ตอนที่ 31 บุญที่เหลืออยู่ของตระกูลฉิน / ตอนที่ 32 กฎเกณฑ์มารยาท? ว่างเกินไปจึงได้หาเรื่องคนอื่นหรือ!
ตอนที่ 31 บุญที่เหลืออยู่ของตระกูลฉิน
ตอนที่ฉินหลิวซีฝังเข็มให้สะใภ้กู้ สะใภ้หวังก็มองขนมสี่สีนั้นอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา
“อย่างน้อยตระกูลฉินก็ยังพอมีบุญอยู่บ้าง” ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะมีที่อยู่อาศัยในจวนนี้ได้อย่างไร แถมยังเลี้ยงดูเด็กสาวที่มีความสามารถและจิตใจดีงามเช่นนี้ออกมาได้อีก
“ฮูหยิน บุญที่ท่านว่าหมายถึงคุณหนูใหญ่หรือเจ้าคะ” เสิ่นหมัวหมัวคนสนิทของสะใภ้หวังยกน้ำชาให้นาง
“หรือไม่ใช่” สะใภ้หวังรับชามาแล้วถามกลับ “ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นๆ ในบ้านเลย แค่สะใภ้สามก็พอ หากนางไม่ยื่นมือเข้าช่วย บ้านหลังนี้ยังจะแขวนโคมแดงต่อไปอย่างนี้ได้อย่างไร”
เสิ่นหมัวหมัวฟังน้ำเสียงของนางออกและรู้ว่านางหมายถึงสะใภ้สามสามแม่ลูก หากไม่ได้ฉินหลิวซีช่วยไว้ ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นอย่าว่าแต่พวกนางแม่ลูกจะต้องตกอยู่ในอันตรายเลย คงจะต้องเกิดการสูญเสียขึ้นแน่ๆ
แต่ตอนนี้พวกนางปลอดภัยดีทั้งแม่และลูก นับเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ
“คุณหนูใหญ่แปลกจริงๆ มิน่าตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าถึงยืนกรานให้ใส่ชื่อนางไว้ใต้ชื่อท่าน” เสิ่นหมัวหมัวมีสีหน้าลึกลับ “ฮูหยิน ดูไปแล้ว หรือว่าที่ตอนนั้นชื่อของคุณหนูใหญ่มาผูกติดอยู่กับท่านและที่นางถูกส่งตัวมาที่บ้านเก่านี้จะเป็นเพราะนักพรตชรานั่นทำนายได้ว่าบ้านของเราจะต้องเผชิญเคราะห์เช่นนี้เจ้าคะ”
สะใภ้หวังไม่ได้เอ่ยอะไร ลูบขอบถ้วยชาและเหม่อลอย
“ถ้าทำนายได้ว่าเราจะมีเคราะห์ตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงไม่เอ่ยออกมาเล่า หากเอ่ยออกมาแล้วคุณชายใหญ่ของเราก็คงไม่ถึงกับ…” เสิ่นหมัวหมัวซับหางตาตนเอง
คุณชายใหญ่ที่นางเอ่ยถึงนั้นย่อมหมายถึงบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ ซึ่งก็คือบุตรชายคนเดียวของสะใภ้หวัง บุตรชายคนโตและหลานชายสายตรงยามนี้กำลังตกระกำลำบากท่ามกลางดินแดนแห้งแล้งหนาวเหน็บอยู่กับบิดาและท่านปู่
เสิ่นหมัวหมัวคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อใดก็รู้สึกราวกับถูกคมมีดกรีดแทงหัวใจ
ชีวิตนี้ตนเองไม่เคยมีลูกและคอยปรนนิบัติรับใช้แต่สะใภ้หวัง จึงเห็นนางเป็นเหมือนบุตรสาวของตนเองและเห็นลูกของนางเป็นเหมือนหลานของตนด้วย แต่บัดนี้เด็กชายที่ควรจะได้นุ่งห่มผ้าแพรอย่างดีไปเล่าเรียนหนังสือในสำนักศึกษากลับถูกเนรเทศไปด้วย และก็ไม่รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
เสิ่นหมัวหมัวน้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่ได้
สะใภ้หวังเองก็หัวใจแตกสลายเช่นกัน นางหันหน้าหนีแล้วปาดน้ำตาที่ร่วงลงมา “เอ่ยแล้วอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเคราะห์ดีหรือร้ายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี วันนี้หลบได้พ้น แล้วพรุ่งนี้เล่า หมัวหมัว คนหรือจะสู้ฟ้า ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ฝืนชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้!”
“ถึงที่ท่านเอ่ยมาจะมีเหตุผล แต่บ่าวก็ยังสงสารคุณชายอยู่ดีเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังพยายามข่มความทุกข์ใจของตนและพึมพำ “เจ้าสงสาร ข้าที่เป็นแม่ของเขาปวดใจยิ่งกว่า เสียใจก็แต่ข้าไม่สามารถไปทนทุกข์ยากลำบากแทนเขาได้เท่านั้น”
เสิ่นหมัวหมัวมองคุณหนูที่เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ ยากที่จะซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ได้ ภายใต้แสงไฟนางยิ่งดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างยิ่งขึ้น ใบหน้านางซีดเซียว
ใช่แล้ว นางเป็นมารดา แต่นางก็เป็นลูกสะใภ้คนโตและเป็นนายหญิงของตระกูลฉินด้วย ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงไหน ก็ได้แต่ต้องอดทนไว้
“บ่าวผิดเองเจ้าค่ะ บ่าวไม่ควรเอ่ยให้ท่านเสียใจ” เสิ่นหมัวหมัวก้าวเข้าไปกอดและตบหลังตบไหล่นาง
สะใภ้หวังเช็ดน้ำตาออกจากหางตาพลางเอ่ย “เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย เจ้ายอมทนลำบากกับข้าเช่นนี้แล้ว ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร หมัวหมัว ตอนนั้นเจ้าไม่ควรติดตามข้ามาที่นี่เลยจริงๆ”
“บ่าวไม่มีลูก ชีวิตของบ่าวจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนๆ กัน ต่อให้ต้องไปตกระกำลำบากกับท่านที่ไหน บ่าวก็ไม่บ่นหรอกเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มทันที “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าไปจนตายนั่นแหละ”
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นสะใภ้หวังจึงหันไปมองขนมเหล่านั้นและทำจิตใจให้เบิกบานขึ้น “เจ้าแบ่งขนมนี้ไปให้อนุวั่นและฉุนเอ๋อร์สักหน่อย แบ่งส่วนหนึ่งให้นายหญิงผู้เฒ่า และอีกส่วนไปให้น้องสะใภ้สามด้วย”
“แล้วท่านเล่า”
สะใภ้หวังส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่ถึงกับอยากกินของพวกนี้ หากน้องสะใภ้รองรู้เข้าก็คงจะต่อว่าได้อีก”
เสิ่นหมัวหมัวนึกถึงนิสัยของฮูหยินรองแล้วก็นิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยอะไร
ตอนที่ 32 กฎเกณฑ์มารยาท? ว่างเกินไปจึงได้หาเรื่องคนอื่นหรือ!
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินหลิวซีกินอาหารมื้อเช้าที่เรือนเล็กของตนก่อนจะพาเฉินผีออกไปข้างนอก วันนี้นางรับงานตรวจคนไข้ไว้
นางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่โดยที่ไม่รู้ว่านางฉินผู้เฒ่าและทุกคนกำลังรอนางอยู่ จนสะใภ้เซี่ยอดใส่ไฟกับนางฉินผู้เฒ่าไม่ได้ “เด็กสาวคนหนึ่งไม่รู้จักกฎเกณฑ์มารยาทถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนไม่มีใครสอน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ด้วยแล้ว จะต้องสอนให้นางรู้กฎเกณฑ์มารยาทเสียบ้าง หากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงข้างนอกก็จะเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่นได้”
อนุวั่นเอ่ย “ที่เมืองหลีแห่งนี้ นางออกไปข้างนอกโดยไม่บอกว่าตนเองเป็นใคร แล้วใครจะรู้ว่านางเป็นหญิงสาวตระกูลฉิน”
สะใภ้เซี่ยหน้าง้ำ “อนุวั่น ท่านแม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่ได้เอ่ยอะไรเลย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูด พี่สะใภ้ใหญ่เองก็ตามใจเจ้าเกินไปจนเจ้าไม่รู้มารยาทเลย”
นางไม่ชอบท่าทางเชื่องช้าอ่อนโยนของสะใภ้กู้ และไม่ชอบท่าทางเสแสร้งว่าใจดีมีคุณธรรมของพี่สะใภ้ใหญ่ที่ชอบทำเป็นสนิมสนมราวกับพี่น้องกับอนุวั่นผู้นี้ เสแสร้งชัดๆ
สะใภ้หวังเอ่ยเรียบๆ “น้องสะใภ้รองเป็นห่วงเรื่องกฎระเบียบมารยาทการอบรมสั่งสอนของตระกูลฉิน แต่ข้ากังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านนี้ ท่านแม่ หากเรานั่งกินนอนกิน ต่อให้เราจะประหยัดสักแค่ไหน แต่ปีหน้าเงินที่มีอยู่ตอนนี้ก็คงจะหมดลงแน่นอน พวกเราก็ไม่มีดอกเบี้ยกำไรรายรับอื่นใด แม้แต่ที่ดินที่ใช้บวงสรวงเซ่นไหว้ก็ถูกปิดตายไปด้วย”
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปทันที สีหน้าพวกเขาแสดงอาการตื่นตระหนกหวาดกลัว
สะใภ้หวังกลัวว่าพวกนางจะไม่รู้ถึงความยากลำบากจึงเอ่ยต่อ “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงท่านพ่อที่ต้องใช้เงินในการกรุยทาง ในบ้านเราเด็กผู้ชายก็ต้องไปเรียนหนังสือ ไม่ว่าตรงไหนก็ต้องใช้เงิน ไม่ต้องเอ่ยเรื่องไกลตัว ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว จะต้องซื้อเสื้อผ้ากันหนาวและถ่านไว้ใช้ในหน้าหนาวอีก…เกรงว่าหน้าหนาวปีนี้คงจะต้องหนาวเหน็บ”
กฎเกณฑ์มารยาท? ต้องเป็นคนที่ว่างมากถึงจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหาเรื่องกันได้!
แต่ละคนหน้าซีดไปตามๆ กัน
ถ่านที่สำหรับใช้ในหน้าหนาวมีราคาสูง โดยเฉพาะถ่านคุณภาพดีก็ยิ่งมีราคาแพง แม้ว่าพวกเขาทั้งครอบครัวจะนอนเบียดๆ กัน ในหน้าหนาวก็คงต้องใช้ถ่านไม่น้อยอยู่ดี
สิ่งที่เผาไปล้วนเป็นเงินทั้งนั้น และถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปอย่างหนาวเหน็บมิใช่หรือ
เวลานี้ใครยังจะมาคิดเรื่องกฎเกณฑ์มารยาทอยู่อีก พวกนางแต่ละคนคิดเพียงแค่ว่าจะเอาชีวิตรอดผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้หรือไม่เท่านั้น!
นางฉินผู้เฒ่ายังไม่หายป่วยดี แต่นางก็ยังเรียกพลังและกำลังใจขึ้นมาอยู่กับทุกคน เมื่อได้ยินที่สะใภ้หวังเอ่ยก็หันไปขึงตาใส่สะใภ้เซี่ยทันทีก่อนจะเอ่ย “เรื่องเงินเป็นเรื่องเร่งด่วน โชคดีที่ทุกคนทำงานเย็บปักได้ ถ้าเช่นนั้นสะใภ้หวังสั่งให้คนไปซื้ออุปกรณ์เย็บปักมา ให้ทุกคนช่วยกันเย็บปักผ้าเช็ดหน้าถุงเงินต่างๆ ในเวลาว่าง แล้วค่อยเอาไปฝากขายที่ร้าน”
ทุกคนตื่นตระหนกทันที นี่พวกนางมาถึงขั้นนี้กันแล้วหรือ
“ท่านแม่ ข้าอยากออกไปหางานทำด้วยตัวเอง” ทันใดนั้นฉินเหมยเหนียงก็เอ่ยขึ้น
นางฉินผู้เฒ่าชะงักงันไปทันที
สะใภ้หวังหันไปมองนาง
ฉินเหมยเหนียงก้มหน้า ใช่ว่านางเห็นแก่ตัวไม่อยากทำเพื่อส่วนรวม แต่นางหย่าร้างและพาบุตรสาวกลับมาด้วยสองคน สถานการณ์ของนางน่าอายและสิ้นหวังที่สุด ถึงอย่างไรนางก็ต้องวางแผนสำหรับตนเองและบุตรสาวไว้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า บุตรสาวของนางก็ต้องแต่งงานออกเรือน หากไม่มีทรัพย์สินติดตัวไว้บ้าง จะมีบ้านไหนสนใจพวกนางเล่า
นางไม่ได้อยากจะออกไปทำงานข้างนอก แต่เพื่อบุตรสาวแล้ว ถึงไม่อยากทำก็ต้องทำ
ซ่งอวี่เยียนและซ่งอวี่ฉิงต่างก็ก้มหน้าลงและสะอื้นเบาๆ
“เหมยเหนียง เจ้าเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลฉิน บ้านเราย่อมมีข้าวปลาอาหารให้พวกเจ้าสามคนแม่ลูกกินอยู่แล้ว เจ้าสบายใจได้” นางฉินผู้เฒ่ากดข่มความโศกเศร้าของตน “ส่วนเรื่องสินเดิมของอวี่เยียนอวี่ฉิงต่อไปข้างหน้า ตระกูลฉินก็จะต้องหาวิธีหามาให้ได้อยู่แล้ว”
นี่เป็นคำสัญญาว่าหากเด็กสาวทั้งสองแต่งงานออกเรือนไป ตระกูลฉินจะเป็นคนจัดการเรื่องสินเดิมให้
สีหน้าสะใภ้เซี่ยเปลี่ยนไปสองสามครั้ง นางอยากจะเอ่ยอะไร แต่ฮูหยินชราก็มองมาด้วยสายตาเฉียบคม นางจึงต้องเงียบไว้
สะใภ้หวังเอ่ย “กินข้าวเช้ากันก่อนเถิด เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน”
แต่ละคนพากันหยิบตะเกียบขึ้นมา มองดูโจ๊ก หมั่นโถว และผักดองนิดหน่อยบนโต๊ะนั้น พลันคิดถึงวันข้างหน้า แล้วก็พากันกินไม่ลง