ตอนที่ 195 คำเตือนจากอวี้ฉังคง
เมื่อในอารามไม่มีใครแล้ว ชิงหย่วนเองก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำจึงไม่ได้อยู่พูดคุยกับทั้งสองคน ขอตัวไปทำธุระของตัวเอง
มู่ซีโผล่มาอีกครั้งเหมือนเจ้าจอมยุ่งที่หาตัวจับได้ยาก เข้าไปแทรกระหว่างทั้งสองคน “เจ้านี่หาตัวยากจริงๆ”
ฉินหลิวซี “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก ท่านซื่อจื่อเนื้อตัวสูงส่ง ตอนนี้อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ทางที่ดีควรรีบกลับไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำแข็งในทางน้ำและหิมะบนถนน”
“ข้าอยู่ที่เมืองหลวงมาสิบกว่าปี รูไหนมีหนูอยู่กี่ตัวข้าก็รู้หมดแล้ว น่าเบื่อจะตายไป ไหนเลยจะสนุกเหมือนที่นี่” มู่ซีเชิดคางพลางเอ่ย “แต่ถ้าหากเจ้ากลับเมืองหลวงกับข้า เช่นนั้นก็ออกเดินทางทันที ดีหรือไม่”
คำพูดซ้ำซากจำเจ ฉินหลิวซีขี้เกียจตอบแล้ว ถือเสียว่าเขาเพียงพูดพร่ำไปเรื่อยเท่านั้น
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่าพึ่งไป” มู่ซีจะเอื้อมมือไปดึงเขาแต่กลับถูกอวี้ฉังคงขวางไว้ เหลือบมองด้วยสายตาตักเตือน
มู่ซีหายใจตะกุกตะกักอย่างบอกไม่ถูก เอ่ยว่า “เจ้าหลบไป ข้ามีธุระ”
เขาพุ่งไปอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ย “เจ้ายังรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ”
“ทำไม เจ้าป่วยหรือ” ฉินหลิวซีมองสำรวจเขา เหลือบมองที่หน้าท้องบริเวณเอวของเขา “ตรงไหนของเจ้าเสื่อมหรือ”
มู่ซีรีบเอ่ย “ของเจ้าสิเสื่อม ข้าสบายดีทุกตรงนั่นแหละ!”
ฉินหลิวซีท่าทางคล้ายจะหัวเราะ “เช่นนั้นหรือ ข้าเห็นว่าเจ้าพลังหยางไม่เพียงพอ ทำให้อ่อนแอเล็กน้อย”
มู่ซีเอ่ยเสียงดัง “พลังหยางข้าเพียงพอจะตายไป สนุกกับสตรีเจ็ดคนทั้งคืนก็ยังได้!”
เมื่ออวี้ฉังคงเห็นว่าพวกเขาพูดเรื่องไม่เขาท่าก็ทนฟังต่อไปไม่ได้ จึงกระแอมเสียงดัง
มู่ซีเองก็กลัวว่าฉินหลิวซีจะเอ่ยถึงหัวข้อนี้ต่อไป จึงเอ่ยว่า “วิชาแพทย์ของเจ้าดีใช่หรือไม่ ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย สตรีวัยสี่สิบกว่าเช่นนี้ยังสามารถมีบุตรได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีหรี่ตามอง
อวี้ฉังคงก็มองมาเช่นกัน ส่งสายตาให้ฉินหลิวซี
“ท่านซื่อจื่อคงเคยได้ยินคำเอ่ยที่ว่ามีบุตรตอนแก่ สตรีในวัยสี่สิบกว่าที่ตั้งครรภ์ก็ใช่ว่าจะไม่มี ขึ้นอยู่กับโชคชะตา จะมีบุตรได้กี่คนก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ผู้ที่โชคชะตาไม่ได้กำหนดว่าจะมีบุตร อย่าว่าแต่อายุสี่สิบเลย แม้แต่อายุยี่สิบต้นๆ บางทีก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่หากมีโชคชะตาว่าจะมีบุตร ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ก็จะมีจนได้”
ฉินหลิวซีเอ่ยต่ออีกว่า “เพียงแต่ว่าการตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรของสตรี ก็เหมือนกับการผ่านประตูแห่งความตาย แม้แต่สตรีวัยสาวก็ยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีที่อายุมากแล้ว เมื่อมีบุตรตอนอายุมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะพรากชีวิตไปทั้งสอง ต้องดูว่าจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่!”
สีหน้าของมู่ซีเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หากเป็นเจ้า เจ้าสามารถช่วยให้สตรีวัยนี้คลอดบุตรได้อย่างปลอดภัยหรือไม่”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “หากข้าบอกว่าได้ ท่านซื่อจื่อจะเชื่อหรือไม่ คนนอกจะเชื่อหรือไม่ แล้วหากท่านซื่อจื่อหมดอายุขัยแล้ว ใครจะไปแย่งมาจากยมบาลได้ แม้ว่าข้าจะทำได้ แต่ข้ากับเจ้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แล้วเรื่องอะไรข้าจะต้องมาแบกรับห้าโทษสามวิบัติแทนเจ้าด้วย มีมนุษย์หลายสิบล้านคนในใต้หล้านี้ ใครจะมีความสำคัญไปมากกว่าตัวข้าเล่า”
มู่ซีชะงักไป
น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูเย็นชาแต่ก็สมเหตุสมผล อีกฝ่ายอายุยังน้อย ใครจะเชื่อว่ามีวิชาแพทย์ที่ไม่ธรรมดา แล้วไว้วางใจมอบชีวิตให้
แล้วยังมีห้าโทษสามวิบัติอีก เขาไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องดี
“ท่านซื่อจื่อไม่ต้องคิดเรื่องการมีบุตรแล้ว สตรีวัยสี่สิบกว่าปี เพียงแค่ต้องอุ้มครรภ์เป็นเวลาสิบเดือนก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคลอดบุตร คนยังอยู่ คนในตระกูลจึงจะสบายใจ ต่อให้เจ้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เด็กปลอดภัย แต่เด็กที่ไร้มารดาจะสามารถเติบโตได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ก็ยากจะบอกได้” หลังจากที่ฉินหลิวซีเอ่ยประโยคนี้จบก็เดินไปพร้อมกับอวี้ฉังคง
มู่ซียืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน เมื่อได้สติกลับมาก็ไม่เห็นเงาของฉินหลิวซีแล้ว เขาไม่ได้ไล่ตาม เพียงแต่รู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย
ฉินหลิวซีกับอวี้ฉังคงนั่งรถม้าคันเดียวกันกลับเมือง
“สตรีวัยสี่สิบกว่าปีที่มู่ซื่อจื่อเอ่ยถึง คาดว่าเป็นฮองเฮา โชคดีที่ท่านฉลาด ไม่รับเป็นธุระเรื่องนี้” อวี้ฉังคงนั่งอยู่บนรถม้าพลางเอ่ยเตือนว่า “มู่ซื่อจื่อเป็นคนไม่สนใจอะไร หากท่านเข้าไปยุ่ง แต่กลับไม่สามารถหยุดความวุ่นวายของเขาได้ เช่นนั้นจะเกิดปัญหาได้ง่าย”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “เขาคงจะทำให้ท่านรำคาญไม่น้อย”
ความรำคาญปรากฏบนใบหน้าอวี้ฉังคง เอ่ยว่า “เขาเสียงดังมาก ซ้ำยังหน้าทน ไม่สนใจว่าสีหน้าผู้อื่นจะดีร้าย ขอเพียงตัวเองสบายใจเป็นพอ”
ฉินหลิวซีเอนหลังพิงพนักรถม้าโดยไม่ได้สงวนท่าทีใดๆ เอ่ย “ด้วยภูมิหลังและการได้รับความรักของเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าใคร ย่อมทำตามความสบายใจของตัวเอง การได้รับความรักมากเกินไป ย่อมทำให้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
“เป็นเช่นนั้น” อวี้ฉังคงวกกลับไปในหัวข้อที่เอ่ยเมื่อครู่ เอ่ยว่า “มู่ซื่อจื่อเป็นคนปากพล่อย แม้ว่าท่านจะเตือนเขา ก็ไม่สามารถหยุดไม่ให้เขาพูดมากได้ หากมีคนคิดนำคำไปกราบทูลฮองเฮา เมื่อมาหาท่านท่านก็อย่าได้รับเป็นธุระเรื่องนี้”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “สหายฉังคงเชื่อว่าข้าสามารถทำให้สตรีวัยสี่สิบกว่าให้กำเนิดบุตรได้จริงๆ หรือ”
อวี้ฉังคงยิ้มเล็กน้อย “หากเป็นผู้อื่นข้าไม่เชื่อ แต่หากเป็นท่าน จะต้องมีความสามารถวิเศษนี้อย่างแน่นอน ทุกคนในใต้หล้าบอกว่าดวงตาของข้าจะมืดมนตลอดไป แต่ท่านทำให้สามารถกลับมาเห็นแสงสว่างของโลกนี้ได้อีกครั้ง เห็นได้ว่าท่านมีทักษะวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม การทำคลอดสตรีจะยากสำหรับท่านได้อย่างไร”
“เป็นเช่นนั้น ท่านเอ่ยมาไม่ผิด ตราบใดที่สตรีผู้นั้นร่างกายแข็งแรง การช่วยทำคลอดก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่โอกาสเกิดความเสี่ยงก็มีอยู่เช่นกัน สตรีวัยสี่สิบกว่าปี ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “แน่นอนว่าความคิดของข้าไม่ได้หมายถึงความคิดของสตรีทุกคน ทายาทเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สตรีหลายคนเชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจว่ามีเพียงบุตรชายเท่านั้นที่สามารถทำให้นางยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ต่อให้ต้องตายก็ยินดีที่จะเสี่ยง”
“ท่านเอ่ยถูกต้องแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากมู่ซื่อจื่อถามคำถามนี้เพื่อพี่หญิงที่เป็นฮองเฮา เช่นนั้นก็นับว่ามีความใส่ใจ แต่ไม่รู้ว่าหากพี่หญิงของเขาผู้นั้นตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะมีคนยินดีให้นางคลอดบุตร”
แม้เอ่ยว่าเป็นที่น่าเสียใจหากฮ่องเต้ไม่มีองค์ชายจากพระชายาเอก แต่นอกเหนือความเสียใจของฮ่องเต้นี้แล้วก็คือความสุขที่ได้เห็นสิ่งต่างๆ ประสบความสำเร็จ ในฐานะฮ่องเต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีตำแหน่งมั่นคง ส่วนผู้ที่สืบทอดบัลลังก์ ใครบอกว่าจะต้องเป็นองค์ชายจากพระชายาเอกเท่านั้น
ในเมื่อฮ่องเต้เองก็ไม่ใช่องค์ชายจากพระชายาเอก
“ไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในฝั่งต่างๆ เมื่อองค์ชายในพระชายาเอกถือกำเนิด แค่พูดถึงเรื่องตั้งครรภ์ ฮองเฮาก็อายุมากแล้ว การตั้งครรภ์ยังเป็นเรื่องร้ายแรง หากมารดาและบุตรปลอดภัยก็เป็นเรื่องดี แต่หากเกิดอะไรขึ้นมา ท่านและคนข้างหลังของท่านก็ยากที่จะรอด ดังนั้นไม่ว่าใครมาหว่านล้อม ก็ห้ามรับเป็นธุระเรื่องนี้เด็ดขาด ข้ารู้ว่าท่านมีพลังยิ่งใหญ่ แต่ปัญหาบางอย่าง ไม่ไปยุ่งจะดีกว่า” อวี้ฉังคงเอ่ย “ในตอนนั้นเหตุการณ์ที่บรรพกษัตรย์กินยาอายุวัฒนะทำให้เสวียนเหมินเงียบหายไปหลายสิบปี ท่านในฐานะคนของเสวียนเหมิน คาดว่าคงตระหนักถึงอันตรายได้ชัดเจนกว่าข้า”
เขาลูบเครื่องรางหยกบนเอว เอ่ยว่า “นักพรตเสวียนเหมินสามารถสื่อสารกับผีและเทพเจ้าได้ แต่ไม่ว่าจะมีคนเสวียนเหมินมากเท่าไหร่ พวกเขาจะมีจำนวนมากเท่ากับกองทัพม้านับพันได้อย่างไร เสี่ยวฉิน ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ข้าหวังเพียงให้ท่านพบความสงบสุข”
ฉินหลิวซียิ้ม “เข้าใจแล้ว”
อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านอย่าว่าข้าเอ่ยมากเกินไป ท่านอายุยังน้อย ทั้งยังเป็นคนเสวียนเหมินที่จิตใจกว้างขวาง ข้ากลัวเพียงว่าท่านจะอาศัยที่ตัวเองมีความสามารถวิเศษจนไม่รู้ถึงความอันตรายของราชวงศ์ เผลอเข้าไปพัวพันโดยไม่ทันระวัง”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านวางใจเถิด ข้ารักชีวิตยิ่งกว่าใคร จะต้องเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน อีกอย่าง ฮองเฮาฐานะสูงส่ง มีหมอหลวงรอบตัวมากมายเช่นนี้ มีหรือที่จะจำเป็นต้องใช้หมอลัทธิเต๋าธรรมดาอย่างข้า”
“ท่านเป็นคนฉลาด ในใจท่านรู้ว่าควรทำอย่างไรก็พอแล้ว”
************************************