คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 249 สีครามมาจากสีน้ำเงินทว่าเด่นกว่าสีน้ำเงิน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 249 สีครามมาจากสีน้ำเงินทว่าเด่นกว่าสีน้ำเงิน

ฉินหลิวซีดึงเข็มขึ้น นวดคลึงในทุกๆ จุด ให้ใบจ่ายยารักษาอาการอีกหนึ่งใบ

“ม้ามและกระเพาะของท่านอ่อนแอ ใบจ่ายยาชุดนี้กินวันเว้นวัน ตากแดดในเวลาก่อนยามซื่อสองเค่อช่วยให้หยินหยางไหลเวียน หลังยามซื่อ[2]แล้วอย่าได้ตากแดด อายุมากแล้ว ตากแดดมากเกินไปก็เวียนหัวได้ง่าย”

ท่านหมอชิวรับใบจ่ายมาดูเล็กน้อย “ยานี้คือ”

“น้ำแกงหกผู้ดี” ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านก็เห็นแล้ว วัตถุดิบที่ใบจ่ายยานี้ต้องการคือโสม ฝูหลิง[3]เปลือกส้ม ปั้นเซี่ย[4]สิ่งเหล่านี้ น้ำแกงนี้สามารถขจัดความชื้นละลายเสมหะ มีประโยชน์ต่อม้าม รักษาม้ามและกระเพาะ ร่างกายอ่อนแอและมีเสมหะพร้อมกัน ข้าไม่รู้ว่าปกติแล้วหวังกงดื่มยาอันใด เพียงแต่อยากเตือนท่านสักหน่อย โสมไม่จำเป็นต้องมีอายุนานหลายปี”

เอ่อ…

ท่านหมอชิวมองไปยังหวังกง น้ำแกงสงบใจบำรุงกายที่ให้เขาดื่มเป็นประจำนั้นขาดรสชาติของโสมล้ำค่านี้ไม่ได้ เพราะเขามีฐานะสูงส่ง ดังนั้นอายุของโสมล้วนแล้วแต่มีอายุยาวนาน

ตอนนี้ฉินหลิวซีบอกว่าห้ามกินเยอะ เรื่องนี้…

“โสมบำรุงได้ดี โดยเฉพาะโสมที่มีอายุยาวนาน ยิ่งมีผลทางยาเพิ่มขึ้น ผลทางยาเช่นนั้น เอาไว้ใช้กับคนที่ต้องช่วยชีวิตหรือป่วยหนักก็ดี ท่านดื่มทุกวัน ดื่มธรรมดาก็พอแล้ว บางทีบำรุงมากเกินไปก็ใช่ว่าจะดี ดื่มเยอะเกินไปอาจทำให้ขาดน้ำ” ฉินหลิวซีถูจมูก นางเพียงชิมโสมแห้งนิดนึงยังเลือดกำเดาไหลเลยรู้หรือไม่

“เพียงแต่หากท่านอยากให้ร่างกายแข็งแรง สามารถใช้อาหารบำบัดได้ ดื่มน้ำแกงหมูตุ๋นน้ำใสทุกวัน ใส่ถังเช่าสามตัวตุ๋นไปด้วยกันได้”

“นี่ตุ๋นอย่างไรหรือ” ดื่มน้ำแกงโสมไก่ไปมาก น้ำแกงหมูตุ๋นน้ำใสที่ฉินหลิวซีเอ่ยกลับไม่เคยดื่มมาก่อน

“นำหมูแผ่นมาสับละเอียด ต้มในน้ำเดือดเป็นเวลาสองเค่อ จากนั้นทิ้งไว้สักพักค่อยตุ๋นต่ออีกหนึ่งชั่วยาม ใส่เกลือปรุงรสสักเล็กน้อยก็พอ ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นอีก หากใส่ถังเช่า ตุ๋นต่อไปอีกสักหนึ่งชั่วยามก็พอ หากต้องรีบดื่ม ไม่ต้องตุ๋น แช่สองเค่อ เอาลงหม้อต้มจนเดือดก็กินได้แล้ว”

ท่านหมอชิวเอ่ย “นี่รักษาอะไรหรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “บำรุงร่างกาย เพิ่มพลังงานที่สูญหายไปให้ร่างกาย น้ำหมูสับทำแล้วดูเหมือนง่าย เพราะมีเพียงหมูสับ ต้มมาแล้วน้ำมันมีน้อยและไม่มัน ใช้บำรุงร่างกายได้ไม่เลว”

“เช่นนั้นก็ลองดู” หวังกงเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี หันหน้าไป บอกให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเขาจดบันทึกเอาไว้

ท่านหมอชิวเอ่ยถาม “นายท่าน ยามนี้ฝังเข็มแล้วรู้สึกอย่างไรขอรับ”

หวังกงส่งเสียงแปลกใจ ลุกขึ้นเดินไปหลายก้าว ขยับมือขยับเท้า “ความอ่อนล้าของร่างกายหายไปแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่รู้สึกราวกับแบกภูเขาเอาไว้ นักพรตน้อยอายุยังน้อย กลับฝังเข็มได้ผลจนน่าอัศจรรย์”

เจ้าอาวาสชิงหลานลูบเคราด้วยรอยยิ้ม ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้ายินดี ราวกับชื่นชมลูกศิษย์ของเขาอย่างไรอย่างนั้นโนเวลพีดีเอฟ

“ร่างกายมีเสมหะชื้น ท่านรู้สึกเหนื่อยล้าก็ไม่แปลก ฝังเข็มช่วยให้เลือดลมไหลเวียน แน่นอนว่าไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านมีเหงื่อออก ให้บ่าวรับใช้ยกน้ำเข้ามาให้ล้างหน้าล้างตา จะได้สดชื่นขึ้นสักหน่อย ดื่มยาเข้าไป ก็จะไม่เกิดภาพลวงตาแล้ว”

บ่าวรับใช้หนึ่งในนั้นได้ยิน รีบค้อมศีรษะถอยออกประตูไป เมื่อไปถึงหน้าประตูค่อยหมุนตัวเดินออกไป ออกไปถ่ายทอดคำสั่งให้นำน้ำเข้ามา

หางตาของฉินหลิวซีก็เห็นแล้ว สมกับเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่ มีการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี

หวังกงเอ่ยกับเจ้าอาวาสชิงหลาน “เจ้าอาวาส วาจานี้แม้ไม่สุภาพนัก แต่ข้าก็ยังต้องเอ่ย สีครามมาจากสีน้ำเงินทว่าเด่นกว่าสีน้ำเงิน”

เจ้าอาวาสชิงหลานหัวเราะขึ้นมา “การแพทย์ของเด็กคนนี้ดีกว่าข้าจริงๆ มิเช่นนั้น คงไม่กล้าพามาหาท่าน เด็กคนนี้มีนิสัยตรงไปตรงมา วาจาทื่อตรง ท่านอย่าได้ถือโทษโกรธเลย”

นี่คือวาจาเกรงอกเกรงใจ หากอีกฝ่ายถือโทษ เขาก็ไม่หวาดกลัวเป็นพอ

“ข้ามีใจใฝ่เต๋า จะกล้าถือโทษได้อย่างไร” หวังกงมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “อารามชิงผิงเมืองหลี ได้ยินว่างดงามเช่นกัน ยังหล่อหลอมผู้มีความสามารถเช่นนี้ หากมีเวลา ข้าคงต้องไปจุดธูปให้ปรมาจารย์ของท่านถึงจะได้”

ฉินหลิวซียกมือขึ้นประสานคารวะ “มีเมตตาแล้ว”

“นายท่าน นายน้อยสี่มาแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน

หวังหงเอ่ย “เข้ามาเถิด” เขาเอ่ยกับเจ้าอาวาสชิงหลาน “ข้าจะอาบน้ำ คงต้องเสียมารยาทสักครู่ พอดีให้เขามาพูดคุยกับท่าน”

เจ้าอาวาสชิงหลานหันไปมองฉินหลิวซี เอ่ย “หมดเรื่องแล้ว พวกเรายังมีที่ที่ต้องไป คงไม่รบกวนแล้ว”

“หากไม่รีบ” หวังกงมองหลานชายที่เดินเข้ามา กวักมือด้วยรอยยิ้ม “มาคารวะเจ้าอาวาสชิงหลานก่อน อีกทั้งผู้นี้…”

เจ้าอาวาสชิงหลานรีบเอ่ย “ศิษย์หลานปู้ฉิวแม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิง อนาคตจะได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิง”

“ผู้มีอนาคตยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ เจิ้งเอ๋อร์ เจ้าอาวาสชิงหลานเจ้าเคยพบแล้ว ทว่าเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวผู้นี้ มาจากอารามชิงผิงเมืองหลี หนิงโจว เจ้าอาวาสชิงหลานตั้งใจพามารักษาอาการป่วยของข้า” หวังกงกวักมือเรียกหวังเจิ้งหลานชายเชื้อสายหลัก

หวังเจิ้งเพิ่งอายุสิบแปดสิบเก้า ยังไม่สวมกวน ทว่ากลับสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ดูเป็นคุณชายผู้สง่างาม

ดวงตาของฉินหลิวซีกวาดตั้งแต่ชายชุดของเขาสายตาหยุดลงที่ใบหน้าของเขา ดวงตาไหววูบเบาๆ มองสบตากับเจ้าอาวาสชิงหลาน

เจ้าอาวาสชิงหลานก็ไม่ได้เจอคนผู้นี้บ่อยนักเมื่อมองเห็นหวังเจิ้ง คิ้วพลันขมวดขึ้น

หวังเจิ้งก้าวมาข้างหน้า ยกมือขึ้นประสานคารวะทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยกับหวังกง “ท่านปู่ หลานพาหมอคนหนึ่งมาจากเมืองหย่งเพื่อมารักษาอาการป่วยของท่าน ตอนนี้เชิญมาถึงที่จวนแล้วขอรับ”

“ไม่ต้องแล้ว เจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวผู้นี้ตรวจดูอาการให้ปู่แล้ว ฝังเข็มแล้ว ปู่รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย รอดื่มยาแล้ว คิดว่าคงดีขึ้น” หวังกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำใจกตัญญูของเจ้า ปู่ชื่นชม ในเมื่อเชิญหมอผู้มีชื่อเสียงมา เพื่อเป็นการขอบคุณ เตรียมสินน้ำใจให้สักชุด อย่าได้เสียมารยาท”

นี่คือ ไม่ตรวจแล้วหรือ

หวังเจิ้งประหลาดใจ มองไปยังฉินหลิวซี ดวงตามีความสงสัย อายุน้อยเพียงนี้ รักษาโรคได้ อีกทั้งยังเป็นคนในลัทธิเต๋า นั่นคือแพทย์แบบเต๋าหรือ

แม้ในใจเขาจะมีความสงสัย แต่ด้วยถูกอบรมสั่งสอนมาดีบวกกับความเชื่อมั่นของท่านปู่ตนเอง จึงไม่ได้เอ่ยวาจาไม่น่าฟังอะไรออกมา เพียงยิ้มรับ

เวลานั้นเอง บ่าวรับใช้ได้เชิญหวังกงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องอาบน้ำ

หวังกงออกคำสั่ง “ดูแลเหล่าเจ้าอาวาสให้ดี”

“ขอรับ” หวังเจิ้งแสดงความเคารพ มองส่งท่านปู่ออกไป ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเจ้าอาวาสชิงหลาน “ไม่เจอเจ้าอาวาสนาน เจ้าอาวาสยังคงแข้งแรงมีกำลังวังชา”

“บำรุงรักษาในวิถีเต๋า ก็มีคุณประโยชน์” เจ้าอาวาสชิงหลานแสวงท่าทีนอบน้อม เอ่ย “นายน้อยสี่กลับคิ้วขมวดกังวล กังวลเรื่องอาการป่วยของหวังกงหรือ”

“ท่านปู่อายุมากแล้ว ทว่ากลับเพราะป่วยจึงไม่อาจนอนหลับยามค่ำคืนได้ ผู้เป็นหลานแน่นอนว่ากังวล หากท่านนักพรตพวกท่านรักษาอาการป่วยนี้ได้จริงๆ คงเป็นเรื่องน่ายินดีของจวนข้าแล้ว รับการคารวะของหวังเจิ้งด้วยเถิด” หวังเจิ้งเอ่ยพร้อมคารวะให้ทั้งสอง

“มิกล้า มิกล้า”

ฉินหลิวซีกลับไม่ปฏิเสธ นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะรับการคารวะจากเขา ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก ก่อนจะเอ่ยปาก “อาการป่วยของหวังกงไม่มีอะไรน่าเป็นกังวล แต่คุณชายหวังท่านควรเป็นห่วงตนเองจึงจะถูก อย่างไรวาสนาเรื่องความรักหากทำไม่ดี จะกลายเป็นเรื่องร้ายเอาได้ นี่มิใช่เรื่องที่ดีนัก”

[1] สีครามมาจากสีน้ำเงินทว่าเด่นกว่าสีน้ำเงิน ศิษย์ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ทว่าเก่งกว่าอาจารย์

[2] ยามซื่อ คือเวลาระหว่าง 9.00-11.00 น.

[3] ฝูหลิง เห็ดชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ โรคนอนไม่หลับ

[4] สมุนไพร แก้ไอขจัดเสมหะ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท