ตอนที่ 132 เป็นลูกที่เกิดจากพ่อเดียวกันหรือไม่นั้นยังต้องรอการยืนยัน
ตอนที่ 132 เป็นลูกที่เกิดจากพ่อเดียวกันหรือไม่นั้นยังต้องรอการยืนยัน
หลินเซี่ยเก็บซองจดหมายลงในกระเป๋าของเธอ เอ่ยกับพวกหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่คะ เสี่ยวเยี่ยน ฉันซื้อชุดเครื่องนอนเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ต่อไปแม่กับเสี่ยวเยี่ยนก็อยู่ที่นี่นะคะ ถ้าหิวก็มีร้านอาหารอยู่ตรงหัวมุมถนน สามารถออกไปซื้อกินได้ ตรอกนี้ค่อนข้างลึก ฟ้ามืดแล้วพยายามอย่าออกไปไหน อย่าเพิ่งไปยุ่งกับผู้ที่อยู่อาศัยข้างนอก พวกเราอยู่ที่นี่กันไปก่อน รอให้หาเงินได้แล้วค่อยเปลี่ยนที่อยู่นะคะ”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มพลางเอ่ย “ที่นี่ก็ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรอก”
“ตอนนี้อยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ”
หลินเซี่ยหยิบเงินห้าสิบหยวนออกมาจากซองจดหมายและส่งให้หลิวกุ้ยอิง “แม่เอาเงินนี่ไปก่อนนะคะ มีอะไรขาดเหลือก็ซื้อได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูมาหาใหม่”
“เซี่ยเซี่ย พวกเราพอมีเงินอยู่”
หลิวกุ้ยอิงพูดพร้อมกับหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกจากมาจากถุงผ้า “แม่ขายแป้งหมี่ขาวห้าสิบชั่งที่มีอยู่ในตู้ที่บ้านให้กับคนในหมู่บ้าน รวมถึงหมูหนึ่งตัว ลาหนึ่งตัวที่อยู่ในสวนหลังบ้าน ไก่ที่มีอยู่ห้าหกตัวก็ขายไปทั้งหมด รวม ๆ แล้วสองร้อยกว่าหยวน”
หลิวกุ้ยอิงวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกดูสิ เงินก้อนนี้แหละที่แม่จะเอามาใช้เป็นต้นทุน พรุ่งนี้ลูกกับพี่ชายพาเราไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขนมหน่อยสิ รีบลงมือให้เร็วที่สุด”
พอได้ออกมาจากบ้านเกิด หลิวกุ้ยอิงก็ดูสดใสเปล่งประกายขึ้นไปทั่วทั้งตัว
หล่อนเป็นคนที่ได้รับการศึกษามาบ้าง ทั้งยังมีคุณสมบัติดีพร้อม หลายปีมานี้ที่ต้องไปรับมือกับคนแบบแม่เฒ่าหลินทำให้ต้องใช้ชีวิตแบบเก็บกด
ตอนนี้ราวกับว่าได้หลุดพ้นจากพันธนาการ ดวงตาคู่นั้นจึงเป็นประกายวับวาว
“หนูซื้อกระทะและฟืนมาแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยพลันเอ่ยถามหลินจินซาน “พี่ พอรู้ไหมคะว่ามีที่ไหนมีถังน้ำมันเบนซินขนาดใหญ่บ้าง?”
หลินจินซานรู้สึกงุนงง “เธอจะเอาไปทำอะไร?”
“ถ้าจะขายขนมของกินเล่น เตาน้ำมันก๊าดคงไม่พอ เราใช้ถังน้ำมันใบใหญ่มาดัดแปลงเป็นเตาแล้ววางไว้ที่ลานบ้านเพื่อทำอาหารได้ กระทะเหล็กใบใหญ่ที่เราซื้อมามีขนาดใกล้เคียงกับถังน้ำมันก็น่าจะพอดีกัน ซื้อถ่านมาสักหน่อย แล้วก็เครื่องเป่าลมสักเครื่องก็เป็นอันใช้ได้”
หลินจินซานกล่าวว่า “ได้ พรุ่งนี้พี่จะไปหาให้”
“พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ให้พี่พาแม่ไปเดินซื้อของนะคะ พรุ่งนี้ฉันเองมีเรื่องที่ต้องจัดการ หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วเราจะเตรียมเปิดแผงขายของกินเล่นกัน”
ด้วยเพราะมืดค่ำแล้ว หลินเซี่ยจึงเตรียมจะกลับบ้าน
“เซี่ยเซี่ย ลูกอาศัยอยู่บ้านตระกูลเฉินเหรอ? แม่สามีกลั่นแกล้งอะไรลูกหรือเปล่า? แม่กังวลมาตลอดว่าลูกอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินแล้วจะถูกรังแก” หลิวกุ้ยอิงมองหลินเซี่ยอย่างห่วงหาพร้อมเอ่ยคำ
หล่อนรู้ดีว่าด้วยสถานะของหลินเซี่ยที่เป็นคนจากชนบท โจวลี่หรงย่อมต้องดูถูกดูแคลนเธอ
