คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 139 ได้เจอแต่ไม่รู้จัก ตอนที่ 140 กล้ามารุกรานก็ลองดู!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 139 ได้เจอแต่ไม่รู้จัก / ตอนที่ 140 กล้ามารุกรานก็ลองดู!

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 139 ได้เจอแต่ไม่รู้จัก

อวี๋ชิวไฉไม่สนใจว่าเขาจะเป็นคนตระกูลจ้าวหรือคนตระกูลฉิน สิ่งสำคัญคืออาจารย์ปู้ฉิวมาขอความช่วยเหลือจากเขา เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สามารถล่วงเกินท่านอาจารย์ได้

เมื่อเห็นว่าคนของตนเองเชิญรถม้าตระกูลจ้าวเข้ามาแล้ว อวี๋ชิวไฉจึงได้มองไปทางฝั่งพวกของฉินหลิวซีแต่กลับไม่ได้ไปหา อย่างไรเสียก่อนจะมาที่นี่เขาก็ได้ยินแล้วว่าบุคคลที่ขัดแย้งกับตระกูลจ้าวคือใคร

พวกเขาคือคนในตระกูลของฉินหยวนซานอดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่[1]ที่ถูกส่งกลับเมืองหลี ส่วนตระกูลจ้าวเป็นสุนัขที่ได้รับความโปรดปรานจากตระกูลเหมิง ตระกูลเหมิงกับตระกูลฉินขัดแย้งกันมาตลอด คาดว่าคงมาหาเรื่องเพราะเหตุนี้

สายตาของอวี๋ชิวไฉมองข้ามสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าไปตกอยู่ที่ใบหน้าของสะใภ้หวัง เขาเคยพบกับสะใภ้หวังเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้เมื่อหลายปีผ่านไปสิ่งต่างๆ ก็แปรเปลี่ยน

“ฮูหยินฉิน ท่านเองก็เข้าเมืองเถิด อย่าอยู่ที่นี่เลย เดี๋ยวจะไปชนกับขุนนางชั้นสูงเข้าจริงๆ ” อวี๋ชิวไฉมองพลางกล่าวกับสะใภ้หวังที่อยู่บนหลังม้า

สะใภ้หวังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านรู้จักข้าหรือ”

“ข้าเป็นคุณชายสามตระกูลอวี๋ จวนเจิ้นเป่ยโหว ตอนนี้เป็นผู้ครองเมืองหลี หลายปีก่อนเคยได้พบฮูหยินกับสหายฉินอยู่เคียงข้างกันบนที่นั่งชมลานประลองเซิ่งจิง เคยได้ทักทายกันอยู่”

สะใภ้หวังเองก็นึกขึ้นได้แล้วเช่นกัน ก้าวไปข้างหน้าพลางคารวะ “ที่แท้ก็คือใต้เท้าอวี๋ ขอบคุณที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้พวกเรา”

อวี๋ชิวไฉโบกมือ กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ตอบรับคำขอจากอาจารย์ปู้ฉิวก็เท่านั้น”

เอ๋ ไม่ใช่สิ เจ้าเด็กนั้นบอกว่านี่คือคนของอาจารย์ปู้ฉิว แต่บรรดาบุรุษตระกูลฉินที่อายุเกินสิบสองปีต่างถูกเนรเทศ แล้วนี่เป็นคนในครอบครัวเขาได้อย่างไรกัน

อวี๋ชิวไฉชำนาญศิลปะการต่อสู้แต่ไม่ใช่คนละเอียด เขาไม่คิดว่าฉินหลิวซีจะเป็นสตรีด้วยซ้ำ และยิ่งไม่คิดว่าคนที่เขารู้จักอย่างอาจารย์ปู้ฉิวกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา

เขากำลังจะถามก็เห็นว่าข้างหน้ามีฝุ่นตลบอบอวล เห็นได้ชัดว่ามีรถม้ากำลังมาทางนี้ และผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าเป็นคนของเขาเอง เขารู้ในทันทีว่าคนในรถม้านั้นคือใคร รีบกล่าวว่า “พวกท่านรีบเข้าเมืองเถิด ข้าขอตัวก่อน”

ไม่ทันรอให้สะใภ้หวังเอ่ยอะไร เขาก็ควบม้าไปต้อนรับขบวนรถม้านั้นแล้ว

แม้ว่าสะใภ้หวังจะมีความสงสัยในใจ อาจารย์ปู้ฉิวคือใคร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้วจึงทำได้เพียงปล่อยไป

“ท่านแม่ ขึ้นรถเถิด” ฉินหลิวซีกล่าว

สะใภ้หวังพยักหน้า เอ่ยกับสะใภ้เซี่ยว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถิด”

ทั้งสองขึ้นรถม้าแต่ยังไม่ได้ออกรถ เพราะอวี๋ชิวไฉได้นำรถม้าทั้งสองคันนั้นมาแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการชนกันจึงหยุดรอก่อน

เสียงรถม้าวิ่งผ่านไปตามถนนกรวด ประตูเมืองได้เปิดเส้นทางใหญ่ไร้คนขวางรอนานแล้ว เพื่อให้ขบวนรถม้าผ่านไปได้อย่างสะดวก

ฉินหลิวซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มองเห็นองครักษ์ขี่ม้าผู้นั้นอย่างชัดเจน แล้วมองรถม้าที่อยู่ข้างๆ นางแทบจะกรอกตาด้วยความระอา พึ่งจะไม่กี่วัน คนแซ่ฉีมาอีกแล้ว ซ้ำยังนำปัญหามาให้นางด้วย

แต่สายตาของนางกลับจ้องมองไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหลังรถม้าของฉีเชียน เป็นรถม้าที่เรียบง่ายแต่กว้างขวางมาก ล้อรถวิ่งอยู่บนพื้นกรวดแต่รถม้ากลับไม่สั่นสะเทือน เกรงว่าจะประกอบด้วยชิ้นส่วนลดการสั่นสะเทือนอย่างดี นอกจากนี้ยังมีคนขับรถม้าที่จริงจังและซื่อสัตย์ คาดว่าจะได้รับการฝึกมา

รถม้าของฉีเชียนผ่านฉินหลิวซีไปโดยไม่หยุดเลยแม้แต่ชั่วครู่ รวมถึงหั่วหลางและองครักษ์คนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังม้า เห็นว่าฉินหลิวซียืนอยู่ข้างรถม้าแต่ไม่แม้แต่จะชายตามอง

ช่วยไม่ได้ ฉินหลิวซีแต่งกายด้วยชุดของสตรีซ้ำยังสวมหมวกคลุมหน้า ใครจะจำนางได้

ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ มองดูรถม้าธรรมดาๆ ที่ผ่านไป ลมพัดแรงจนมุมผ้าคลุมหน้าปลิวก่อนจะตกลงมา แต่นางกลับมองเห็นคนที่นั่งอยู่ในรถม้า

เป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำนั่งตัวตรง

“หนุ่มรูปงาม” นางแสดงความคิดเห็นด้วยรอยยิ้ม

ในรถม้า หูของอวี้ฉังคงขยับเล็กน้อย หันไปตามเสียง ได้ยินผิดไปหรือ

ตอนที่ 140 กล้ามารุกรานก็ลองดู!

เมื่อฉินหลิวซีกับสะใภ้หวังและคนอื่นๆ กลับมาถึงบ้านฉินก็ไปคารวะที่เรือนของนางฉินผู้เฒ่าก่อน อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังเป็นกังวล

ไม่ต้องให้สะใภ้หวังเอ่ยปาก สะใภ้เซี่ยที่อัดอั้นตันใจได้บ่นกับนางฉินผู้เฒ่าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองว่าคนตระกูลจ้าวนั้นหยิ่งยโสโอหังเพียงใด แล้วพวกนางน้อยเนื้อต่ำใจเพียงใด

“รองนายอำเภอจ้าวเป็นเพียงขุนนางระดับห้าตัวเล็กๆ เขาเข้าร่วมกับตระกูลเหมิงแล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ตระกูลเหมิงจึงได้หยิ่งยโสจนสามารถเหยียบหน้าและบดขยี้เราได้ เป็นสุนัขรับใช้ที่อาศัยบารมีผู้อื่น จิ้งจอกแอบอ้างเป็นเสือ น่ารังเกียจ ถุ้ย!” สะใภ้เซี่ยสบถออกมาอย่างหยาบคาย

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้สะใภ้หวังจึงกล่าวว่า “น้องสะใภ้รอง แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางระดับห้า แต่ก็เป็นตระกูลขุนนาง แต่ตระกูลฉินเป็นเพียงตระกูลของขุนนางประพฤติมิชอบ พวกเราก็เป็นคนของขุนนางที่ประพฤติมิชอบ ฝ่าบาทมีเมตตาไม่ถือสาเอาความสตรีอย่างพวกเรา ไม่ได้หมายความว่าพวกเรายังมือยศถาบรรดาศักดิ์อย่างเช่นเมื่อก่อน เจ้าอย่าลืมว่าสถานะในตอนนี้ของพวกเราเป็นเพียงสามัญชนทั่วไปเท่านั้น”

สะใภ้เซี่ยบ่นพึมพำ “เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำผิดก่อน”

สะใภ้หวังถอนหายใจเบาๆ “น้องสะใภ้รอง ต้าเฟิงมีชนชั้นที่แบ่งแยกชัดเจน ที่เมืองเซิ่งจิงเจ้าก็เห็นมาไม่น้อยไม่ใช่หรือ ในบรรดาสามัญชนธรรมดาทั่วไปของที่นี่ ขุนนางไม่มีความผิดแม้ว่าพวกเขาจะทำผิด แต่ชีวิตของราษฎรธรรมดาก็เป็นเหมือนผักปลา สู้อย่างไรก็ไม่ชนะ”

ตอนที่ตระกูลฉินยังไม่ล้มลง สตรีของตระกูลฉินเดินไปไหนมาไหน สามัญชนทั่วไปก็มองพวกนางด้วยสายตาที่เคารพยำเกรง

“พวกเขามาชนเรา แต่เราไม่เป็นไร ยอมถอยให้หนึ่งก้าวก็พอแล้ว เจ้ายังไปเปิดม่านถกเถียงกับพวกเขา ไปยั่วโมโหพวกเขาแท้ๆ เลย ดีนะที่เป็นคนของรองนายอำเภอขุนนางระดับห้าที่ให้เราคุกเข่าขอโทษ ถ้าเป็นขุนนางชั้นสูงท่านอื่นเจ้ากับข้าจะยังนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” น้ำเสียงของสะใภ้หวังแสดงถึงความไม่พอใจกับความมุทะลุของสะใภ้เซี่ย

สีหน้าของสะใภ้เซี่ยเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เงียบอยู่นานก่อนจะเถียงขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าพวกเราต่ำต้อย แต่ตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง ท่านก็ไม่ได้ลดละศักดิ์ศรีใดๆ เข้าไปเผชิญหน้าตรงๆ ไม่ใช่หรือ”

“ตอนแรกข้าก็ยอมขอโทษไม่ใช่หรือ แต่คนตระกูลจ้าวก้าวร้าวและปฏิเสธที่จะให้อภัย ข้าจึงได้ยกรองนายอำเภอจ้าวขึ้นมาพูดต่อหน้าทุกคน หากจะบอกว่าไม่ได้ลดละศักดิ์ศรี ความจริงแล้วข้าเพียงแค่ลองดู พวกเขาเองก็ให้ความสำคัญเรื่องชื่อเสียงเช่นกัน” สะใภ้หวังยิ้มเจื่อนๆ “แต่ข้าคิดว่าเราอาจทำให้รองนายอำเภอจ้าวขุ่นเคืองเข้าแล้วจริงๆ เมื่อครู่นี้หากใต้เท้าอวี๋ไม่ได้มาช่วย เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถถอยออกมาได้ แม้ว่าจะถอยออกมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวจะคิดบัญชีทีหลังอย่างไร”

หลังจากที่นางฉินผู้เฒ่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็มีสีหน้าหม่นหมอง กำลังจะอ้าปากพูดก็ไอพร้อมคายเสมหะออกมา ชี้ไปที่สะใภ้เซี่ยก่อนจะเอ่ยตักเตือนว่า “เจ้าเป็นคนมุทะลุ ไม่ใช้สมองแม้แต่น้อย เหตุใดไม่คิดดูว่าสถานการณ์ของเราในตอนนี้เป็นอย่างไร เพียงแค่ออกไปจุดธูปขอพรก็ยังไปทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองกลับมาได้”

สะใภ้เซี่ยน้อยใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ท่านแม่ ก็ข้าอดไม่ได้นี่เจ้าคะ”

“หากอดกลั้นไม่ได้ในชั่วขณะหนึ่ง ก็จะนำปัญหาใหญ่มาสู่ตระกูลฉินของพวกเรา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่บ้านเดิม ล้วนเป็นคนแก่ เด็กและสตรี หากตระกูลจ้าวกดดันเราขึ้นมาจริงๆ จะต้านทานได้อย่างไร” นางฉินผู้เฒ่ายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ไอสองสามทีแล้วเอ่ยต่อ “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้ากล่าวถูกแล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นเพียงแค่สามัญชนเท่านั้น จะเอาอะไรไปสู้กับขุนนางได้”

ราษฎรไม่ต่อกรกับขุนนาง แม้แต่เด็กอายุสามขวบก็รู้ แต่คนงี่เง่าผู้นี้แค่อยากจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา

สะใภ้หวังกล่าวว่า “ท่านแม่ หรือว่าพวกเราจะเตรียมของขวัญส่งไปขอโทษตระกูลจ้าวดีเจ้าคะ ”

“หา? เช่นนั้นไม่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือ เกรงว่าพวกเขาจะหัวเราะจนฟันหลุด! ” สะใภ้เซี่ยกล่าวเสียงดัง

นางฉินผู้เฒ่าก็กังวลมากเช่นกัน ก้มหัวให้เช่นนี้ตระกูลจ้าวจะหยิ่งผยองขนาดไหน

สะใภ้หวังกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ก็ยังดีกว่าให้พวกเราต้องอยู่อย่างลำบากในเมืองนะเจ้าคะ”

สิ่งที่ควรทำก็ต้องทำ!

ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ

อย่าพูดถึงเลย ยิ่งพูดยิ่งกังวล!

ตอนนี้พวกนางเป็นคนธรรมดา หากตระกูลจ้าวต้องการจะกดดันจริงๆ อย่าว่าแต่การผูกมิตรข้างนอกเลยจะทำอะไรสักอย่างก็คงยาก อย่างไรเสียพวกเขาก็ไร้ที่พึ่ง

สะใภ้เซี่ยเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “คงไม่ต้องถึงขึ้นนั้นหรอกกระมัง พวกเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนบ่อยนัก พวกเขาคงไม่แม้กระทั่งไม่ยอมให้ออกนอกประตูหรอกกระมัง”

สะใภ้หวังหัวเราะหยัน “จากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เรารู้แล้วว่าตระกูลจ้าวเป็นคนใจแคบ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเหมิง เพื่อเอาใจตระกูลเหมิงมีอะไรบ้างที่จะไม่กล้าทำ น้องสะใภ้รองบอกว่าพวกเราไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนก็ถูก สตรีสามารถอยู่เรือนได้ตลอดทั้งวันไม่ออกไปไหนก็ได้ แต่เจ้าอย่าลืมว่าฉีเอ๋อร์กับฉุนเอ๋อร์ต้องไปสำนักศึกษา พวกเขาไม่สามารถปิดประตูอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหนอย่างสตรีได้หรอกกระมัง”

เมื่อพูดถึงอนาคตของบุตรชาย สีหน้าของสะใภ้เซี่ยก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่นางฉินผู้เฒ่าก็สีหน้าหมองหม่นเช่นกัน

ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่สืบทอดบทกวีและหนังสือ สตรีสามารถทำงานเย็บปักถักร้อยที่จวนได้ แต่บรรดาบุรุษไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาต้องศึกษาเล่าเรียนเพื่อชื่อเสียง

“เช่น เช่นนั้นพวกเราก็ต้องก้มหัวแล้ว” สะใภ้เซี่ยเอ่ยพลางถอนหายใจ

สะใภ้หวังเหลือบมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สะใภ้เซี่ยหน้าแดง หางตาของนางเหลือบเห็นฉินหลิวซีที่ไม่ได้กล่าวอะไรเลยตั้งแต่เข้าเรือนมา ซ้ำตอนนี้ยังคงยกถ้วยชาขึ้นมาดูรูปแบบลวดลายเหมือนคนที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบรรดาผู้อาวุโสกำลังกังวลอะไร ท่าทางไม่สนใจทำเอาในใจนางโกรธเป็นอย่างมาก

นางไม่กล้าโมโหใส่สะใภ้หวัง แต่กลับฉินหลิวซีที่อายุน้อยกว่ามีหรือที่นางจะไม่กล้า

สะใภ้เซี่ยพูดจาคลุมเครือ “แม่หนูซียังเป็นเด็กไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่กลัวเลยแม้แต่นิด”

นางฉินผู้เฒ่ากับสะใภ้หวังต่างก็มองข้ามไป

นางฉินผู้เฒ่ากับสะใภ้หวังต่างก็มองข้ามไป

ฉินหลิวซีถูกเรียกชื่อโดยไร้สาเหตุ ละสายตาจากลวดลายบนถ้วยน้ำชาแล้วจึงเอ่ย “ท่านอาสะใภ้รองกล่าวอะไรหรือเจ้าคะ”

“ข้ากำลังพูดถึงเจ้า ตอนที่อยู่ที่ประตูเมือง เจ้าบอกให้พวกเขาหาหลักฐานซ้ำยังพูดถึงกฎหมายของต้าเฟิงอย่างไม่ยำเกรง เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านแม่เจ้าพึ่งพูดไปเมื่อครู่นี้หรือ พวกเราเป็นสามัญชน ไม่มีอำนาจไปต่อกรกับขุนนางได้! ” สะใภ้เซี่ยระบายความโกรธใส่นาง เอ่ยว่า “ไม่แน่ตอนนี้ตระกูลจ้าวคงกำลังคิดว่าจะจัดการกับเราอย่างไรดี”

ตระกูลจ้าว ‘เจ้าเดาถูกแล้ว! แต่ไม่มีรางวัล! ’

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “พวกท่านเป็นสามัญชนธรรมดาแต่ข้าเป็นคนของเสวียนเหมิน ไม่เคยกลัวสิ่งที่เรียกว่าขุนนางเจ้าค่ะ”

หลายคนตกใจ

สะใภ้เซี่ยถูกนางเยาะเย้ย แทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าไปเอาความกล้านี้มาจากไหนจึงได้พูดจาอวดดีเช่นนี้!”

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอาสะใภ้รองอย่าลืมว่าข้าอาศัยอยู่ที่เมืองหลีมาสิบปีในสถานะที่เกือบจะเหมือนเด็กกำพร้าก็ไม่เคยที่จะไม่มีความสุขหรือถูกใครรังแกได้เจ้าค่ะ”

สะใภ้เซี่ยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะตระกูลฉินของพวกเราเป็นตระกูลขุนนาง ท่านปู่ของเจ้าก็เป็นถึงขุนนางระดับสาม ผู้อื่นจึงไม่กล้าดูถูกเจ้า”

ฉินหลิวซียิ้มอีกครั้ง “ดั่งคำที่กล่าวว่าน้ำที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ได้ หากข้าถูกใครทำร้ายจริงๆ เกรงว่าจนกระดูกของข้าเย็นแล้ว พวกท่านก็ยังไม่รู้ ส่วนเรื่องดูถูกคนอย่างข้าที่ถูกส่งกลับมาบ้านเดิมตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นดูราวกับว่าเป็นคนที่ถูกตระกูลใหญ่ทอดทิ้งไม่ใช่หรือ เด็กที่ถูกทอดทิ้งจะไม่ได้รับการให้เกียรติ หากมีสมองสักหน่อยก็คงจะคิดได้ใช่หรือไม่ ท่านอาสะใภ้รองคิดว่าพวกเขาจะคิดว่าข้าถูกส่งกลับบ้านเดิมตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะได้รับความสำคัญอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

เจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้มีความหมายแอบแฝงอะไรกัน

สะใภ้เซี่ยมองไปที่นางฉินผู้เฒ่าโดยไม่รู้ตัว แต่เห็นว่านางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เม้มริมฝีปากแน่น

สะใภ้หวังกังวลเล็กน้อย มองไปที่ฉินหลิวซี ส่งสายตาว่าไม่ให้พูดอะไรอีก

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “พวกท่านดูสิ ในสถานการณ์เช่นนี้ข้ายังสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้มาเป็นสิบปี เป็นเพราะข้าพึ่งพาการคุ้มครองของตระกูลฉิน หรือพึ่งพาตัวเองกันแน่ หากตระกูลจ้าวกล้ามารุกราน หึ ก็ลองดูเถิด”

[1] สำนักกวงลู่ ดูแลเรื่องการบวงสรวง การประชุม งานเลี้ยง รับผิดชอบอาหารและเครื่องดื่มของราชวงศ์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท