ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 66 อาการป่วยกำเริบ ให้รีบกลับทันที

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 66 อาการป่วยกำเริบ ให้รีบกลับทันที

ตอนที่ 66 อาการป่วยกำเริบ ให้รีบกลับทันที

เมื่อได้ยินหลิวกุ้ยอิงพูดถึงหลินจินซานขึ้นมา หลินเยี่ยนก็กลัวว่าจะเป็นการทำลายความสุขของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยในช่วงตรุษจีน จึงพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า “แม่ เมื่อคืนแม่พูดเรื่องนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว อย่าพูดถึงเขาอีกเลยค่ะ”

หลิวกุ้ยอิงปาดน้ำตา “วันปีใหม่แท้ ๆ พี่ชายของลูกกลับไม่อยู่บ้าน จะไม่ให้แม่คิดถึงเขาได้ยังไง?”

“เขาอายุยี่สิบแล้ว เขาต้องดูแลตัวเองได้แน่ค่ะ”

หลินเซี่ยถามหลิวกุ้ยอิง “ตั้งแต่ออกจากบ้านพี่ชายไม่ได้เขียนจดหมายกลับมาหาเลยเหรอคะ?”

หลิวกุ้ยอิงมีสีหน้าเศร้าหมอง “ครึ่งปีแรกของปีที่แล้วเขาเคยเขียนส่งมาครั้งหนึ่ง แต่พวกเราไม่เคยได้ยินที่อยู่ที่เขาจ่าหน้าซองไว้เลย พอลองถามใครสักคน พวกเขาต่างก็บอกว่าสถานที่นั้นอยู่ทางใต้สุด เราคงไม่มีทางตามไปเจอเขาได้”

“ไม่ต้องกังวลค่ะ บางทีแม่อาจจะได้เจอเขาตอนย้ายไปที่ไห่เฉิงก็ได้”

ชาติที่แล้ว เธอจำได้ว่าตัวเองเจอกับหลินจินซานในเมืองไห่เฉิงได้ไม่นานนักหลังจากที่เธอกลับไปอยู่ที่นั่น

เมื่อได้ยินคำปลอบโยนจากหลินเซี่ย หลิวกุ้ยอิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก และเริ่มตั้งตารอการเดินทางครั้งใหม่ไปเริ่มต้นชีวิตที่เมืองไห่เฉิง

“จริงสิ แม่คะ ครอบครัวเดิมของแม่อยู่ที่ไหนเหรอ?” หลินเซี่ยถามหลิวกุ้ยหยิงอย่างเป็นกันเอง

เมื่อพูดถึงครอบครัวเดิม สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงก็เคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตอบว่า “ครอบครัวเดิมของแม่อยู่ในเทศมณฑลซีเหอ ค่อนข้างไกลจากที่นี่”

เทศมณฑลซีเหอ?

หลินเซี่ยไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

แต่เฉินเจียเหอที่อยู่ด้านข้างกลับเงยหน้าขึ้นมองหลิวกุ้ยอิงอย่างพิจารณา

รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้ที่ไหน

หลินเซี่ยสงสัย “แล้วแม่มาเจอพ่อได้ยังไงคะ? ทำไมถึงมาแต่งงานกันได้? ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับเทศมณฑลที่ว่านี้เลย”

“พ่อกับแม่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาก่อน ดังนั้นเราก็เลยรู้จักกัน” หลิวกุ้ยอิงตอบกลับ

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินเซี่ยก็ถอนหายใจ “เพราะความรัก แม่ก็เลยยอมจากบ้านมาไกลเพื่อแต่งงานนี่เอง”

“แล้วแม่ไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวเดิมเลยเหรอคะ?” หลินเซี่ยถามอีกครั้ง

หลิวกุ้ยอิงหลับตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่เลย”

เห็นได้ชัดว่าหลิวกุ้ยอิงไม่ค่อยเต็มใจที่จะพูดถึงครอบครัวเดิมของตัวเอง รีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “กินเร็วเข้า ถ้าไม่พอแม่จะไปทำเพิ่มอีก”

“พวกเราเริ่มอิ่มแล้วค่ะ ไม่ต้องทำเพิ่มแล้ว”

ทุกคนพูดคุยกันพลางกินบะหมี่ไปด้วย ทันใดนั้น เสียงคร่ำครวญก็ดังขึ้นจากทางลานบ้าน

ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยและน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน สีหน้าของแต่ละคนก็มืดหม่นลงทันที

วันฉลองปีใหม่แท้ ๆ แค่จะกินข้าวยังถูกขัดจังหวะ

หลินเยี่ยนเลิกผ้าม่านขึ้น เห็นหญิงชราแผดเสียงร้องไห้อยู่ในลาน จึงโพล่งถามด้วยความโกรธ “คุณย่า ทำอะไรน่ะคะ?”

“ทำอะไรน่ะเหรอ? วันฉลองปีใหม่ทั้งที ดวงวิญญาณของลูกชายฉันคงกลับมาร่วมฉลองด้วยเหมือนกัน ขอฉันเข้าไปไหว้เขาได้ไหม?”

ว่าแล้วแม่เฒ่าหลินก็เดินขึ้นบันได หลินเยี่ยนจึงถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่แม่เฒ่าหลินเข้ามาในห้อง นางก็ร้องห่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อเห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ต้าฝู ต้าฝูเอ๋ย แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”

ถ้าทุกคนในที่นี้ไม่รู้มาก่อนว่านิสัยแท้จริงของหญิงชราเป็นอย่างไร ฉากนี้คงชวนให้สงสารเห็นใจไม่น้อย

คนผมขาวต้องมาไว้ทุกข์ให้คนผมดำ

“แม่ วันนี้เป็นวันปีใหม่ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ” หลิวกุ้ยอิงช่วยพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้น มองนางแล้วถามว่า “กินข้าวหรือยังคะ?”

แม่เฒ่าหลินโกรธกระฟัดกระเฟียด “ก็ยังน่ะสิ จะให้ฉันไปหาข้าวจากไหนกิน? ทุกคนหายหัวทิ้งยายแก่อย่างฉันไปหมด”

พอพวกเขาขอแยกครอบครัว ก็ไม่มีใครถามหญิงชราเลยว่าปีใหม่นี้นางอยากกินอะไร

หญิงชราไม่ได้ทำอาหารหน้าเตามาหลายปี แทบไม่เหลือทักษะการทำอาหารอยู่แล้ว นางย่อมทนหิวมากกว่าเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเอง

เนื่องจากนี่เป็นวันฉลองปีใหม่ แม่เฒ่าของตระกูลโผล่มาถึงหน้าประตู หลิวกุ้ยอิงไม่มีทางเลือกนอกจากบอกให้หลินเยี่ยนไปทำบะหมี่มาให้

แม่เฒ่าหลินนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตา ขณะที่เคี้ยวบะหมี่ นางก็อธิบายให้หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ฟังอย่างยอมจำนน “เจียเหอ เซี่ยเซี่ย อย่าถือโทษโกรธฉันเลย ฉันแค่สับสนไปชั่วขณะ ตอนนี้ฉันสำนึกแล้วว่าไม่ควรคล้อยตามหวังจวี๋เซียงในการแนะนำสามีให้เสี่ยวเยี่ยน ฉันผิดไปแล้ว”

หลินเซี่ยไม่มีความผูกพันใด ๆ กับย่าคนนี้ จึงไม่สนใจที่จะคุยกับนาง

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แก่แล้วเสียคนแต่เสียคนจนแก่ ถ้าเผลอไปสงสารเห็นใจ หญิงชราคนนี้ต้องหาวิธีขายน้องสาวเธอไปแต่งงานอีกครั้งแน่

หลินเซี่ยไม่ตอบ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รีบกินเร็วเข้า กินเสร็จแล้วจะได้กลับบ้านกัน”

จากนั้นเธอก็พาหู่จือกับเฉินเจียเหอเดินออกไปที่สนามด้านนอก

พวกเขาต้องรอให้หญิงชราออกไปก่อนแล้วค่อยไป

มิฉะนั้น ด้วยนิสัยใจอ่อนของหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน พวกหล่อนคงไม่กล้าไล่หญิงชราออกไป

หลินเซี่ยพาหู่จือไปจุดประทัดที่ลานบ้าน ทันใดนั้นหวังจวี๋เซียงก็กลับเข้ามาด้วยความโกรธ

หล่อนหวีดเสียงแหลมโจมตีหลินเซี่ย “หลินเซี่ย เธอทุบตีต้าจวงจนเกือบตายแล้ว รู้หรือเปล่า? เธอต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขาด้วย”

“เกือบตายแล้วยังไง? หมายความว่าเขาก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ?” หลินเซี่ยถามเบา ๆ

“ตาเขาแดงก่ำแล้วก็บวมเป่งไปหมด เจ็บจนทำไม่ได้แม้แต่จะลืมตาขึ้น กระดูกขาก็ร้าว แถมยัง เอ่อ… อวัยวะสำคัญยังได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เขาปัสสาวะไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะความเจ็บปวด”

วันนี้หวังจวี๋เซียงกลับไปเยี่ยมครอบครัวเดิม พอเข้าไปที่บ้านของลูกพี่ลูกน้อง ก็เห็นว่าหวังต้าจ้วงนอนอยู่บนเตียงแล้วเอาแต่ร้องครางโอดโอยในสภาพสุดปัญญาหมอที่จะรักษา ไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่แผล

ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนอยากระเบิดอารมณ์แทบตาย

แต่ลูกชายของเขาเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ดังนั้นจึงได้แต่ทนทุกข์เหมือนคนโง่เท่านั้น

แต่พวกเขาไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้จริง ๆ

หลินเซี่ยรู้สึกรังเกียจกับข้อกล่าวหาของหวังจวี๋เซียง “งั้นเหรอ? งั้นทำไมคุณไม่โทรหาตำรวจ แล้วขอให้ตำรวจมาสอบสวนล่ะว่าเขากลายเป็นแบบนี้เพราะอะไร? รู้ไหมว่าเขาทำร้ายสภาพจิตใจฉันมากแค่ไหน? ที่ผ่านมาฉันป่วยเป็นโรครังเกียจผู้ชาย ไม่กล้าให้เฉินเจียเหอนอนร่วมเตียงในตอนกลางคืน ทุกคืนแทบไม่อยากข่มตาหลับ นอนหลับเมื่อไหร่ก็เอาแต่ฝันร้าย เขาเจ็บปวดแค่เพราะแผลทางกาย ส่วนฉันต้องแบกรับความเจ็บปวดทางจิตใจกับสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่มันกลับทำให้ฉันเป็นเหมือนคนบ้า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตแต่งงานของฉันกับเฉินเจียเหอ ถ้าอีกหน่อยฉันไม่ได้ไปหาหมอจิตเวชแล้วเสียสติ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?”

หวังจวี๋เซียงตะคอก “มันจะร้ายแรงถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน?”

“อาสะใภ้รอง ชีวิตนี้คุณไม่เคยโดนผู้ชายรังแกเลยรึไง? หรือนอกจากคุณจะไม่รู้สึกรังเกียจที่ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนเลวทรามแล้ว ยังรู้สึกสนุกไปกับมันอีกด้วย คุณก็เลยไม่เข้าใจอารมณ์ของฉัน?”

ชีวิตความเป็นจริง มีหลายกรณีที่ผู้หญิงถูกปีศาจโรคจิตคุกคามทางเพศและลวนลามตั้งแต่เด็ก ทำให้เหตุการณ์นั้นกลายเป็นฝันร้ายหลอกหลอนพวกเธอไปตลอดชีวิต

ตอนกลางคืนที่เงียบสงัด ไม่มีใครรู้ว่าความทรมานทางสภาพจิตใจนั้นเจ็บปวดแค่ไหน และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นรับรู้

ขณะที่หลินเซี่ยระบายออกมา มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวก็เริ่มสั่นเทา

เฉินเจียเหอก้าวไปอยู่เคียงข้างเธอ

เมื่อเห็นแบบนั้น หลิวกุ้ยอิงก็ออกปากไล่พวกหล่อนออกไป

“หวังจวี๋เซียง รีบพาแม่กลับไปที่บ้านของเธอเร็วเข้า”

หลิวกุ้ยอิงมักจะยอมจำนนอยู่เสมอ แต่ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาว หล่อนจะมีพลังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

มนุษย์แม่คือบุคคลที่เข้มแข็ง

เมื่อไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ หล่อนก็ดึงแม่เฒ่าหลินออกไปจากบ้าน แล้วส่งต่อให้เป็นภาระของหวังจวี๋เซียง

หลังจากขับไล่พวกหล่อนออกไปแล้ว หลิวกุ้ยอิงก็มองหลินเซี่ยอย่างลำบากใจ น้ำตาไหลอาบหน้า “เซี่ยเซี่ย แม่ขอโทษจริง ๆ เมื่อวานแม่ควรออกไปกับลูกเพื่อตามหาเสี่ยวเยี่ยน”

หล่อนเสียใจที่เปิดโอกาสให้หวังต้าจวงแสวงหาผลประโยชน์

“แม่ อย่ารู้สึกผิดไปเลยค่ะ ฉันปลอดภัย เราสองคนยังรักกันดี” หลินเซี่ยพูดขณะที่เอื้อมไปจับมือเฉินเจียเหอ เพื่อพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ของตัวเองไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

“แม่คะ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนอย่าลืมเตรียมตัวเก็บข้าวของ พวกเราจะกลับไปที่ไห่เฉิงด้วยกัน”

พวกหล่อนไม่สามารถอยู่ที่บ้านตระกูลหลินได้อีกต่อไป ควรย้ายออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

หลิวกุ้ยอิงลังเล “แต่พวกเราไม่ค่อยรู้จักสถานที่นั้นดี จะเป็นการสร้างปัญหาให้พวกลูกหรือเปล่า?”

“ไม่หรอกค่ะ”

หลินเซี่ยหันไปพูดกับเฉินเจียเหอ “แม่ฉันทำกับข้าวอร่อย เสี่ยวเยี่ยนเองก็เคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน แน่นอนว่ามีประสบการณ์ ฉันคิดว่าถ้าพวกเรากลับไปที่ไห่เฉิง จะให้พวกหล่อนลองตั้งแผงขายอาหารที่หน้าทางเข้าโรงงานคุณ ต้องขายดิบขายดีแน่นอน”

เฉินเจียเหอพยักหน้า “ดีเหมือนกัน การตั้งแผงขายอาหารเป็นความคิดที่ดีเลย ผมเริ่มเบื่ออาหารในโรงอาหารเต็มทนแล้ว ทุกคนคงเต็มใจจ่ายเพื่อซื้ออาหารจากข้างนอก ไว้ค่อยหาบ้านเช่าเอาก็ได้”

“เซี่ยเซี่ย แม่ไม่ค่อยมั่นใจเลยว่าจะทำตามที่ลูกเสนอได้ แม่ทำอาหารง่าย ๆ เป็นแค่บางอย่าง ฝีมือคงไม่เท่าร้านอาหารที่คนในเมืองเขาไปกินกัน

“แม่ เชื่อหนูเถอะค่ะ หนูจะสอนวิธีทำเหลียงผี(1)กับเหลียงเฝิ่น(2) เรามาเริ่มด้วยสองอย่างนี้กันก่อน” หลินเซี่ยพูด “ตอนนี้แม่ทำให้หลินเอ้อร์ฝูและคนอื่น ๆ ขุ่นเคืองแทบกระอักตาย ถ้าแม่ไม่ไปกับเรา แม่กับน้องต้องถูกรังแกจนตายคาหมู่บ้านนี้แน่ ๆ ไหนจะครอบครัวของหวังต้าจ้วงอีก ฉันไม่อยู่สักคน เสี่ยวเยี่ยนต้องซวยแน่ ๆ”

ทันทีที่หลินเซี่ยพูดแบบนี้ หลิวกุ้ยอิงกับหลินเยี่ยนก็เงียบไปครู่หนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นาน หลิวกุ้ยอิงก็ตัดสินใจว่า “งั้นพวกเราจะไปกับลูก”

“นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หลินเซี่ยถามเฉินเจียเหอ “คุณพอมีคนรู้จักอยู่ที่สำนักสันติบาล(3)ของที่นี่บ้างไหมคะ?”

“ดูเหมือนน้าของผมจะมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่ทำงานเป็นผู้กำกับของสถานีตำรวจ” เฉินเจียเหอถาม “ทำไมเหรอ?”

หลินเซี่ยมองไปที่พวกเธอแล้วตอบว่า “ฉันอยากให้แม่ไปแจ้งความคดีอาชญากรรม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเหตุการณ์ที่เสิ่นอวี้อิ๋งกับฉันถูกสลับตัวกัน เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลสุขภาพของเมืองเรา ดังนั้นเราจึงต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ อีกหน่อยถ้าเราย้ายไปอยู่ไห่เฉิง ตราบใดที่ไม่รู้ความจริงฉันคงเงยหน้าสู้ใครไม่ได้ เสิ่นอวี้อิ๋งโทษที่ฉันปล้นชีวิตอันสุขสบายไปจากหล่อน ฉันเลยอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากถูกกล่าวโทษโดยที่ไม่ใช่ความผิดฉัน ถ้าตอนนั้นฉันเลือกได้ ใครจะอยากไปเป็นลูกสาวของคนอื่นกันล่ะ?”

ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ถึงแม้เธอจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าเมื่ออยู่ในตระกูลเสิ่น อีกทั้งสภาพครอบครัวยังดีกว่าครอบครัวในชนบทมาก แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากนัก

ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้… ค่อนข้างเปราะบางมาก

จนกระทั่งเสิ่นอวี้หลงน้องชายของเธอลืมตาดูโลก ครอบครัวของพวกเขาถึงได้กลับมาแน่นแฟ้นกันอีกครั้ง

เมื่อหลิวกุ้ยอิงรู้ว่าเหตุการณ์ในอดีตยังสามารถสืบสวนดำเนินคดีได้ หล่อนก็ตอบกลับซ้ำ ๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ลูกพูดถูก เราต้องค้นหาความจริงให้กระจ่าง เราไม่ยอมถูกตำหนิอย่างไร้เหตุผลเด็ดขาด แม่จะไปแจ้งความ”

เฉินเจียเหอพูด “ได้ครับ สองวันหลังจากพวกเรากลับไปอยู่ในเมือง ผมจะขอให้น้าช่วยคุยกับคนที่ไว้ใจได้ แล้วเราค่อยไปแจ้งความคดีอาชญากรรมกัน”

“อีกอย่าง ทะเบียนบ้านของคุณอยู่ในหมู่บ้านนี้ใช่ไหม ในอนาคตถ้าเราจะไปจดทะเบียนสมรสกัน จะต้องมีเอกสารรับรองตัวตนจากทางหมู่บ้าน งั้นระหว่างทางผมจะแวะไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่ออวยพรปีใหม่ และขอเอกสารรับรองในทีเดียวเลย”

หลินเซี่ยบอก “ฉันไม่ได้พกบัตรประจำตัวมา”

“อย่าลืมเตรียมนะ”

หลังกลับจากบ้านตระกูลหลินก็พบว่ายังเช้าอยู่ เฉินเจียเหอจึงหยิบของขวัญไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และขอเอกสารรับรองเพื่อใช้สำหรับจดทะเบียนกับหลินเซี่ย

สองวันหลังจากนั้น ทั้งครอบครัวก็ยุ่งอยู่กับการออกไปเยี่ยมเยียนและอวยพรปีใหม่ญาติ ๆ

หลินเซี่ยเองก็ติดตามเฉินเจียเหอไปเยี่ยมญาติหลายคนจากฝั่งตระกูลโจว ความจริงแล้วเฉินเจียเหอก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นดีนัก แต่เขาต้องแวะไปอวยพรปีใหม่ตามมารยาท

วันที่ห้าของเทศกาลปีใหม่ บุรุษไปรษณีย์ก็มาส่งโทรเลขที่หมู่บ้าน

โทรเลขนี้ส่งถึงโจวลี่หรง

สิ่งเดียวที่จะทำให้บุรุษไปรษณีย์ยอมทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดปีใหม่ได้ก็คือโทรเลขด่วน

แน่นอน โจวลี่หรงตกใจมากเมื่อเห็นเนื้อหาของโทรเลขฉบับนั้น

“ลี่หรง เกิดอะไรขึ้น?” คุณยายโจวถามด้วยความห่วงใย

“อาการป่วยของเจียวั่งกำเริบ เหล่าเฉินขอให้ฉันรีบกลับบ้านทันที”

………………………………………………………………………………………………………………………

(1) เหลียงผี 麵皮 บะหมี่เย็นสไตล์ส่านซี

(2) เหลียงเฝิ่น 涼粉 อาหารเส้นทำจากแป้งถั่วเขียว ทำให้เป็นบล็อกวุ้นแล้วตัดเป็นเส้น

(3) สำนักสันติบาล 公安局 คือสถานีตำรวจ แต่สเกลไม่เท่ากับสถานีตำรวจอย่างที่เราเข้าใจ เพราะเป็นหน่วยงานระดับจังหวัด/เมือง แต่ละเมืองจะมีอยู่ไม่กี่แห่ง ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของเมือง

สารจากผู้แปล

ปีใหม่แล้วเลิกสร้างปัญหาเถอะแม่เฒ่า ส่วนคุณแม่กับคุณน้องรีบย้ายตามเซี่ยเซี่ยไปเถอะค่ะ ย้ายแล้วค่อยไปหาทางตั้งตัวใหม่ก็ไม่สาย ดีกว่าอยู่หมู่บ้านนี้ให้โดนรังแกต่อไป

น้องชายพี่เหอคนนี้เป็นยังไงนะ ป่วยแต่ละทีทำเอาคุณแม๊ตื่นตระหนกได้ขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

******************

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท