‘อาจารย์กลับมาแล้ว’ คำพูดนั้นเหมือนเสียงปีศาจที่ดังสะท้อนอยู่ในสมองของนางกลับไปกลับมา
ตู๋กูซิงหลันจ้องไปที่เขา พอเห็นดวงหน้าที่ซีดขาว ด้วยตาก็อดไม่ได้ที่จะโตขึ้นไปอีก
ในตอนนั้น นางรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทียิ่งรวดเร็วๆ ราวกับว่าจะกระดอนออกมาจากในอกอยู่แล้ว
ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นมานั่งดีๆบนเตียง ริมฝีปากสีแดงขยับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “อาจารย์….”
ในที่สุด…..ท่านก็กลับมาแล้ว
ที่แท้แล้วก็เป็นท่านอาจารย์จริงๆใช่ไหม?
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกไปเองว่าเขาคล้ายจะค่อนไปทางจีเฉวียนมากกว่าหน่อย
หัวใจของนางมีแต่ความสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว ทั้งตื่นเต้นยินดี แต่ก็รู้สึกว่าว่างเปล่าอย่างแปลกๆเช่นกัน
อาจารย์กลับมาแล้ว เช่นนั้นเมื่อไหร่จีเฉวียนถึงจะกลับมา?
พอได้ยินนางเรียกอาจารย์คำหนึ่ง ท่านเจ้าสำนักก็ชะงักค้างไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินนางเรียกเขาเป็นอาจารย์อย่างจริงจังเช่นนี้
ดวงตาทั้งคู่ของเขาสั่นไหว ยืนนิ่งอยู่ที่ข้างเตียงอยู่พักใหญ่ สายลมจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามา เป่าเส้นผมของเขาจนปลิวกระจาย เส้นผมพลิ้วผ่านริมฝีปากสีแดงดุจกลีบบัวนั้นไป ดูเย้ายวนน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
พักใหญ่ ท่านเจ้าสำนักค่อยขยับตัวขึ้นมา
เขาหยิบเอาสุราหมักดอกกุ้ยออกมาไหหนึ่ง ทั้งยังมีขาหมูชิ้นใหญ่
“อาจารย์ไปซื้อเหล้าและเนื้อกลับมาแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ตกลงแล้วเขาคือตู๋กูต้าฉุยหรือว่าท่านอาจารย์ซือมั่วกันแน่?
“นอนไม่หลับ เจ้าลุกขึ้นมาคุยเป็นเพื่อนอาจารย์เถอะ”
ว่าแล้ว เขาก็เดินไปที่โต๊ะเตี้ย จัดแจงไหสุราดอกกุ้ยและขาหมูด้วยตนเอง แล้วก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะ หยิบมีดสั้นที่ติดตัวเอาไว้อยู่เสมอออกมา เริ่มแล่เนื้อออกมาเป็นแผ่นๆให้กับตู๋กูซิงหลัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นขาหมู แต่ว่าท่านเจ้าสำนักก็ยังสามารถแล่ออกมาได้บางดุจกระดาษ
ตู๋กูซิงหลันพิงร่างกับเตียง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่อาจเรียกสติกลับมา
กระทั่งได้เห็นท่านเจ้าสำนักแล่เนื้อออกมาให้นางจานใหญ่ นางจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง เดินลงมาถึงข้างกายของเขาโดยไม่ได้สวมรองเท้า
พื้นในเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนปูด้วยไม้ จึงไม่ค่อยเย็นเท่าไร
ท่านเจ้าสำนักเหลือบตามองดูอยู่สองแวบ
เท้าของศิษย์น้อยไม่เล็ก รูปร่างของนางค่อนข้างสูง เท้าจึงใหญ่กว่าสตรีทั่วไปอยู่เล็กน้อย
แต่ว่าเท้าทั้งสองข้างเรียบลื่นเรียวยาวดุจชิ้นหยก ขาวสะอาดราวหิมะ ยามเดินก็เป็นเส้นสายที่ดูงดงามอ่อนช้อย ทำให้คนอดที่จะคิดเอามากุมเอาไว้ในมือไม่ได้….
กว่าที่เขาจะดึงสายตากลับไป ตู๋กูซิงหลันก็นั่งลงตรงหน้าเขาแล้ว ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องไปที่เขา
พอมองดูขาหมูที่วางอยู่จนล้นจาน ในใจก็ปลงได้ คนที่อยู่ตรงหน้า ยังคงเป็นท่านเจ้าสำนัก ไม่ใช่อาจารย์ซื่อมั่วของนาง
ท่านเจ้าสำนักขยับจานเนื้อมาวางตรงหน้าของนาง ทั้งยังเทสุราออกมาสองถ้วย
กลิ่นหอมสมกับที่เป็นสุราดอกกุ้ย
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็พลันคิดไปถึงต้นดอกกุ้ยที่อยู่ในวังแคว้นต้าโจวขึ้นมา
ดอกกุ้ย เป็นดอกไม้ที่พระมารดาของจีเฉวียน ฉางวุนฮองเฮาโปรดปรานที่สุด
“เมื่อหัวค่ำตอนที่ปล่อยโคมลอย ในสมองของอาจารย์อยู่ๆก็มีภาพปรากฏขึ้นมา”
ท่านเจ้าสำนักประคองจอกสุราเอาไว้ในมือ ดื่มเองก่อนอึกหนึ่ง
ภาพที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง สมองเหมือนกับจะระเบิด
“เห็นอะไรหรือ?” ตู๋กูซิงหลันสวมใส่แค่เพียงชุดนอน บนร่างมีผ้าคลุมชิ้นหนึ่งทับอยู่ เส้นผมเคลียไปตามเนื้อผ้า ไล้อยู่บนร่างตามธรรมชาติ
เส้นผมยาวสลวบสีเงินอมดำขดเป็นวง ทอประกายสว่างจางๆล้อมกรอบใบหน้าของสาวน้อย เพิ่มพูนความนุ่มนวลปนเกียจคร้าน
“เห็นตัวเจ้า” ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งคุกเขานิ่งๆ แผ่นหลังตั้งตรงเช่นเดิม ด้วยท่าทางเคร่งครึมจริงจังอยู่เสมอ
นั่งนิ่งอย่างมั่นคง ไม่มีวอกแวก
“ข้าหรือ?” ตู๋กูซิงหลันชี้มาที่ตนเอง ดึกดื่นค่อนคืนแล้วแล้วพอได้เห็นขาหมู ก็ชักจะหิวขึ้นมาแล้ว
“อืม?” ท่านเจ้าสำนักพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็จิมสุราลงไปอีกอึกหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ ทบทวนภาพที่ได้เห็นในสมองอีกครั้งหนึ่ง
“สิ่งอื่นๆข้ามองเห็นไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ มีแต่เจ้าผู้เดียวที่เห็นได้อย่างชัดเจน”
ว่าแล้ว เขาก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์รู้จักเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วสินะ”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยเชื่อถือคำพูดของผู้อื่น แต่ว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมาในสมองของตนเองนั้น เขาเชื่อ
คนที่แข็งแกร่งเช่นเขา ในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่สามารถจะมาเล่นตุกติกกับสมองและการรับรู้ของเขาได้อยู่แล้ว
ดังนั้นทุกสิ่งที่เขาได้เห็นในสมอง ย่อมเป็นเรื่องจริง
“อย่างอื่นล่ะ ไม่เห็นอะไรอีกแล้วหรือ?” หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนถูกแมวข่วน นางกำลังอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งว่าท่านเจ้าสำนักไปเห็นภาพอะไรมา
ภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองของเขา ก็สมควรจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาที่เขาเคยเห็นมาก่อน
นอกจากจะเป็นอาจารย์และจีเฉวียน….จะมีใครได้อีก
ในเมื่อศิษย์น้อยพูดเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักย่อมต้องให้หน้า ย้อนคิดกลับไปอีกครั้ง
“ตัวข้าที่เจ้าเห็นในสมอง คือข้าที่เป็นเช่นไร?”
ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนวิธีถาม
“ดอกไม้ บนร่างของเจ้ามีดอกไม้มากมาย”
ตู๋กูซิงหลัน “หือ?”
ถึงแม้ว่านางจะชอบดอกไม้ แต่ก็ไม่มีทางเอามากองอยู่บนตัว
“ดอกฮว๋ายฮวา”
พอเหล้าลงท้องไปหลายถ้วย ใบหน้าของท่านเจ้าสำนักก็จับสีเลือดขึ้นมา
ในสมองของเขา ด้านหลังของนางคือต้นหว๋ายต้นใหญ่ บนต้นมีดอกฮว๋ายผลิบานอยู่มากมาย กลีบดอกพลิ้วลงมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังหมุนวนอยู่รอบกายนาง
อีกทั้งยังมีภูติผีดวงวิญญาณ….จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอยู่รอบตัวนางอีกด้วย….
เรื่องที่ในร่างของศิษย์น้อยมีหยกสรรพชีวิตอยู่นั้นเขารู้ดี
เรื่องที่นางสามารถใช้ยันต์ได้เขาก็รู้
แต่ว่าในสมองของเขา เหล่าภูติผีวิญญาณแค้นที่รายล้อมนางอยู่นั้น…..คล้ายจะรวมตัวกันจนกลายเป็นเขตอาคมวิญญาณที่สมบูรณ์แบบชั้นหนึ่ง
ส่วนนางก็อยู่ในใจกลางที่น่าขนลุกนั่น
ศิษย์น้อยที่เป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ท่านเจ้าสำนักเล่าภาพที่ได้เห็นมาทั้งหมดให้นางฟัง ตู๋กูซิงหลันก็ฟังด้วยความตื่นตะลึง
นี่อยู่ๆก็มีผีต้นฮว๋ายออกมาหรือยังไง?
พอเอ่ยถึงต้นฮว๋าย สิ่งแรกที่นางนึกถึงก็คือไม้คฑาของนาง
ไม้คฑาสุดโกงนั่น นำออกมาจากต้นฮว๋ายที่ปลูกอยู่ในธารน้ำพุเหลือง
ต้นไม้ต้นนั้น แค่ดูก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ธรรมดา
เห็นได้ชัดว่า นางที่ปรากฏขึ้นในสมองของท่านเจ้าสำนัก ก็คือนาง แต่ก็ไม่ใช่นาง…
คนที่พบเจอภูติผีอยู่เสมอเช่นนาง ยังวิ่งหนีได้เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก มีหรือจะไปยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ
ท่านเจ้าสำนักเองก็มิได้สนใจว่านางจะเชื่อถือหรือไม่ พอดื่มเหล้าไปติดๆกันถึงครึ่งไห ใบหน้าที่ขาวประดุจหยก ก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมา
อยู่ๆเขาก็วางจอกสุราในมือลง ดวงตาหงส์ทอประกายเจิดจ้า หันมาจับจ้องนาง “ศิษย์น้อย เจ้าเชื่อเรื่องชาตินี้และชาติก่อนหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร แน่นอนว่าต้องเชื่ออยู่แล้ว”
คนพอตายแล้ว วิญญาณก็จะไปที่ธารน้ำพุเหลือง….หลังผ่านความยากลำบากและทุกข์ทรมานช่วงหนึ่ง ค่อยถูกส่งไปยังนรกหรือไม่ก็เกิดใหม่ในครรภ์
พอได้รับคำตอบเช่นนี้จากนาง ท่านเจ้าสำนักก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆ บนร่างของเขามีกลิ่นสุรา น้ำเสียงก็เมามายอยู่หลายส่วน “บางที อาจารย์อาจเคยได้เจอกับเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนแล้วกระมั้ง”
“คนที่แข็งแกร่งเช่นอาจารย์ ต่อให้ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งลงไป พอนานวันเข้าก็อาจจะเสื่อมฤทธิ์เข้าก็เป็นได้”
ตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้ว สวรรค์ ในฐานะที่เคยข้ามผ่านประสบการณ์จากโลกอื่นมาก่อน เขายังจะเอ่ยคำว่า ‘เสื่อมฤทธิ์’ สองคำนี้ออกมาอีกหรือ?
ใครจะเชื่อ?
“แต่ว่าเจ้าก็ยังคงจดจำเรื่องราวระหว่างพวกเราไม่ได้อยู่ดี”
…………………