ตอนที่ 164 หลิวซีอธิบายคำทำนาย
หลายวันมานี้ ธูปเทียนของอารามชิงผิงรุ่งโรจน์ขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด ตั้งแต่สองสามวันก่อน ตอนที่มีคนมาจุดธูปเติมน้ำมันตะเกียง ได้ขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขไปไม่น้อยและจุดตะเกียงฉังหมิง[1] นี่เป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ ทำให้เป็นที่กล่าวถึง จึงรู้ว่าเขามาขอพร ว่ากันว่ายันต์คุ้มภัยอยู่เย็นเป็นสุขช่วยชีวิตเขาเอาไว้
ตอนคนผู้นั้นเล่าที่มาที่ไปว่าไปเจอฉินหลิวซีได้อย่างไร หลังจากได้รับคำอนุญาตจากเจ้าตัวแล้ว จึงได้จ่ายเงินร้อยตำลึงเพื่อซื้อยันต์คุ้มภัยนี้ จากนั้นก็รอดภัยอันตรายมาได้อย่างไร มีคนบอกไม่เชื่อออกมาเสียงดัง บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนของอารามชิงผิง ทำไปเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้อารามชิงผิงจะได้มีผู้คนมากราบไหว้ขอพร
คนผู้นั้นจึงโกรธมาก เอ่ยคำสาบานเสียงดังต่อหน้าปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเสียงดังว่า “ข้าหนิวต้าซาน หากข้าเป็นคนของอารามชิงผิง ขอให้ข้าไม่ได้ตายดี ท่านปรมาจารย์ก็ฟังให้ชัดเจน”
ช่างกล้านัก ตอนนั้นมีคนมาจุดธูป ได้ฟังประสบการณ์ของหนิวต้าซานผู้นี้จึงเล่าว่าตนอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง เกิดเหตุสังหารพ่อค้าบนเรือ เขาได้รับประกาศจากเจ้าหน้าที่หยาเหมินว่าคดีถูกปิดลงแล้ว ทำให้เรือทุกลำในพื้นที่นั้นต้องไปลงทะเบียนก่อนถึงจะทำหน้าที่ได้ เพื่อความปลอดภัยของคนโดยสาร เกิดเรื่องก็จะได้ตามตัวคนได้ง่าย
หนิวต้าซานจึงเอ่ย “เป็นข้า ข้าคือพ่อค้าคนนั้นเอง พวกเจ้าเชื่อแล้วหรือไม่”
ทุกคนจึงเริ่มเชื่อ เก่งกาจเพียงนี้เลยหรือ เช่นนั้นต้องขอยันต์แล้ว แพงก็แพงสักหน่อย แต่หากได้ผลก็มีประโยชน์กว่าอะไรใดๆ
เพราะเหตุนี้ ทำให้ยันต์คุ้มภัยอยู่เย็นเป็นสุขหมด ชิงหย่วนส่งจดหมายมาแล้วสามสี่ครั้ง ถึงเชิญฉินหลิวซีผู้นี้มาได้
เห็นว่าอวี้ฉังคงก็ตามมาด้วย จึงเอ่ย “โอ้ คุณชายฉังคงดีขึ้นแล้วหรือ”
อวี้ฉังคงมองเงาเลือนรางของชิงหย่วน แสดงท่าทีคารวะ “ขอบคุณนักพรตชิงหย่วนที่แนะนำ ฉังคงดีขึ้นมากแล้ว”
“ดี เช่นนั้นคุณชายฉังคงท่านเดินเล่นไปก่อน ข้าจะให้ศิษย์…พี่ชายวาดยันต์อยู่เย็นเป็นสุขสักหน่อย มีคนมาทำบุญรออยู่” ชิงหย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้ายังไม่กินข้าวเที่ยง”
“ข้าจะให้อาหลู่ทำขนมเปี๊ยะกรอบ และโจ๊กซื่อหงให้ท่าน” ชิงหย่วนผลักนาง เอ่ยเสียงเบา “เร็ว อารามของเรายังมีพื้นที่ต้องซ่อมอยู่”
อาศัยจังหวะกำลังเป็นที่นิยม รีบตักตวง ไม่ใช่สิ รีบทำความดีเร็วเข้า
ฉินหลิวซี “!”
