาก”
สายตาของเฉินเจียเหอเลื่อนจากหน้าผากที่ปูดบวมของหลินเซี่ย เรื่อยลงมายังหลังมือที่เปื้อนเลือดของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว คว้ามือของเธอไว้ ก่อนจะหันหลังจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องโถง
หลังจากก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง คว้าแขนหู่จื่อไว้ด้วยมืออีกข้าง จากนั้นก็จับจูงทั้งสองคนซ้ายขวาให้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน
“ไปยืนหันหน้าเข้ากำแพงซะ”
หลังออกคำสั่ง เขาก็คว้าหนังสติ๊กจากมือของหู่จื่อมาเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะพาหลินเซี่ยมานั่งลงที่ขอบเตียง แล้วหันไปค้นหาบางอย่างภายในห้อง
แม่เฒ่าโจวคุณย่าของเฉินเจียเหอรีบวิ่งออกมาจากห้องครัวทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ เมื่อเห็นว่าหลังมือของหลินเซี่ยได้รับบาดเจ็บจนเลือดออก แล้วมองไปเห็นว่าหลานชายกำลังถูกทำโทษให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพง นางก็หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ
“เจียเหอ ในตู้มีผ้าก๊อซอยู่ เดี๋ยวย่าไปเอามาให้”
“ครับ”
เฉินเจียเหอหยิบผ้าขนหนูออกมาประคบหน้าผากที่ปูดนูนของเธอเบา ๆ จากนั้นก็จับมือเย็นเฉียบของเธอเอาไว้ แล้วบรรจงเช็ดคราบเลือดบนหลังมือ
มือของหลินเซี่ยถูกเขาจับไว้แน่น เธอจึงถือโอกาสจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาซึ่งอยู่ใกล้เธอมาก ๆ ใกล้เสียจนสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา
จากนั้นเธอก็ร้องไห้อีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเห็นเธอร้องไห้ เฉินเจียเหอก็คิดว่าเธออาจจะเจ็บ จึงหยุดเช็ดทำความสะอาดแผลไปชั่วครู่
หลังจากเฉินเจียเหอเช็ดแผลเสร็จแล้ว คุณย่าโจวก็คลี่ผ้าก๊อซผืนใหญ่ออกเพื่อให้เขาใช้พันแผล
หลินเซี่ยร้องบอกเขา “เอาแค่พอปิดแผลมิดก็พอแล้ว ไม่ต้องห่อทั้งหมดหรอก”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล เฉินเจียเหอชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเธออย่างสงบ
ดูเหมือนว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงที่มักจะตะคอกใส่เขาอย่างรุนแรงตลอดสองวันที่ผ่านมา จะพูดคุยกับเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้
“อืม”
เฉินเจียเหอหายาเม็ดสีเหลืองจากในตู้ จากนั้นก็บดมันเป็นผงแล้วโรยลงบนแผล จากนั้นตัดผ้าก๊อซเป็นขนาดที่พอเหมาะ แล้วพันรอบมือเธออย่างระมัดระวัง
“นี่คือยาอะไรเหรอคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย
“ออกซีเตตราไซคลีน ยาป้องกันการติดเชื้อ” ชายคนนั้นตอบกลับสั้น ๆ โดยไม่เงยหน้ามอง จดจ่ออยู่กับการเย็บผ้าก๊อซด้วยด้ายธรรมดา
หลังจากพันแผลเสร็จแล้ว คุณย่าโจวก็หยิบเสื้อคลุมลายเกล็ดหิมะสีแดงมาให้เธอสวมใส่ หญิงชราขอโทษขอโพยเธอด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย อย่าไปถือสาเด็กโง่คนนั้นเลย เขาคงไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไว้ฉันค่อย ๆ สั่งสอนเขาในภายหลัง”
ทันทีที่คุณย่าโจวพูดจบ เด็กชายที่เพิ่งถูกลงโทษให้ไปยืนอยู่ตรงมุมห้องก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ “เด็กคนนี้น่าสงสาร ตอนเขาอายุได้สองหรือสามขวบก็กำพร้าแม่เสียแล้ว”
หลินเซี่ยมองไปทางเด็กชายตัวน้อยที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวโยน มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย
ชาติที่แล้วเธอคงตามืดบอดไปจริง ๆ ถึงได้เกลียดชังเด็กน้อยที่หน้าตาน่ารักคนนี้
เฉินเจียเหอเดินไปหาเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ก้มมองลงไปที่ลูกชายของเขาซึ่งถูกลงโทษให้ยืนอยู่ตรงมุมห้อง “สำนึกผิดแล้วหรือยัง?”
“พ่อนิสัยไม่ดี พวกคุณทุกคนเป็นคนไม่ดีกันหมด” หู่จื่อจ้องมองเขาอย่างดุเดือดด้วยดวงตาแดงก่ำ
เฉินเจียเหอมองไปที่เด็กชายตัวน้อยซึ่งเอาแต่ต่อปากต่อคำกับตัวเอง ไม่ได้ลงมือทุบตีหรือดุด่าลูกชาย
เด็กแสบเอ๊ย เขาเคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะยอมรับหลินเซี่ย แต่แค่สองวันผ่านไปก็กลับคำเสียแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………….
(1) เตียงเตา หรือ กัง 炕 คือเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง พบได้ทั่วไปในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น
สารจากผู้แปล
ทำผิดเรื่องอะไรไว้ก็ค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่องล่ะค่ะ คิดซะว่าเป็นการฝ่าด่านเคราะห์เพื่อมีชีวิตชาติใหม่ที่ดี
ไหหม่า(海馬)