ตอนที่ 155 หน้าม้า
ตอนที่ 155 หน้าม้า
เมื่อได้ยินเจียงอวี่เฟยพูดถึงเจิ้งต้าหมิง หลินเซี่ยก็รีบถามไถ่ “เรื่องมันเป็นมายังไง? รีบเล่าให้ฉันฟังเร็วเข้า”
เจียงอวี่เฟยเริ่มเล่า “เมื่อวานนี้พ่อฉันกลับมาหลังจากเลิกงาน เขาบอกว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งมาดักรออยู่หน้าประตูอาคารพักอาศัยของพนักงาน และเอาแต่ถามเกี่ยวกับเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาก็เลยบอกพ่อหนุ่มคนนั้นไปว่าเสิ่นอวี้อิ๋งไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ไปอยู่ที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง พอเขารู้ก็รีบไปที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงทันทีเลย
เธอรู้ไหมว่าพ่อฉันเป็นคนช่างสังเกตมาก ตอนที่เขากลับมากินข้าว เขายังบอกเลยว่าฟังแค่แวบแรกก็ดูออกแล้วว่าภาษาจีนกลางของผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาตรฐาน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มาจากเมืองไห่เฉิงจริง ๆ คิดแล้วก็เสียใจที่ตัวเองปากไวไปหน่อย แต่ต่อมาเขาก็ปลอบใจตัวเองว่าผู้ชายคนนั้นดูเป็นคนซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่เหมือนคนเลว
ฉันเลยบอกเขาไปว่าการปากไวไม่ใช่เรื่องผิด คนที่มาตามหาเสิ่นอวี้อิ๋งจะต้องเป็นคนรู้จักกับเธอแน่ ไม่มีทางเป็นคนไม่ดีไปได้หรอก”
เจียงอวี่เฟยมองหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้มแล้วถามว่า “หรือผู้ชายคนนั้นเป็นเลว?”
หลินเซี่ยส่ายหัวอย่างเคร่งขรึม “ไม่อย่างแน่นอน”
คนเลวคือเสิ่นอวี้อิ๋งต่างหาก
หล่อนหลอกลวง ล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น แถมยังขโมยทรัพย์สินบางส่วนไปจากครอบครัวของเจิ้งต้าหมิงด้วย
เจิ้งต้าหมิงแค่มาตามหาหล่อนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมก็เท่านั้น
ในที่สุดหลินเซี่ยก็ได้รับข่าวดีซะที ถ้าเจิ้งต้าหมิงเทียวไล้เทียวขื่อรบกวนชีวิตหล่อนแบบนี้ หญิงชาเขียว(1)อย่างเสิ่นอวี้อิ๋งคงใช้ชีวิตไม่ง่ายแล้วล่ะ
เธออารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น พูดว่า “รอก่อนเถอะ ฉันจะพาหู่จือไปส่งที่บ้านคุณปู่ทวดของเขาก่อน จากนั้นเราค่อยไปบ้านของแม่ฉันทีหลัง วันนี้ท่านจะออกไปตั้งแผงขายของเป็นวันแรก เราควรไปที่นั่นเพื่อสนับสนุนท่าน”
“ได้ เดี๋ยวฉันอยู่ที่นี่รอ”
หลินเซี่ยพาหู่จือขึ้นรถประจำทางไปลงที่ป้ายหน้าบ้านพักเขตทหาร เฝ้าดูหู่จือเดินเข้าไปโดยสวัสดิภาพ ก่อนที่เธอจะกลับออกมา
…
เมื่อเธอและเจียงอวี่เฟยไปที่บ้านในตรอกถนนโฮ่วช่าง หลิวกุ้ยอิงตื่นแต่เช้ามาทำเหลียงผีและเหลียงเฝิ่นไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังปรุงน้ำซุปในหม้อ
กลิ่นหอมโชยฟุ้งไปทั่วทั้งลานบ้าน
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและทักทายพวกเธอ “เซี่ยเซี่ย มาแล้วเหรอ? พวกเรากำลังรอให้ลูกมาอยู่พอดี จะได้พาเราออกไปตั้งแผงขายอาหาร”
เนื่องจากวันนี้เถ้าแก่ใหญ่กำลังจะเดินทางมา หลินจินซานจึงขยันขันแข็งเป็นพิเศษ ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่บราวนี่ออนไลน์
“ไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งแผงค่ะ แค่ออกไปให้ทันช่วงพักเที่ยงก็พอแล้ว”
เจียงอวี่เฟยเห็นว่าหลิวกุ้ยอิงทำเหลียงผีกับเหลียงเฝิ่นเสร็จแล้ว เหลือแค่เทน้ำซุปลงในหม้อ ปิดฝาให้แน่นสนิท แล้วยกไปวางบนรถเข็น จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับอิ๋วโพล่าจื่อ(2)และกระเทียมสับ ทั้งหมดถูกบรรจุใส่กระป๋องให้ง่ายต่อการตักปรุง สะอาดสะอ้านและพิถีพิถันมาก
หล่อนยืนดูอยู่ข้าง ๆ พลางถอนหายใจ “ป้าหลิว คุณทำงานเก่งมากเลยค่ะ”
“สองสาวจะกินข้าวที่นี่ก่อนไหม?”
หลินเซี่ยบอกว่า “พวกเราไม่หิวมากค่ะ ค่อยไปนั่งกินที่แผงขายอาหารในขณะที่แม่ตั้งแผงเรียบร้อยแล้วก็ได้”
พูดง่าย ๆ ก็คือนั่งเป็นหน้าม้า
หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยไม่มีจังหวะได้แทรกตัวเข้าไปช่วยเลย หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนก็ทำงานประสานกันอย่างคล่องแคล่วในทุกขั้นตอน โดยที่หลิวกุ้ยอิงไม่ยอมให้คนอื่นช่วย เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อรสชาติ
“มาเถอะ เอาม้านั่งตัวเล็กติดไปด้วย”
ที่ตั้งแผงลอยถูกหลินเซี่ยเลือกไว้แล้ว อยู่ตรงสี่แยกห่างจากปากซอยออกมาเพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
บริเวณนี้ยังไม่มีพ่อค้าแม่ค้าเจ้าอื่นมาตั้งแผงขายของ ริมถนนค่อนข้างว่าง จึงเลือกพื้นที่ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจร
หลินเซี่ยช่วยวางม้านั่งตัวเล็กลงเพื่อให้เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า
จากนั้นเธอก็ตะโกนเรียกลูกค้าสองสามครั้ง
“แม่คะ ขอเหลียงผีให้เราคนละชามก็แล้วกัน กินข้าวกันก่อน”
“ได้”
หลินเซี่ยกับเจียงอวี่เฟยนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก พูดคุยกันและค่อย ๆ กินอย่างช้า ๆ ก่อนจะชมเชยรสชาติอาหารเสียงดัง
“อร่อยจัง อร่อยมาก ๆ เลย”
“คุณป้า ฝีมือการทำกับข้าวคุณดีมากเลยค่ะ”
เมื่อเวลาล่วงไปถึงช่วงเที่ยงตรง พนักงานจากโรงงานสิ่งทอและโรงงานผลิตอาหารก็ทยอยเดินออกมาจากโรงงาน
หลินเซี่ยเห็นคนเดินผ่านมา จึงตะโกนเสียงดังว่า “แม่ค้า เหลียงผีร้านคุณอร่อยมากเลยค่ะ ฉันว่าจะขอสั่งอีกชาม เครื่องปรุงรสของคุณถือเป็นสูตรพิเศษจริง ๆ ฉันไม่เคยชิมรสชาติแบบนี้จากที่อื่นเลย”
เจียงอวี่เฟยก็ทำตามเช่นเดียวกัน “ใช่ค่ะ มันอร่อยมาก ฉันว่าจะสั่งเพิ่มอีกชามไปฝากพ่อด้วย”
ในที่สุดเสียงชื่นชมอันดังของหลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยก็ดึงดูดพนักงานหญิงจากโรงงานผลิตอาหารหลายคนที่เดินผ่านไปมา
พวกหล่อนเดินมาหยุดอยู่หน้าแผง ถามว่า “ร้านนี้ขายอะไรเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “เหลียงผีกับเหลียงเฝิ่นค่ะ รสชาติค่อนข้างดีเชียวล่ะ”
หญิงสาวคนหนึ่งชะเง้อมองดูหน้าตาของเหลียงผีในชามของเจียงอวี่เฟย รู้สึกว่ามันน่ารับประทานมาก จึงถามว่า “ขายชามละเท่าไหร่?”
หลิวกุ้ยอิงยิ้มพร้อมตอบกลับว่า “ห้าเหมาค่ะ”
“ลองดูไหมล่ะ? ฉันกำลังเบื่อกับข้าวในโรงอาหารอยู่พอดี ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนอาหารหมูเลย”
“ไม่ใช่หรอก อาหารอร่อย ๆ ทั้งหมดถูกสงวนไว้สำหรับแม่ครัวที่เป็นคนทำอาหารยังไงล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าภรรยาของผู้อำนวยการอ้วนขนาดไหน”
“อ้วนแล้วมีประโยชน์อะไรกัน? ฉันได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหล่อนไปส่งลูกชายที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อลงทะเบียนเรียน ก็หาเรื่องทะเลาะกับเด็กสาวคนหนึ่ง จนถูกฝ่ายนั้นจิกหัวผมหลุดเป็นหย่อม”
หลินเซี่ย “…”
เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วโรงงานอาหารแล้วเหรอ?
หลินเยี่ยนรีบลากม้านั่งตัวเล็กออกมาและพูดว่า “นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว”
หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนทำงานร่วมกันได้อย่างคล่องแคล่วมาก คนหนึ่งหั่นเส้นเหลียงผีกับเหลียงเฝิ่น อีกคนก็รับหน้าที่เติมน้ำซุปลงในชาม
“เหลียงผีได้แล้วค่ะ”
“โอ้ ขอบคุณมากค่ะ”
พนักงานหญิงหลายคนตักเข้าปากคำหนึ่ง แล้วชมเชยด้วยความพึงพอใจว่า “อร่อยมากเลย แต่ฉันคงกินแค่ชามเดียวไม่อิ่มแน่ จะสั่งอีกชามหนึ่งก็แพงเกินไป”
หลินเซี่ยกำลังจะเดินกลับไปที่ร้านพร้อมกับเจียงอวี่เฟย แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พนักงานหญิงจากโรงงานผลิตอาหารพูด เธอก็ใจเต้นแรงขึ้นมา
เธอผุดความคิดว่าจะลองแวะไปที่ร้านซึ่งเธอมักจะซื้อซาลาเปาบ่อย ๆ เพื่อขอซื้อซาลาเปาในราคาขายส่งหลายสิบชิ้น และจะต่อรองราคากับร้านซาลาเปาดู ถ้าในอนาคตปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น เธอจะซื้อราคาส่งจากพวกเขาเป็นร้านประจำ ซึ่งจะได้ซาลาเปาในราคาถูกกว่าปกติลูกละสองเฟิน
ด้วยวิธีนี้หลิวกุ้ยอิงก็จะสร้างรายได้จากสองทาง
หลินเซี่ยพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ ถ้าลูกค้าคนไหนมาอุดหนุนร้านเราอีก แม่ก็ลองถามพวกเขาดูสิคะว่าอยากให้ร้านเรามีซาลาเปาขายหรือเปล่า”
“เซี่ยเซี่ย ลูกนี่เข้าใจคิดแสวงหาโอกาสจริง ๆ”
“แม่คะ แม่กับเสี่ยวเยี่ยนขายของกันไปก่อนนะ ฉันขอตัวไปที่ร้านก่อน”
ร้านของหลินเซี่ยได้รับการปรับปรุงใหม่จนเสร็จสมบูรณ์ ตอนนี้สภาวะการเงินจึงค่อนข้างตึงมือ เธอคิดว่าจะขอให้เฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานเข้าไปที่บ้าน จากนั้นก็ถอดเครื่องทำน้ำอุ่นที่เฉินเจียเหอติดตั้งไว้ในห้องน้ำออกมา เพื่อย้ายมาติดตั้งในร้านเสริมสวยแทน
ถ้าเป็นแบบนั้น ช่วงนี้เธออาจจะต้องอาศัยโรงอาบน้ำสาธารณะไปก่อน รอทำเงินได้เพิ่ม ค่อยซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมาติดตั้งที่ห้องน้ำในบ้านใหม่
ตอนนี้เป็นระยะเปิดกิจการเพื่อทดลอง ค่าบริการทำผมของเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เจียงอวี่เฟยมองดูราคาโปรโมชั่นที่ยังคงติดไว้ที่หน้าประตูร้านของหลินเซี่ยตามเดิม อดบ่นไม่ได้ว่า “นี่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว ค่าตัดผมของเธอยังอยู่ที่ห้าสิบเหมาเหมือนเดิมเหรอ? ในหนึ่งวันเธอทำกำไรได้สักเท่าไหร่เชียว?”
หลินเซี่ยอธิบาย “รอให้เฉินเจียเหอกลับมาซะก่อน ฉันค่อยเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากนั้นฉันจะคิดราคาตลาดเหมือนเดิม ช่วงแรกน่าจะต้องปล่อยไปก่อน อย่างน้อยก็ใช้ราคาโปรโมชั่นนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เป็นที่รู้จัก”
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอตัดผมให้ลูกค้าโดยเฉลี่ยวันละประมาณยี่สิบหัว บริการดัดผมอีกวันละสองถึงสามหัว อย่างเลวร้ายที่สุดเธอก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละยี่สิบหยวน
เบื้องต้นเธอค่อนข้างพอใจกับรายได้นี้มากในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่น
ความจริงแล้วงานเธอล้นมือมาก เพราะบางครั้งพนักงานต่างก็มาต่อคิวกันทีเดียวในช่วงพักเที่ยง หลายวันแล้วที่เธอไม่ได้หยุดพักกินข้าวมื้อกลางวันตรงเวลา
เมื่อคืนนี้หลินเซี่ยสอนหู่จือหลายวิธีที่จะเชื้อเชิญอาสามของเขาออกมานอกบ้านให้ได้ แต่ไม่รู้จะได้ผลไหม เพราะอีกฝ่ายยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ
แต่เธอเดาว่ารอบนี้หู่จือน่าจะประสบความสำเร็จ
เธอจึงวางแผนว่าจะส่งเพจเจอร์ไปให้โจวอี้ เพื่อชวนเขามาที่ร้าน
หลินเซี่ยมองไปที่เจียงอวี่เฟย ก่อนจะถามหยั่งเชิง
“เร็ว ๆ นี้เธอได้ติดต่อกับโจวอี้บ้างหรือเปล่า?”
เมื่อพูดถึงโจวอี้ เจียงอวี่เฟยก็ทำหน้าเศร้า “ไม่เลย ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาฉัน ฉันไม่มีช่องทางติดต่อเขาได้เลย”
หล่อนนั่งเท้าคางตัวเองแล้วมองหน้าหลินเซี่ย ใบหน้าซับสีแดงก่ำ พูดอย่างเชื่องช้าว่า “เซี่ยเซี่ย เธอคงมองออกถึงความในใจของฉันใช่ไหม เธอว่าฉันพอเข้าตาเขาบ้างหรือเปล่า?”
“เธอไม่รังเกียจสภาพร่างกายของเขาจริง ๆ เหรอ?” หลินเซี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำใสของหล่อนพลางถาม
เจียงอวี่เฟยตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่แน่นอน”
“ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันกลัวมากที่จู่ ๆ เขาก็กลายเป็นแบบนั้น แล้วก็ไม่ได้เร่งรุดเข้าไปช่วยชีวิตเขาขณะที่เขากำลังตกอยู่ในอันตรายเหมือนกับที่เธอทำ เพราะฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเขายังไง ไม่ใช่เพราะฉันรังเกียจหรือเลือกปฏิบัติต่อเขา จากนั้นฉันก็รอให้เขามาโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นเพื่อเข้าไปขอโทษ ไม่คิดเลยว่าเขาจะย้ายไปเรียนที่อื่นอย่างกะทันหัน…”
หลินเซี่ยบอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้จริงจังกับเขาแค่ไหน
เพียงแต่เธอยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับทัศนคติของโจวอี้
“วันนั้นฉันขอหมายเลขเพจเจอร์จากเขามา” หลินเซี่ยกลัวว่าเจียงอวี่เฟยจะเข้าใจผิด ในที่สุดเธอจึงเล่าความจริงให้อีกฝ่ายฟัง
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เจียงอวี่เฟยซึ่งแต่เดิมมีสีหน้าเศร้าโศกก็โมโหขึ้นมาทันที “อะไรนะ? เขามีเพจเจอร์ด้วยเหรอ? แล้วทำไมเขาถึงยอมให้เบอร์เธอล่ะ? ฉันพยายามขอตั้งหลายครั้งแต่ไม่เคยได้รับเลย”
หลินเซี่ยรู้ว่าเจียงอวี่เฟยต้องไม่พอใจแน่ ๆ จึงรีบอธิบายว่า “อย่าเพิ่งโวยวายสิ ฉันขอก็เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเขา”
เจียงอวี่เฟยจ้องมองหลินเซี่ยด้วยความโกรธ สีหน้าดุร้ายราวกับพร้อมจะต่อสู้กับอีกฝ่ายทุกเมื่อ จนกว่าจะได้ยินคำอธิบายอย่างชัดเจน
“อย่ามองฉันแบบนั้นได้ไหม? ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะลงสนามแข่งขันทางความรักกับเธอไปทำไม? ฉันชอบเฉินเจียเหอที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงกว่า พ่อหนุ่มน้อยวัยละอ่อนอย่างโจวอี้ไม่ใช่สเปคของฉันเลย แล้วเป็นไปไม่ได้ด้วยที่เขาจะนิสัยเสียจนตกหลุมรักผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอย่างฉัน อย่าเอาแต่มองทุกคนที่ติดต่อกับเขาเป็นศัตรูหัวใจทั้งหมดสิ”
ดวงตาของเจียงอวี่เฟยกะพริบปริบ ก่อนจะเฉไฉมองทางอื่นด้วยความรู้สึกผิด “พูดไร้สาระอะไรน่ะ? ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย”
“ฉันไม่ได้ตาบอดนะ ความคิดเธอแทบจะเขียนติดไว้บนหน้าผากอยู่แล้ว”
หลินเซี่ยลุกขึ้นยืน “เธอช่วยเฝ้าร้านให้ฉันก่อน ฉันจะออกไปส่งเพจถามเขาว่าวันนี้พอมีเวลาไหม จะได้แนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง”
“เพื่อนคนไหน?” เจียงอวี่เฟยถามอย่างสงสัย
หลินเซี่ยกล่าวว่า “น้องชายสามีฉันเอง เขาชอบเรียนสาขาสถาปัตยกรรมมาก โจวอี้กำลังเรียนสาขาการออกแบบอยู่พอดีไม่ใช่เหรอ? พวกเขาอายุเท่ากัน ฉันเลยอยากแนะนำให้พวกเขารู้จักกันไว้”
“อ้อ งั้นเธอออกไปส่งเพจเถอะ ฉันจะรออยู่ตรงนี้”
เมื่อคิดว่าอีกไม่นานตัวเองอาจจะได้เจอโจวอี้ เจียงอวี่เฟยก็ฮัมเพลงอย่างมีความสุข
หลินเซี่ยไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วส่งเพจเจอร์ไปหาโจวอี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
……………………………………..
หญิงชาเขียว 绿茶 เป็นคำด่าแสลงที่ใช้กับผู้หญิงที่ทำตัวใส ๆ ซื่อ ๆ ต่อหน้าผู้ชาย และชอบไปมีความสัมพันธ์แบบลับ ๆ ล่อ ๆ กับผู้ชายคนอื่น เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย
อิ๋วโพล่าจื่อ 油泼辣子 น้ำมันพริกป่นผสมสมุนไพรป่น
สารจากผู้แปล
กิจการมีโอกาสโตได้ก็รีบคว้าโอกาสไว้ค่ะ
เห็นคอมเมนต์ผู้อ่านเดากันว่าโจวอี้น่าจะเป็นคนเดียวกันกับเฉินเจียวั่ง งั้นมาลองลุ้นกันค่ะว่าจะใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)