อวี้ฉังคงเห็นว่าทั้งสองเดินหายไปทางเรือนพัก มุมปากกระตุก ไม่รู้ฟังผิดหรือไม่ เมื่อครู่ตอนนักพรตชิงหย่วนเรียกฉินหลิวซี มีหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ศิษย์พี่ชายหรือ
“คุณชาย พวกเราไปกินอาหารเจกันก่อนหรือไม่” ลุงเฉียนเอ่ย
อวี้ฉังคงลูบท้อง เอ่ย “ก็ดี”
ยันต์เต๋านี้คงใช้เวลานาน ทั้งต้องสงบจิตสงบใจ ทั้งต้องแจ้งต่อเทพเจ้า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่ชิงหย่วนบอกว่ามีคนมารออยู่ไม่น้อย เช่นนั้นคงใช้เวลานาน
แต่ที่เขาคิดว่าคงใช้เวลานาน ก็เพียงช่วงเวลากินอาหารเจหนึ่งมื้อเท่านั้น ฉินหลิวซีได้กลับมาอยู่ในสายตาแล้ว
อวี้ฉังคงลุกขึ้น เอ่ยถาม “อาจารย์หิวแล้วหรือ จะกินข้าวก่อนค่อยวาดหรือ”
“วาดเสร็จแล้ว”
“หา” อวี้ฉังคงเอ่ย “แผ่นเดียวหรือ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านเห็นว่าข้าเป็นเต่าหรืออย่างไร ข้าวาดยันต์ เร็วเป็นอันดับหนึ่งในอาราม ข้าวาดเป็นร้อยๆ แผ่น พอใช้ไปจนถึงปีหน้า” ฉินหลิวซีนวดข้อมือ
“เป็น เป็นร้อยแผ่นหรือ” ซื่อฟังตกใจ เอ่ย “ยันต์อยู่เย็นเป็นสุข วาดง่ายเพียงนั้นเลยหรือขอรับ”
“คนอื่นไม่ง่าย แต่ข้าง่ายนี่นา ข้าเก่งมาก” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ยันต์ให้สำเร็จลุล่วงในตำนานก็วาดเป็น”
อวี้ฉังคงหลุบตาลง ปกปิดรอยยิ้มในดวงตา ไม่เพียงครั้งเดียวที่ได้ยินคำนี้
ลุงเฉียนเอ่ย “คุณชาย เช่นนั้นพวกเราก็ขอสักแผ่นสองแผ่นเถิดขอรับ ใกล้จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว ขอยันต์ขอพรให้อยู่เย็นเป็นสุขหลายแผ่นเลยขอรับ”
“ได้” อวี้ฉังคงเอ่ยขึ้น “จุดตะเกียงฉังหมิงอีกสองดวง”
ดวงตาฉินหลิวซีเป็นประกาย “จุดตะเกียงหรือ มาๆ ข้าจะพาพวกท่านไป”
ตะเกียงฉังหมิง ใช้จุดเพื่อขอพรมาอย่างช้านาน แต่เปลืองน้ำมันมาก
คนกลุ่มใหญ่เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ฉินหลิวซีหยิบธูปสามดอกมาจุดไฟ ถือระดับอกโค้งคำนับไปหลายครั้ง จากนั้นปักลงบนกระถางธูปตรงหน้า
นางมองเห็นอวี้ฉังคงถือธูปเอาไว้ จึงเดินเข้าไปพาเขาเคลื่อนมายังตำแหน่งไหว้ “เวลาไหว้ สองมือถือธูประดับอก เรียกว่า “สักการะด้วยใจ”
มือของอีกฝ่ายอบอุ่น ยามจับมือเขาจัดตำแหน่ง ทั้งอ่อนนุ่มทั้งอ่อนโอน
อวี้ฉังคงปัดความคิดฟุ้งซ่าน ถือธูปเอาไว้โค้งสามครั้ง ปักธูปภายใต้การนำของอีกฝ่าย
“บิดามารดาของท่านมีนามว่าอย่างไร” ฉินซีเอ่ย “ข้าจะช่วยท่านจุดตะเกียงฉังหมิง
อวี้ฉังคงชะงัก นางรู้ว่าเขาจุดเพื่อบิดามารดา
อวี้ชิงไป่ อวิ๋นจู๋อิ่ง
ปากของเขาเอ่ยออกมาสองชื่อ
“เงาต้นจู๋ไป่ปกคลุม ค่ำคืนใดไร้จันทร์ ที่แห่งใดไร้ต้นจู๋ไป่” ฉินหลิวซีเอ่ยหนึ่งประโยค เอ่ย “ชื่อของทั้งสองสะท้อนซึ่งกันและกัน พวกเขาต้องเป็นเทพเจ้าคู่รักอย่างแน่นอน”
“อืม” นิ้วมือของอวี้ฉังคงสั่นเบาๆ มองอีกฝ่ายจุดตะเกียงฉังหมิงสองดวง ไหว้ต่อเทพเจ้าตรงหน้า ความคิดถึงไหลทะลักเข้ามารวมกับน้ำท่วม
ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกคิดถึงพวกท่านแล้ว
ฉินหลิวซีวางตะเกียงลง หันกลับมา มองอารมณ์ของเขาที่กำลังเอ่อล้นออกมา ไม่ได้ไปรบกวน เดินมาอยู่ด้านข้างเงียบๆ มองผู้คนเข้ามาคุกเข่าขอพร
สามีภรรยาแต่งตัวธรรมดาคู่หนึ่งจูงมือเดินเข้ามาในโถง ใช้ธูปที่นำติดตัวมาขอพร สิ่งที่ขอก็คือ…
ขอลูกหรือ
ฉินหลิวซีก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว อยากบอกว่าขอลูกต้องย้ายไปขอที่โถงด้านข้าง มีพระแม่ประทานบุตร หลังจากมองทั้งสองชั่วครู่ กลับหยิบเซียมซีขึ้นมา
เห็นพวกเขากำลังคุกเข่ากราบไหว้เสร็จ ชายหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้น เอ่ย “ว่ากันว่ายันต์อยู่เย็นเป็นสุขของอารามชิงผิงได้ผลดีมาก เดี๋ยวพวกเราไปตามหามาสักหน่อยเถิด เกิดมียันต์ให้บุตรจะได้ขอมาด้วยสักแผ่น ไม่แน่เราอาจสมปรารถนาในไม่ช้าก็เป็นได้”
หญิงสาวฝืนยิ้มออกมา “ขอให้เป็นเช่นนั้น”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปหา ยื่นเซียมซีให้พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองท่าน เสี่ยงเซียมซีสักหน่อยเถิด อธิบายคำทำนายให้ไม่คิดเงิน”
ทั้งสองชะงัก มองสบตากัน หญิงสาวมองเซียมซีที่ฉินหลิวซียื่นมาให้ ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงรับมา คุกเข่าลงไปอีกครั้ง หลับตาลง อธิษฐานในใจพร้อมเขย่าเซียมซี
แกร๊กๆๆ
ไม้เซียมซีด้านในแกว่งไปมา ไม่นานก็ร่วงลงมาหนึ่งไม้ หญิงสาวกวาดตามอง หยิบเซียมซีขึ้นมา
เซียมซีกวนตี้ลำดับที่ห้าสิบเก้า จี่เหริน จงผิง
ฉินหลิวซีหยิบจากมือของนางมาดู เอ่ย “เติ้งปั๋วเต้าไร้บุตร ครอบครัวยากจนและโดดเดี่ยว น่าเสียดายคำอธิษฐานไม่เป็นผล โชคดีบรรพบุรุษเป็นผู้มีบุญ ลูกหลานไม่ขาดสาย ทั้งสองท่าน คำขอไม่เป็นผล”
ทั้งสองได้ยินคำว่าไร้บุตรสีหน้าพลันเปลี่ยน ยังได้ยินฉินหลิวซีบอกว่าคำอธิษฐานไม่สมปรารถนาอีก หญิงสาวร่างกายสั่นเทา เซไปด้านข้าง กระบอกตาแดงก่ำ
ชายหญิงกรุ่นโกรธขึ้นมา คว้าไหล่ภรรยา เอ่ยตำหนิ “เจ้าเป็นใครกัน ไม่ใช่นักพรตในอาราม จะมาเอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร เหนียงจื่อ พวกเราไปกันเถิด อย่าไปฟังเขาเอ่ยเหลวไหลเลย”
ฉินหลิวซีเองก็ไม่โกรธ ยามที่เขาหันหลัง จึงเอ่ยขึ้น “คนดี คนที่ไม่มีบุตรคือเจ้า ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าหรอกนะ”
[1]ตะเกียงฉังหมิง ตะเกียงที่สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน