ตกเย็น
หลินเยวียนกลับถึงบ้าน
เขาได้เสียงของพี่สาวดังมาแต่ไกล “หลานหลิงอ๋องของเราเก่งสุดๆ เสียงแหบยังร้องได้ขนาดนั้น…”
หลินเหยา “พี่คะ หนูดูรายการแล้ว”
หลินเซวียน “แกล้งๆ ทำเป็นยังไม่ได้ดู ได้โปรดฟังฉัน แต่ทอดมองเขาสูงสุดตา…อ่าไม่ได้ เพี้ยนแล้ว”
“โฮ่งๆ !”
หนานจี๋เห่ามาทางหลินเยวียน
หลินเซวียนหันไปมอง “น้องชายกลับมาแล้ว อยากฟังพี่ร้องเพลงไหม…”
หลินเยวียนเดินขึ้นไปข้างบน
หนานจี๋แกว่งหาง
หลินเซวียนเบ้ปาก พูดเจื้อยแจ้วให้น้องสาวฟังต่อไป
ชั้นบน
หลินเยวียนอยู่ในห้องนอน เขาเปิดก๊อกน้ำและทดสอบอุณหภูมิของน้ำ ไม่มีปัญหา เครื่องทำน้ำอุ่นได้รับการซ่อมแซมแล้วในวันนี้
“มาอาบน้ำ”
หลินเยวียนมองไปยังหนานจี๋
เมื่อคืนวานหนานจี๋อาบน้ำยังไม่ล้างเจลอาบน้ำออก ทั้งตัวเต็มไปด้วยฟอง
แต่กลับถูกหลินเยวียนเป่าจนแห้งทั้งอย่างนั้น
หนานจี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนอนลงแต่โดยดี
ลเมื่ออาบน้ำเสร็จ หลินเยวียนเป่าแห้งให้หนานจี๋อีกครั้ง จากนั้นจึงนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง
ลสิ่งสำคัญคือเขาต้องอ่านความคิดเห็นบนโลกออนไลน์หลังจากการแข่งขันในรอบนี้
นี่กลายเป็นวิธีการพักผ่อนของหลินเยวียนไปแล้ว
ไม่ทันไร
หลินเยวียนก็บังเอิญไปเห็นหัวข้อหนึ่ง
เป็นหัวข้อสนทนาซึ่ง [ตงสยงเจี้ยง] เป็นผู้โพสต์ มีชื่อว่า
‘หลานหลิงอ๋องไม่พูดไม่จาแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเสียงแหบ แต่เพราะมีคนบีบคอเขาอยู่’
เริ่มต้นด้วยความคิดเห็นของตงสยงเจี้ยงเอง
‘เป็นเรื่องน่าเศร้าเล็กน้อยที่ในหลายรอบที่ผ่านมา หลานหลิงอ๋องพูดน้อยลงเรื่อยๆ แถมยังไม่แสดงความคิดเห็นต่อการแสดงของนักร้องคนอื่นๆ เดิมทีฉันคิดเพียงว่าเขาคงลืม หรือไม่ทีมงานรายการก็ไม่ใส่ฟุตเทจที่เขาพูดลงไป จนกระทั่งได้ฟังเพลงที่เขาร้องในวันนี้ ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วเขาแค่เหนื่อยแล้ว’
‘ดูเนื้อเพลงไม่สนใจสิ’
‘ภายนอกเป็นเพลงรัก แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ร้องออกมาคือคำพูดที่อยู่ในใจ’
‘ถูกหรือผิด อย่าได้คิดเช่นนั้นเสมอไป ใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าฉันไม่เสียดาย แตกสลายก็แตกสลาย สมบูรณ์แบบคงเป็นไปไม่ได้ ปลดปล่อยตัวเอง ฉันถึงโบยบินได้ไกล…’
‘ใช่แล้ว’
‘ถ้อยคำด่าทอมีมากเกินไป ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากพูด ล้วนนำมาซึ่งประเด็นโต้เถียง มีบางคนเช่นจ้าวอิ๋งเก้อและเอ๋อลั่วอี (ซึ่งล่าถอยไปแล้ว) ที่เข้าใจและยอมรับคำวิจารณ์ และมีบางคนเช่นนักร้องอย่างหยวนซี(ซึ่งน่าจะเป็นเทพีแห่งการล้างแค้น) และแฟนคลับที่ระเบิดโทสะ กลุ่มนั้นพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นหลังจากวิพากษ์วิจารณ์ทีมที่สามจบ หลานหลิงอ๋องก็ไม่เคยเอ่ยถึงนักร้องคนอื่นอีก เพราะเขาถูกคำตำหนิติเตียนบีบคออยู่ คนที่กล้าพูดความจริงบนโลกนี้ได้หายไปอีกหนึ่งคนแล้ว’
‘…’
การวิเคราะห์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
‘เหมือนกับที่บอกไว้ในเนื้อเพลง หลานหลิงอ๋องแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงชี้ถึงความบกพร่องที่เขาเห็น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครชอบฟัง’
‘มีคนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ถูกและผิด ย่อมมีคนคิดว่าเขาจริงจังเกินไป’
‘ทุกคนชอบคนจริง แต่ตัวเองกลับไม่อยากเป็นแบบนั้น’
‘ราชาหน้ากากนักร้องก็คือวงการบันเทิง วงการบันเทิงไม่ชอบอะไรแบบนี้ เขาเล่นแบบนี้ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยหรอก แต่ฉันชอบคนแบบหลานหลิงอ๋อง’
‘ก้นนั่งอยู่ตรงไหน สมองก็สั่งการตามนั้น’
‘พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ คิดว่าหลานหลิงอ๋องเก่งมาก แฟนคลับของนักร้องเหล่านั้นกลับทนไม่ได้ที่คนอื่นวิจารณ์ไอดอลของพวกเขาแค่ประโยคเดียว ต่อให้สิ่งที่คนเขาพูดจะมีเหตุผลแล้วยังไง ที่จริงคนที่โมโหกระฟัดกระเฟียดส่วนมากคือแฟนคลับ คนผ่านไปผ่านมาต่อให้ไม่ชอบหลานหลิงอ๋อง อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรง’
‘…’
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนไม่เห็นด้วย
‘ก็แค่เพลงรัก เอาอะไรมามีความหมายแฝงมากขนาดนั้น มีเหตุผลที่เขาเงียบ เพราะเขากลัวไงล่ะ’
‘แรงกดดันจากความเห็นของประชาชนมีมหาศาล เขาสวมหน้ากากอยู่จะไม่สนใจก็ได้ แต่พอถอดหน้ากากล่ะ?’
‘รอบหน้าก็ถอดหน้ากากแล้ว เขาต้องรู้จักสะสมคุณงามความให้ตัวเองบ้าง ไม่งั้นเมื่อไหร่ที่ตัวตนเปิดเผย สิ่งที่รอเขาอยู่คือหายนะแบบไหนคงไม่ต้องให้บอกล่ะมั้ง’
‘ตอนนี้สายไปแล้ว เขาล่วงเกินคนมามาก ต่อให้มานึกกลัวคงไม่ได้ พอถึงตอนนั้นน่าจะโดนทุบตาย’
‘หลังจากถอดหน้ากาก ทหารนับพันตั้งทัพรอเขาอยู่’
‘…’
ความขัดแย้งยังไม่ยุติลง
‘หลานหลิงอ๋องถอดหน้ากากเมื่อไหร่ผมจัดการเขาแน่ ผมเป็นแฟนคลับของเอ๋อลั่วอี’
‘อย่ามาตีเนียนเป็นแฟนคลับเอ๋อลั่วอีหน่อยเลย กดเข้าไปในแอคของคุณมีแต่หัวข้อเกี่ยวกับหยวนซี’
‘ไอดอลของพวกคุณยังไม่ทันพูดอะไร พวกคุณเดือดร้อนแทนซะแล้ว’
‘เราเดือดร้อนมานานแล้ว หลานหลิงอ๋องล่ะเดือดร้อนไหม เขากลัวจนปิดปากเงียบไปแล้ว’
‘…’
การถกเถียงไม่ยุติลงสักที
หลินเยวียนส่ายหน้า วางโทรศัพท์ลง จู่ๆ ก็หมดความสนใจที่จะท่องโลกออนไลน์ต่อ
อย่างไรก็ตาม โพสต์นี้ย้ำเตือนหลินเยวียน
ระยะนี้ตนไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นักร้องคนอื่นจริงๆ เขาทำไปเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่รู้เลยว่าทำไมระยะนี้ถึงทำเช่นนั้น…
เพราะไม่มีอะไรจะพูดหรือ?
ไม่เลย
เพียงแต่ตนตระหนักได้ว่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความดีกว่า
เพราะกลัวถูกคนที่เกลียดตามมาถล่มหลังถอดหน้ากากหรือ?
ก็ไม่ใช่
หลินเยวียนไม่เคยกลัวกองทัพชาวเน็ตเหล่านั้นเลย
เพียงแต่จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกถึงแฟนๆ ซึ่งอุตส่าห์เดินทางมาไกล เพียงเพื่อตะโกนบอกเขาว่า ‘สู้ๆ นะ’ ที่หน้าประตูศูนย์ดนตรีกลางในวันนั้น
พวกเขายอมเปิดศึกกับผู้คนบนโลกออนไลน์เพื่อเขา
จวบจนปัจจุบันนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะสงบลงเลย
ถ้าหากตนไม่พูด
หลังจากนี้ทุกคนจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก
ความจริงเป็นเช่นนั้นแน่นอน
เนื่องจากช่วงนี้ตนไม่ได้พูดอะไรที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงได้ คอมเมนต์กระสุนบนหน้าจอจึงปรองดองกันมากขึ้น
ผู้คนทะเลาะกันบางครั้งคราว
แต่อย่างน้อยความเคลื่อนไหวก็น้อยลงมาก
จนหายไปอย่างสิ้นเชิงในภายหลัง
เพราะฉะนั้น…
เขาต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจบ้าง
ที่แท้ตนก็นับว่าเป็นคนรักสงบ เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเยวียนจึงคิดว่าเขาปล่อยวางได้แล้ว
ทว่าไม่กี่วันต่อจากนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ถึงขั้นหดหู่ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
เขาไม่อยากซ้อมร้องเพลง และไม่อยากพูดกับใคร
คนที่บ้านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินเยวียนเสียงแหบ
ถึงอย่างไรเขาเป็นคนพูดน้อยแต่ทุนเดิม ต่อให้ไม่พูดไม่จาทั้งวันก็ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ
กลับเป็นน้องสาวซึ่งสังเกตเห็นว่าหลินเยวียนอารมณ์ไม่ดี เธอจึงว่าง่ายกว่าเดิมมาก ระหว่างกินอาหาร เธอยังแอบกินผักใบเขียวไปไม่น้อย
แม่จะทำอาหารจานผักปริมาณกำลังพอดีทุกวัน นับว่าเป็นภารกิจ ประจำวันซึ่งมอบหมายให้หลินเยวียนและหลินเหยา
ต้องกินให้หมดภายในหนึ่งวัน
ถ้าหากไม่มีหนานจี๋คอยลอบช่วยเหลือ หลินเยวียนและหลินเหยาคงรับมือไม่ไหว
เป็นเช่นนี้
จนผ่านไปหลายวัน
ในที่สุดเสียงของหลินเยวียนก็ดีขึ้นมาก จนไม่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันแล้ว และบรรยากาศในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศค่อยๆ แผ่เข้าปกคลุม
บนอินเทอร์เน็ต
ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับราชาหน้ากากนักร้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบแตะถึงจุดสูงสุดนับตั้งแต่มีการแข่งขันมา!
ขณะเดียวกัน
ในการจัดอันดับความนิยมของนักร้องในราชาหน้ากากนักร้อง ปัจจุบันนี้เหลือนักร้องเพียงหกคนเท่านั้น
สี่อันดับแรกคือราชาราชินีเพลง
อันดับที่ห้าคือนางเงือก
ส่วนหลานหลิงอ๋องอยู่ในอันดับต่ำสุด
เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ทุกคนถูกอกถูกใจราชาราชินีเพลงมากกว่า
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ…
ความนิยมของหลานหลิงอ๋องนั้น แม้แต่กับนางเงือกก็ยังนับว่าห่างไกลกันมาก
หลินเยวียนคิดว่านี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ปกติ
จนกระทั่งขณะกำลังจะออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังเวทีการแข่งขัน เขาได้ยินพี่สาวบ่นว่า
แฟนคลับของนักร้องพวกนี้น่าเกลียดมาก จงใจโหวตให้นักร้องห้าอันดับแรก แต่ไม่โหวตให้หลานหลิงอ๋อง เดิมทีความนิยมของหลานหลิงอ๋องอยู่อันดับห้า แต่เขาถูกดันลงไปอันดับหก ดันลงไปอันดับหกยังไม่เท่าไหร่ ทำไมต้องปั่นโหวตให้ห้าอันดับแรก จนสถิติของหลานหลิงอ๋องแย่ขนาดนี้!”
ในบางครั้ง
ต้นไม้อยากสงบ แต่พายุกลับไม่ยอมหยุด
หลินเยวียนไม่ได้พูดจา จนกระทั่งขึ้นรถของกู้ตงตรงไปยังสนามแข่งขัน
กู้ตงซึ่งสวมหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้ากล่าว “วันนี้เข้าประตูหลัก ทีมงานรายการจะเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ลงจากรถค่ะ”
หลินเยวียนตอบ “อื้ม” ก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ
ยี่สิบนาทีผ่านไป
รถก็มาถึง
หลินเยวียนมองผ่านหน้าต่างรถออกไปข้างนอก ผู้คนเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ ต่างคนต่างป้ายสนับสนุน
มีแฟนคลับของมหาราชา
มีแฟนคลับของหงส์ขาว
มีแฟนคลับของเทพีแห่งการล้างแค้น
มีแฟนคลับของนางเงือก
มีแฟนคลับของเอล์ฟ
และแน่นอนว่ามีแฟนคลับของหลินเยวียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูเผินๆ กลุ่มผู้สนับสนุนของหลานหลิงอ๋องนั้นมีบางตาที่สุด กลุ่มผู้สนับสนุนของนักร้อ งคนอื่นๆ นั้นมีมากกว่าของหลินเยวียนหลายเท่า
หลินเยวียนกล่าวว่า “ผมล่วงเกินคนไว้มาก”
กู้ตงเบ้ปาก “หมายถึงจำนวนแฟนคลับเหรอคะ? งั้นตัวแทนหลินคงไม่รู้ ว่าแฟนคลับของคุณมีไม่น้อย คุณเห็นว่าแฟนคลับของนักร้องคนอื่นมีเยอะ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนมากจะถูกนักร้องหรือบริษัทจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทรู้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมการแข่งขัน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้นักร้อง ไม่เหมือนกับบริษัทเราที่ไม่รู้เลยว่าตัวแทนหลินเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่งั้นอย่างน้อยบริษัทจะช่วยควบคุมพวกความคิดเห็นในเน็ตได้ค่ะ และจัดหากลุ่มผู้สนับสนุนให้ได้มากกว่าด้วย…”
“อ้อ”
หลินเยวียนไม่ออกความเห็น
ในขณะนั้น
ไกลออกไป รถหรูคันยาวปรากฏขึ้น เคลื่อนมาอย่างรวดเร็วจนเกือบดริฟต์ จากนั้นเทพีแห่งการล้างแค้นเดินลงจากรถโดยมีบอดีการ์ดคอยคุ้มกัน
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
“เทพีแห่งการล้างแค้น!”
เทพีแห่งการล้างแค้นหยุดโบกมือ ผู้สนับสนุนของเธอตะโกนร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าหากไม่มีบอดีการ์ดคอยกีดกันไว้ พวกเขาคงบุกเข้าไปในห้องส่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม เสียงเหล่านี้นับว่ามีพลังมหาศาล
กลุ่มผู้สนับสนุนหลานหลิงอ๋องซึ่งอยู่ด้านข้างถูกเบียดออกไปด้านข้าง ในนั้นมีคนถูกฝูงชนเบียดจนล้มลง
หลินเยวียนสีหน้าเปลี่ยนทันใด ความโกรธเคืองปรากฏในแววตา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนเข้ามาพยุงได้ทันเวลาก่อนจะล้มคะมำลง หลินเยวียนจึงเบาใจขึ้น
เด็กผู้หญิงซึ่งในมือถือป้ายสนับสนุนถูกเบียดจนป้ายหลุดจากมือโดยไม่ตั้งใจ แต่ปรากฏว่าป้ายถูกแฟนคลับของนักร้องคนอื่นๆ เหยียบซ้ำ
เด็กหญิงคนนั้นตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อคนกลุ่มนี้ผ่านไป แฟนคลับของหลานหลิงอ๋องจึงรีบวิ่งมา และเก็บป้ายสนับสนุนขึ้นมาเช็ดรอยเท้าและคราบฝุ่น
“โชคดีที่ไม่เป็นไร”
กู้ตงซึ่งอยู่ในตำแหน่งคนขับก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน
เธอเกือบรีบออกไปช่วยแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์เหยียบกันคงเลวร้ายมาก “คนพวกนี้เห็นคนดังแล้วไม่คิดชีวิตกันเลย เมื่อกี้คนคนนั้นน่าจะบาดเจ็บ ตัวแทนหลินเดี๋ยวคุณ เอ๊ะ…”
กู้ตงหันกลับไป จึงพบว่าหลินเยวียนลงจากรถแล้ว ขณะนี้กำลังจะเข้าประตูไปภายใต้การดูแลของบอดีการ์ด
ทว่าหลินเยวียนไม่ได้เข้าไปด้านในทันที
เขายืนอยู่ในบริเวณทางเข้าในตำแหน่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ทันใดนั้นก็หันกลับไปมองกลุ่มผู้สนับสนุนของตน
เด็กผู้หญิงซึ่งทำป้ายหลุดมือเมื่อครู่กำลังพยายามเช็ดป้ายซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกเช็ดจนสะอาด น้ำตาหยดเผาะๆ
“ทำไมไม่เข้าไปด้านในล่ะ”
หงส์ขาวก็ปรากฏตัวจากที่ไหนสักแห่ง ท่าทางราวกับกำลังกลัวกลุ่มผู้สนับสนุนบุกเข้ามา “บริษัทชอบทำเรื่องเว่อร์ๆ แบบนี้อยู่เรื่อย วันนี้คุณ…”
“สนใจ”
จู่ๆ หลินเยวียนก็เอ่ยสามคำนี้อออกมา ก่อนจะเดินไปหาถงถงซึ่งอยู่ไกลออกไป ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้กับหงส์ขาว
หงส์ขาวตกตะลึงอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้…
หลานหลิงอ๋องกำลังตอบคำถามของเธอเมื่อสัปดาห์ก่อน
เพียงแต่คำตอบของคำถามนี้…
เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว?