แต่ว่าท่านเจ้าสำนักกลับบีบเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ไม่มีวี่แววจะคลายมือแม้แต่น้อย
หากว่าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เกรงว่าตอนนี้ตู๋กูเจวี๋ยคงเสือกดาบใส่เขาไปหลายครั้งแล้ว แต่ว่าตอนนี้แม้แต่จะหายใจเขาก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก
ท่านเจ้าสำนักมองดูเขาอย่างเย็นชา พลางหันกลับไปเหลือบมองศิษย์น้อยแวบหนี่ง เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ที่สำนักหยินหยางมีไม้มู่หนานลายทองอยู่พอดี หากเอามาทำโลง สามารถรักษาศพให้ไม่เสื่อมสภาพได้เป็นร้อยปี”
“เจ้ารูปร่างหน้าตาดี ศิษย์น้อยชมชอบ หากว่าเจ้าตายไป แล้วศิษย์น้อยเกิดคิดถึงเจ้าขึ้นมา จะได้หาเวลาไปที่สุสานดูเจ้าสักหน่อย”
ตู๋กูเจวี๋ยถึงกลับกระอักเลือดออกมาในทันที ฟังสิ นี่มันใช่คำพูดของคนหรือ?
เขายังไม่ตายเสียหน่อย แต่ว่าเจ้านี้กลับคิดจะจัดการเรื่องราวภายหลังให้เขาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งยังกล่าวออกมาต่อหน้าต่อตาน้องเล็ก?
นี่มิเท่ากับบอกว่า เขามันขัดลูกนัยตา อยากให้เขาตายไปเร็วๆหรอกหรือ?
ตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนะ…ที่นางพาพี่รองกลับมาก็เพราะคิดจะรีบยับยั้งพิษให้เขาเสียก่อน
ซูเยายังคงกุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงตาจิ้งจอกยังคงมีแววตาเจ้าเล่ห์ไม่จางหาย
“อาหลัน ที่เผ่าจิ้งจอกของข้ามีของวิเศษมากมาย มิสู้เจ้าติดตามข้ากลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีของวิเศษที่พอจะสามารถช่วยเหลือคุณชายรองได้อยู่”
ตู๋กูซิงหลันมองไปเห็นบุปผาวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย ภายใต้แสงจันทร์ บุปผาวิญญาณเรืองแสงระยิบระยับออกมา ตอนที่นางมาถึง แสงสว่างนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เพราะว่าใจนางไม่ได้อยู่ที่ดอกไม้ จึงไม่ทันได้สังเกต
“เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยโกหกเจ้ามาก่อน” ซูเยาจดจ้องไปที่นาง “ข้าไม่เหมือนกับจีต้าฉุยหรอก คนที่เจ้าห่วงใย ข้าก็จะขอห่วงใยด้วย”
พูดตามจริงแล้ว พอได้ยินชื่อจีต้าฉุยจากปากของเขา ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจอยู่ดี
แต่ว่าคำพูดนี้ของเขาทำให้นางเกิดความประทับใจเล็กๆขึ้นมา
พักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ยื่นมือออกมาตบลงไปบนบ่าของเขา “เจ้าจิ้งจอกน้อย ขอบใจนะ”
แค่คำว่าจิ้งจอกน้อยคำเดียว ก็ทำให้ซูเยาเกือบจะน้ำตาไหลได้แล้ว
เขากระพริบตาถี่ๆ ดวงตาจิ้งจอกทั้งสองมีแต่หมอกน้ำ
เดิมทีคิดว่า….เขาสามารถทำใจหลบลี้หนีหน้านางได้
แต่ว่าพอได้พบกับนางอีกครั้ง…. แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เงาของนาง เขาก็รู้ว่าตนได้ประเมินตัวเองสูงส่งไปแล้ว
ตั้งแต่แรกเริ่ม นางก็คือมุกงามที่ทอประกายอยู่ในใจของเขา และไม่เคยเปลี่ยนแปลง
มิว่าจะมีเหตุผลใดๆ แต่เพียงได้มองนางชั่วแวบเดียวทั้งหมดก็ไม่สำคัญแล้ว
“อาหลัน ในใต้หล้านี้ผู้ที่เจ้าไม่จำเป็นจะต้องกล่าวขอบคุณมากที่สุดก็คือข้า”
เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหลัน ดวงตาของซูเยาก็ปราศจากแววตาเจ้าเล่ห์อย่างสิ้นเชิง
นัยตาคู่นั้นกระจ่างใสดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า
“ที่ข้าชอบเจ้า ก็เป็นเรื่องของข้า ทุกสิ่งที่ทำลงไปเพื่อเจ้าล้วนเป็นความเต็มใจ”
ใช้แล้ว สารภาพมันต่อหน้าจีต้าฉุยไปเลย!
เพราะสำหรับซูเยาแล้ว ต่อให้ยอมวางตนเองอยู่ในตำแหน่งตัวสำรอง ก็ยังขอหยามมันให้เจ็บช้ำบ้าง
ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออาหลันนั้นไม่เคยแปลกปลอม ถึงแม้ว่าซื่อมั่วจะดูแลนางด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด แต่เกรงว่าแม้แต่คำว่า ‘ข้าชอบเจ้า’ ก็คงยังไม่เคยบอกออกมา
ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกว่ามือของจีต้าฉุยที่หิ้วเสื้อของเขาเอาไว้ส่งเสียงลั่นดังกรอบ พลังที่รุนแรงนั้นถึงกับทะลวงผ่านเสื้อผ้าเขาไปในตัวเขาเสียด้วยซ้ำ
แทบจะบดขยี้ร่างกายของเขาให้แหลกลาญ
เห็นไหม เขาบอกแต่แรกแล้ว ว่าเจ้าสำนักผู้นี้มีแผนไม่ดีอยู่ในใจ เขาคิดอะไรกับน้องเล็กอยู่จริงๆ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า พอไม่ได้มาก็โกรธเคือง โกรธเคืองจนถึงขั้นจะอาละวาดทำลายล้างแล้ว!
ส่วนร่างกายของเขา เมื่อครู่ถูกเจ้าสำนักผู้นี้ระบายพลังขุ่นเคืองลงมา กลับรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกว่าพอพลังของเจ้าสำนักที่ถ่ายทอดเข้ามา มิได้ทำให้รู้สึกย่ำแย่เท่าใด
ทำเอาเขารู้สึกสงสัยว่าตนเองมีอะไรผิดปกติหรือไม่
ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าเก้อเขินเช่นนั้น อยู่ๆท่านเจ้าสำนักก็คลายมือออก ปล่อยตู๋กูเจวี๋ยลงไปบนเก้าอี้
จากนั้นก็ขยับไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน และซูเยา มองคนทั้งสองสลับกันอยู่ไปมาครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เอ่ยช้าๆว่า “ศิษย์น้อย ตัวสำรองเช่นนี้ใช้การไม่ได้หรอก อย่างมันขนาดสุนัขยังจะประจบเลย”
“เป็นถึงจิ้งจอกตัวหนึ่ง ยังจะไปเลียสุนัข[1] ในโลกนี้มีคำพูดอยู่ว่า มีสหายอย่างหมาและจิ้งจอก[2] หากว่าอาจารย์เข้าใจไม่ผิดละก็ นี่เป็นเรื่องน่าอาย ไอ้จิ้งจอกนี่มันใช้ไม่ได้”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
เดี๋ยวก่อนนะ จุดประสงค์ในตอนแรกของนางคืออะไร?
พออยู่ๆจีต้าฉุยก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอานางลืมเรื่องที่จะต้องทำไปหมดแล้ว
ในสมองมีแต่เรื่องจิ้งจอกที่ขี้ประจบเหมือนสุนัข ดังนั้นตกลงแล้วจิ้งจอกน้อยไปประจบอะไรเขากัน
ซูเยาที่เดิมตั้งใจจะเกทับจีต้าฉุยตอนนี้เลยถูกจูงออกนอกเรื่องไปแล้ว ประเด็นหลักของเรื่องประหลาดนี้มันคืออะไรกันแน่?
ริมผีปากสีแดงของเขาอ้าค้าง ในใจมีวาจามากมาย แต่ว่ากลับพูดอะไรไม่ออก
ท่านเจ้าสำนักรู้สึกว่า อย่างซูเยาที่เคยไปอยู่ในโลกยุคปัจจุบันมาก่อน ยังเป็นเพียงตัวสำรอง เป็นทั้งหมาขี้ประจบ แล้วจะไปเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร?
“ในชีวิตของอาจารย์ไม่มีทางเป็นหมาขี้ประจบ เป็นแต่อาจารย์ที่ดี” ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็หันมาพูดกับตู๋กูซิงหลันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ว่าคำพูดนี้ราวกับว่าเขากล่าวคำสาบานออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“อาจารย์ก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้าได้เช่นกัน และยังจะทำได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกนั่นอีก”
ซูเยาถึงกับหัวเราะออกมาแล้ว “งั้นแบบนี้เจ้าก็เป็นสุนัขขี้ประจบเหมือนกันมิใช่หรือ?”
ท่านเจ้าสำนัก “ไม่ประจบ”
คราวนี้ทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นทำสงครามถกเถียงกันไปใหญ่ว่าอะไรคือขี้ประจบอะไรคือสุนัขที่ชอบชะเลีย
ทำเอาตู๋กูซิงหลันกับตู๋กูเจวี๋ยถึงกับงงงวยไปใหญ่แล้ว
รอจนกว่าทั้งสองจะได้ข้อสรุปออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เฝ้าไข้ตู๋กูเจวี๋ยจนใกล้จะหลับไปแล้ว
ท่ามกลางความง่วงงุน ในสมองของนางก็ครุ่นคิดไปถึงคำพูดของฟ่านอิงที่พูดกับนางเอาไว้เมื่อครู่
“เปรี้ยง!” อยู่ดีๆ สายฟ้าฟาดก็ผ่าลงมากลางอากาศ ซ้ำยังผ่าลงมาบนเกาะลอบฟ้าอย่างไม่มีวี่แววใดๆมาก่อนเลยทั้งสิ้น
เกาะลอยฟ้าที่เดิมทีก็กลวงโบ๋ตรงกลางอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับเสียสมดุลสั่นไหวอยู่ตลอด
หินก้อนใหญ่ๆร่วงลงไปจากเกาะลอยฟ้า ทำเอาพื้นหินใต้เกาะยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นกัน
ในหอชมจันทรา ฟ่านอิงที่กำลังหลับตาอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นมา
ทันทีที่เขาลืมตา ก็มองเห็นเงาร่างสีทองของผู้คนอยู่ตรงหน้า
คนเหล่านี้แต่ละคนสวมใส่เกราะสีทอง ทั่วร่างมีแต่ไอสีทองหมุนวนอยู่รอบกาย แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของฟ่านอิงก็ยังถูกไอสีทองเหล่านี้กดเอาไว้
เขาเพ่งตาออกไป ในแววตามิได้มีความแปลกใจเท่าไรนัก “คิดเอาไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาไวเสียขนาดนี้”
น้ำเสียงของเขายังคงแหบแห้งจนยากจะฟัง
สายตาของเขามอบผ่านคนเหล่านี้ไปรอบหนึ่ง “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นมิได้มาด้วยตนเองสินะ”
พอเขาพูดจบ ก็เห็นว่าด้านหลังของกลุ่มคนในชุดเกราะสีทอง มีหนุ่มน้อยอายุประมาณยี่สิบปีเดินออกมา
เขามองดูฟ่านอิงด้วยแววตาที่เย็นเฉียบ น้ำเสียงก็เย็นชา
“ใต้เท้าได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้”
ฟ่านอิงมองดูหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “ชีวิตใหม่…อย่างงั้นหรือ?”
“หนุ่มน้อย เจ้าจงดูให้ดี ข้าก็เพียงแค่กระเสือกกระสนวนเวียนอยู่ในความทุกข์ทรมานเท่านั้น นี่แหละที่เรียกว่า…. อยู่มิสู้ตาย”
พูดแล้ว เขาก็สลายหมอกสีดำรอบกายออกไป เผยให้เห็นโฉมหน้าที่ทั้งอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัว
…………………..
[1] 舔狗:หมายถึง คนขี้ประจบ หรือคนที่หลงรักผู้อื่นข้างเดียงอย่างหัวปักหัวปำ
[2] 狐朋狗友: คำเปรียบเทียบ เพื่อนเลวที่เอาแต่กินเที่ยว