หลินเซี่ยยกยิ้ม แล้วกล่าวว่า “หนูไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลเฉินค่ะ หนูอาศัยอยู่กับเฉินเจียเหอที่บ้านของเขา อีกทั้งแม่สามีของหนูก็ยอมรับในตัวหนูแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างดีค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงได้ยินเช่นนั้นจึงโล่งใจ “อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
หลินเซี่ยลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋า “แม่คะ เสี่ยวเยี่ยน พวกเราไปก่อนนะ เดี๋ยวอีกสักพักพี่จะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกคุณ ไม่ได้เจอกันมานาน คุยกันดีๆ นะคะ”
“จ้ะ”
เมื่อออกมาจากบ้าน หลินเซี่ยจึงบอกให้หลิวกุ้ยอิงปิดประตูบ้าน ซึ่งทำให้บริเวณโดยรอบยิ่งมืดลง ที่ปากทางเข้าตรอกยังมีไฟส่อง แต่ถนนในตรอกกลับมืดสนิท
ขณะที่ทั้งสองเดินออกไปข้างนอก พวกเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะคิกคักจากลานบ้านที่อยู่ติดกัน
หลินจินซานอดไม่ได้ที่จะมองไปยังลานบ้านนั้น
หลินเซี่ยผลักเขาอย่างแรง ก่อนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “รีบไปเร็ว ฟังอะไรอยู่น่ะ?”
เธอใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวเพื่อเสียดสีเขา “เวลามองหาคู่ครองในอนาคต จงหาคนที่ซื่อสัตย์และรู้หน้าที่ของตัวเองเพื่อมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ว่าพอมองคนที่แต่งตัวสวยงามตามสมัยก็ก้าวไม่ออกเดินต่อไม่ไหว”
หลินจินซานเดินนำไปพลางแตะจมูก แล้วเอ่ยพึมพำ “เธอคิดว่าฉันเป็นคนยังไงเนี่ย? ฉันอยู่ที่เมืองเชินเฉิงก็เคยได้เห็นโลกกว้างมาแล้ว มีคนแบบไหนบ้างที่ฉันยังไม่เคยพบเจอ? ฉันเป็นคนคิดตื่น ๆ ขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“เคยเห็นโลกกว้างมาแล้วก็ดีค่ะ”
เมื่อออกมาจากตรอก หลินจินชานเห็นว่ามีร้านขายข้าวโพดปิ้งเขาจึงไปซื้อมาให้หลินเซี่ยอย่างเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ และยื่นข้าวโพดให้เธอพร้อมระบายยิ้ม “น้องสาว วันนี้พี่มีความสุขมากจริง ๆ”
“ใครกันคาดคิดว่าเธอคือน้องสาวของฉัน ฮ่าฮ่า มาดูกันว่าต่อไปพี่เฉิงจะกล้ารังแกพี่อีกไหม”
หลินเซี่ยแทะข้าวโพดปิ้งพลางเอ่ยเตือนเขาเสียงดุ “พี่อย่ามาอาศัยสถานะที่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญของเราสองคนเพื่อก่อเรื่องวุ่นวายต่อหน้าพี่เฉิงนะ ฉันยังไม่เคยพบกับเถ้าแก่ใหญ่ของพี่เลย ถ้าพี่ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา ฉันจะไม่พูดถึงพี่ในแง่ดีแน่ อีกอย่างฉันกับพี่ก็เพิ่งรู้จักกันมากี่วันเอง? แถมเรายังคนละแม่กันอีก ส่วนพ่อของเราฉันก็ไม่เคยเห็น ความสัมพันธ์ของเรานับว่าไม่ได้เป็นทางการอะไรนักหรอก”
เป็นลูกที่เกิดจากพ่อคนเดียวกันหรือไม่นั้นยังต้องรอการยืนยัน
หลินจินซานไม่ได้ถือสา “ถึงเธอจะพูดอย่างนั้น แต่ไม่ว่าเราจะรู้จักกันมากี่วันเธอก็เป็นน้องสาวฉันอยู่ดี”
“เป็นคนต้องพึ่งพาตนเอง หาเงินด้วยความสามารถของตนเอง คนอื่นไม่อาจพึ่งพาได้ เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?” หลินเซี่ยมองชายหนุ่มที่เอ้อระเหยลอยชายตรงหน้าพร้อมนำเสนอถึงข้อเท็จจริงและเหตุผลกับเขา
“เข้าใจแล้ว วางใจเถอะ ฉันเก่งมากทีเดียว”
หลินจินซานไปส่งหลินเซี่ยที่ประตูทางเข้าลานบ้านของเขตพักอาศัยแล้วก็ตั้งใจจะกลับไปหาเฉียนต้าเฉิงเพื่อบอกเขาสักหน่อย
การลาพักร้อนเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือการบอกเขาถึงความสัมพันธ์ของเขากับหลินเซี่ย
ผลคือเมื่อเขามาถึงทางเข้าลานบ้านของเขตอาศัย เขาพลันเห็นเฉียนต้าเฉิงเดินไปมาด้วยท่าทางร้อนใจอยู่ใต้แสงไฟ
“พี่เฉิง”
เฉียนต้าเฉิงได้ยินเสียงของหลินจินซานก็รีบหันกลับมา และทันทีที่เขาเห็นหลินเซี่ยและหลินจินซานกลับมา จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
หลินจินซานเห็นใบหน้าดำมืดของเฉียนต้าเฉิงแล้วไม่ได้เกรงกลัวเหมือนเช่นปกติ แต่เขากลับยืดอกและเชิดหน้าขึ้นอยู่ข้างหลินเซี่ย ท่าทางวางมาดแบบสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือนั้นเรียกหาหมัดไม่น้อย
“พี่เฉิง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
เฉียนต้าเฉิงเดินเข้ามาพร้อมขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความกังวล “เสี่ยวหลิน ผมกังวลแทบตาย พวกคุณไปรับคนที่สถานีรถไฟก็แค่ไม่กี่ก้าว แต่ผลสุดท้ายพวกคุณก็หายกันไปเลย จินซานเจ้าเด็กนี่ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย ผมกลัวว่าคุณออกไปกับเขาแล้วจะไปตกอยู่ในอันตรายเข้า หากเป็นแบบนั้นผมคงไม่สามารถอธิบายให้เถ้าแก่ใหญ่และพี่ใหญ่เฉินเจียเหอฟังได้”
ในฐานะหัวหน้าของหลินจินซาน เฉียนต้าเฉิงค่อนข้างมีความรับผิดชอบ และเขาก็กลัวว่าหลินจินซานจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วย
หลินจินซานเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “พี่เฉิง คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง ผมไม่ได้เรื่องได้ราวตรงไหนกัน?”
“นายเป็นคนแบบไหน ฉันยังไม่รู้อีกหรือไง?”
“ผมเป็นคนแบบไหนกัน? ถ้าผมไม่ได้เรื่องได้ราวแล้วน้องสาวของผมจะเลือกให้ผมเป็นรับคนที่สถานีรถไฟเป็นเพื่อนเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่เรียกพี่ไปแทนล่ะ?” หลินจินซานโต้ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
เฉียนต้าเฉิงโกรธจนหนวดที่เหมือนเลขแปดในภาษาจีนของเขากระตุกขึ้นลง “นายพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง? ยังอยากมีงานทำอยู่ไหม?”
ในขณะที่หลินจินซานกำลังจะตอบโต้ไปอย่างไร้ปรานี หลินเซี่ยก็จ้องมองเขาพลางเอ่ยเสียงอ่อน
“หลินจินซาน อย่าเพิ่งลอย ถ้าพี่เฉิงไล่พี่ออก ก็กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดนะคะ”
หลินเซี่ยต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ไม่ยอมให้เขาพึ่งพาเลยจริง ๆ หลินจินซานตื่นตระหนกทันที “เซี่ยเซี่ย ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉัน…
“นายเรียกเสี่ยวหลินว่าอะไร?” เฉียนต้าเฉิงตัวแข็งทื่อ ก่อนที่ใบหน้ามืดมนจะมองไปยังหลินจินซานด้วยความสงสัย
เด็กคนนี้ไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย
หญิงสาวบอกว่าเขารูปร่างเหมือนพี่ชายของเธอ เจ้าหนุ่มนี่ก็คิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายของเธอจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
เอ่ยเรียกด้วยความสนิทสนมแบบนี้ ไม่กลัวว่าเฉินเจียเหอจะมาหักขาเอาหรืออย่างไร?
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ พวกคุณคุยกันตามสบาย”
หลินเซี่ยสามารถจินตนาการได้เลยว่าต่อจากนี้ไปหลินจินซานจะอวดดีแค่ไหนเวลาที่อยู่ต่อหน้าเฉียนต้าเฉิง
เธอไม่อยากเห็นพฤติกรรมอวดดีน่าอับอายแบบนั้นเลยจริง ๆ
ก่อนจะเดินออกไป หลินเซี่ยจึงเอ่ยกับเฉียนต้าเฉิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งตราตรึงว่า “พี่เฉิง ถ้าหลินจินซานทำอะไรผิด คุณสามารถไล่เขาออกได้เลยค่ะโดยไม่ต้องสนหน้าใครทั้งนั้น”
หลินจินซาน “!!!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่ชายก็อย่าไปทำอะไรให้เดือดร้อนเซี่ยเซี่ยนะ น้องไม่ช่วยแล้วยังจะเหยียบซ้ำด้วยล่ะ
ไหหม่า(海馬)