ตอนที่ 97 เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นลมบ้าหมู
ตอนที่ 97 เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นลมบ้าหมู
เจียงอวี่เฟยปฏิเสธท่าเดียว “ขอโทษด้วย โรงเรียนของฉันใกล้เปิดเทอมแล้ว ฉันไม่มีเวลาปลีกตัวมาทำอะไรพวกนี้จริง ๆ”
“ฉันเองก็ใกล้เปิดเทอมแล้วเหมือนกัน ฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกครึ่งปีให้หลังด้วย แต่ฉันก็ยังมีส่วนร่วมกับงานนี้อย่างแข็งขัน ได้ยินมาว่าเธอเรียนเต้นรำ ทั้งยังเป็นสมาชิกในครอบครัวของรองผู้อำนวยการโรงงาน เราควรร่วมมือกันร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ เพื่อจัดการแสดง แล้วนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานของเรานะ” หญิงสาวในชุดแจ็กเกตสีชมพูและผูกผมหางม้าสูงยังคงรบเร้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันบอกว่าไม่ร่วมก็คือไม่ร่วม พ่อฉันเป็นแค่รองผู้อำนวยการโรงงานที่ไม่สลักสำคัญอะไร การนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่โรงงานควรเป็นหน้าที่ของลูกสาวผู้อำนวยการโรงงานอย่างเธอมากกว่า”
เสิ้นอวี้อิ๋งล้มเหลวในการโน้มน้าวเจียงอวี่เฟย ดังนั้นหล่อนจึงกัดริมฝีปากและจากไป
หลังจากที่แขกจากไปแล้ว เจียงอวี่เฟยก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“ฉันเอง” หลินเซี่ยถาม “บ่ายนี้เธอว่างหรือเปล่า?”
“ว่าง เมื่อกี้ฉันว่าจะออกไปหาเธออยู่พอดี” เจียงอวี่เฟยพูดอย่างร่าเริง
“งั้นออกมาสิ เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง ฉันจะออกไปรอเธอที่ถนนหน้าโรงงานยานยนต์นะ”
หลังจากวางสาย หลินเซี่ยก็ออกไปยืนรออยู่ที่หัวมุมถนน
หลังจากรอประมาณยี่สิบนาที เจียงอวี่เฟยก็มาถึง
วันนี้อากาศค่อนข้างอบอุ่น เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อกันลมสีเบจทันสมัย รูปร่างสูงเพรียวเป็นสง่า ผิวก็สวยเนียนละเอียดเป็นยองใย ผมยาวถูกมัดไว้หลวม โดยรวมดูสะดุดตามาก
หลินเซี่ยยืนอยู่ที่นั่น มองดูเธอจากระยะไกล อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สมแล้วที่ผู้หญิงคนนี้เรียนเต้นรำ
รูปร่างลักษณะ รวมถึงนิสัยใจคอของเธอ สำหรับยุคนี้แล้วไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะเปรียบเธอเหมือนเทพธิดา
เจียงอวี่เฟยเดินเข้ามาหาเธอ เมื่อเห็นหลินเซี่ยจ้องมองเธออย่างตรงไปตรงมา ก็ยกมือขึ้นแล้วโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “มองอะไรน่ะ? แทบไม่กะพริบตาเลยเชียวนะ”
“มองคนสวยอยู่น่ะสิ” หลินเซี่ยยิ้ม
“คนสวยไหน?”
“พี่เจียงคนสวย”
เจียงอวี่เฟยโดนชมแล้วก็สะบัดผมพลางยิ้มอย่างมั่นใจ “สาวน้อย เธอนี่สายตาเฉียบแหลมดีจริง ๆ”
“มาเถอะ ฉันจะพาไปเลี้ยงข้าวมื้อเที่ยง”
ทั้งสองคุยกันไปพลางเดินไปพลาง เจียงอวี่เฟยเล่าให้ฟังว่า “เมื่อกี้ตอนที่เธอโทรมา เสิ่นอวี้อิ๋งมาหาฉันถึงบ้านพอดีเลย”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็รีบหันมอง
“หล่อนบอกว่าสหภาพแรงงานจัดการแข่งขันทางวัฒนธรรม เพื่อให้พนักงานและสมาชิกในครอบครัวมีส่วนร่วมในการแสดง เสิ้นอวี้อิ๋งเป็นลูกสาวของผู้จัดการโรงงานใช่ไหมล่ะ? หล่อนอยากให้ฉันเข้าร่วมการแสดงกับหล่อนด้วย”
“แล้วเธอตอบตกลงไหม?”
เจียงอวี่เฟยเบะปากอย่างหยิ่งผยอง “ไม่มีทางซะหรอก”
“พ่อฉันชวดการโหวตให้เป็นผู้อำนวยการ ใครจะอยากสนับสนุนพวกเขากันล่ะ? ไปขอความร่วมมือจากคนที่โหวตให้พ่อหล่อนโน่นสิ”
หลินเซี่ยมองไปที่หญิงสาวซึ่งทำหน้าบูดบึ้งและบ่นไม่หยุด ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ทำไมเธอถึงไม่มีความเห็นแก่ส่วนรวมเลยนะ? พ่อของเธอก็ยังเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“แต่ตามหลักแล้วพ่อฉันควรได้เป็นผู้อำนวยการโรงงานคนใหม่ เขาแพ้ให้กับกลอุบายของเสิ่นเถี่ยจวิน”
เจียงอวี่เฟยเป็นคนเปิดเผย ตั้งแต่ถือว่าหลินเซี่ยเป็นเพื่อน จึงพูดความจริงจนหมดเปลือก “พ่อฉันบอกว่าเขาไม่อยากทำงานที่นี่อีกต่อไปแล้ว เขาอยากลาออกไปทำธุรกิจที่เชินเฉิง ลุงของฉันก็เปิดร้านอยู่ที่เชินเฉิงเหมือนกัน ช่วงหลังมานี้เราโทรคุยกันเรื่อย ๆ ตอนนี้เหมือนพ่อของฉันพร้อมจะย้ายบ้านแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงอวี่เฟย หลินเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสถานการณ์ในอดีตของรองผู้อำนวยการโรงงานเจียง พ่อของเจียงอวี่เฟย
ดูเหมือนว่าภายหลังเขาจะย้ายไปทำธุรกิจส่วนตัวที่เชินเฉิงจริง
แต่การจากไปของเขานั้นไม่สมศักดิ์ศรี เพราะเขาถูกไล่ออก
หลิวจื้อหมิงส่งรายงานขึ้นไปยังผู้อำนวยการว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างการผลิต ทำให้เจียงกั๋วเซิ่งถูกไล่ออก
แต่ต่อมาเธอบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างเสิ่นเถี่ยจวินและหลิวจื้อหมิงเข้า ความจริงแล้วหลิวจื้อหมิงควรเป็นผู้รับผิดชอบต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่เสิ่นเถี่ยจวินช่วยเขาปิดบังความผิด แล้วโบ้ยให้เป็นความผิดของเจียงกั๋วเซิ่งแทน
ต่อมา เจียงกั๋วเซิ่งและเจียงอวี่เฟยจึงขนของออกไปจากอาคารพักอาศัยในเขตโรงงาน
“ในเมื่อเธอไม่มีส่วนร่วมในการแสดงของโรงงานเครื่องจักร งั้นก็มาช่วยฉันหน่อยสิ”
หลินเซี่ยพูดต่อ “พี่สาวทั้งหลายในโรงงานยานยนต์ของเราต้องการเข้าร่วมการแข่งขันที่ว่า สรุปกันได้ว่าจะเต้นประกอบเพลงความทรงจำสีชมพู ฉันออกแบบท่าเต้นครึ่งเพลงแรกไปแล้ว แต่ช่วงครึ่งเพลงหลังฉันอยากให้ท่าเต้นมีความซับซ้อนและสวยงามขึ้นอีกหน่อย ถ้าเป็นไปได้อยากเพิ่มการเคลื่อนไหวแบบดิสโก้เข้าไป เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันจำได้ว่าการเต้นคือจุดแข็งของเธอ คิดซะว่าช่วยเหลือในฐานะเพื่อนคนหนึ่งก็ได้”
“เธอเข้าร่วมการแสดงของโรงงานด้วยเหรอ?” เจียงอวี่เฟยมองเธอด้วยสีหน้าแปลก ๆ แล้วถาม
“ใช่”
“ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับชะตากรรมในปัจจุบันของตัวเองได้แล้วจริง ๆ” ไม่งั้นหน้าอย่างเธอน่ะเหรอจะยอมเต้นรำร่วมกับกลุ่มป้า ๆ ทั้งหลาย
เจียงอวี่เฟยตอบอย่างเต็มใจ “ได้สิ แลกกับการที่เธอสอนฉันแต่งหน้า และให้คำแนะนำด้านการเดินแบบ”
“ไม่มีปัญหา ตอนนี้เราสองคนถือว่าอยู่ในความสัมพันธ์แบบ win-win”
ขณะที่พูดอย่างนั้น หลินเซี่ยก็พาเธอไปที่ร้านขายบะหมี่สภาพเก่าโทรมแห่งหนึ่งบนถนนเจิ้งอี้
“ร้านนี้แหละ”
เจียงอวี่เฟยเงยหน้าขึ้นมองร้านบะหมี่ที่ทรุดโทรมตรงหน้า พูดไม่ออก “กินข้าวที่นี่เนี่ยนะ?”
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว”
“เธอแต่งงานเพื่อที่จะมีชีวิตลำบากแบบนี้เหรอ? เธอพูดไม่รู้ตั้งกี่รอบว่าจะเลี้ยงข้าวฉัน แต่กลับพามาเลี้ยงบะหมี่ข้างทางธรรมดา ๆ ราคาชามละห้าเหมา แถมสภาพแวดล้อมก็ย่ำแย่”
เจียงอวี่เฟยมองหน้าเธอ ไม่รู้ว่าควรเหนื่อยใจกับร้านบะหมี่แห่งนี้ หรือเหนื่อยใจกับคนพามาเลี้ยงดี
“ร้านข้างทางไม่ดีตรงไหนกัน?”
หลินเซี่ยดึงหล่อนเข้าไปข้างใน “เถ้าแก่ ขอบะหมี่ธรรมดาสองชามค่ะ”
“ทำไมเธอขี้เหนียวขนาดนี้กันนะ? ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมให้เงินค่าครองชีพเธอเลยหรือไง?”
“ฉันขอเตือนไว้เลย เธอยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย และเธอต้องหัดครองอำนาจทางการเงินของครอบครัวบ้าง เข้าใจไหม?”
เจียงอวี่เฟยจำใจเดินตามหลินเซี่ยเข้าไปในร้านบะหมี่ ระหว่างนั้นก็สอนหลินเซี่ยราวกับตัวเองเคยมีสามีมาก่อน
หล่อนเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเห็นอะไรเข้า ปากที่กำลังจะบ่นจู้จี้จุกจิกก็หยุดชะงักกะทันหัน ก่อนจะหยุดเดินและมองไปที่มุมของร้านบะหมี่
“มีอะไรเหรอ?” หลินเซี่ยไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเงียบไป
“ดูสิ นั่นเขาใช่ไหม?” เจียงอวี่เฟยชี้ไปทางโต๊ะอาหารตรงมุมร้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ กระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไหน…”
หลินเซี่ยมองไปตามสายตาของเธอ เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเกตบุนวมสีดำ เขามีใบหน้าหล่อเหลาแต่เศร้าหมองเหมือนคนอมทุกข์ นั่งอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ กินบะหมี่ช้า ๆ
เธอมองไปที่ผู้ชายคนนั้น แล้วมองกลับไปที่เจียงอวี่เฟยซึ่งตื่นเต้นมากจนไม่ยอมพูดอะไรอีก เธอตัวแข็งทื่อไปไม่กี่วินาที ก่อนที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้
เขาคือ… เพื่อนร่วมชั้นที่ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู และเธอเคยช่วยชีวิตเขาสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย
หลินเซี่ยหันไปยืนยันเบา ๆ กับเจียงอวี่เฟย “นั่นนักเรียนที่ย้ายมาเรียนในชั้นเรียนของเรากลางเทอมไม่ใช่เหรอ? เขาชื่ออะไรนะ?”
“โจวอี้” เจียงอวี่เฟยพูดชื่อของเขาโดยแทบไม่เสียเวลานึก
หลินเซี่ยรู้สึกประหลาดใจมาก ไม่คิดว่าจะได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่มีสถานการณ์พิเศษคนนั้นที่นี่
ตั้งแต่เขาล้มชักในชั้นเรียน เขาก็ไม่เคยมาโรงเรียนอีกเลย ไม่เคยมีใครได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลยหลังจากนั้น ราวกับว่าจู่ ๆ เขาหายสาบสูญไป
“อยากเข้าไปทักทายหน่อยไหม?”
คนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอยู่ที่โต๊ะตรงมุมร้านเหมือนรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมอง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาวางตะเกียบลง และตั้งท่าเตรียมจะลุกขึ้น
ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงใสของอีกฝ่ายเรียกชื่อเขา
“โจวอี้”
เจียงอวี่เฟยเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้ เจอคนรู้จักทั้งสองคนเลย
โจวอี้ชาตินี้จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)