“ในโลกหล้านี้มีแต่จิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อนที่สุดต่อให้เป็นเทพก็ยังรองมาจากมนุษย์ สิ่งที่เขาต้องการ…..” ฟ่านอิงหันเหสายตากลับมา มองไปที่ตู๋กูซิงหลัน “ก็คือรวบรวมความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกหล้ามาใช้สอย”
แววตาของตู๋กูซิงหลันมืดครึ้มลงไป ในสมองของนางปรากฏภาพของเหล่าผีกุ่ยหลัวซาและวิญญาณแค้นมากมายขึ้นมาอีกครั้ง
ซือเป่ยเป็นเทพสงครามแดนสวรรค์ ต้องถือว่าเป็นที่สุดของฝ่ายธรรมะ แล้วเขาจะรวบรวมความชั่วร้ายทั้งหมดในใต้หล้าไปเพื่อทำอะไร?
“ตลอดหลายปีมานี้ ทุกสิ่งที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทำลงไปล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องชั่วช้าที่น่าหวาดผวา เป็นมนุษย์ที่จิตเป็นมาร สร้างความ เคียดแค้นชิงชังไปทุกหย่อมหญ้า แดนสวรรค์มองดูเหมือนจะสงบสุข แต่ที่จริงแล้วมีแต่คลื่นลมอยู่ตลอด”
ยากนักที่ฟ่านอิงจะพูดอะไรยาวๆหลายประโยค
ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งรับฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ ทางหนึ่งก็ค่อยๆม้วนเก็บยันต์โลหิตที่ผนึกเยี่ยเฉินเอาไว้อย่างดีลงไป แล้วจึงปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้าจนแห้ง
ไม่ว่าซือเป่ยจะคิดทำอะไร ก่อนที่เขาจะสมความปรารถนา นางก็เพียงแต่ต้องชิงสังหารเขาก่อนเท่านั้น
“ดูท่าแล้ว ที่ซือเป่ยส่งบุรุษหนุ่มผู้นี้มา ก็คงเพราะเจ้าสินะ” ฟ่านอิงมองดูนาง พลางมองออกไปรอบๆเกาะลอยฟ้าที่พังทลายลงไป
“ทั้งเมืองว่านฮวาเฉิงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้วนมิใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ในช่วงนี้เจ้าควรจะหาที่หลบซ่อนสักพัก” หากว่าเป็นไปได้ ฟ่านอิงก็คิดจะได้อยู่ร่วมกับนางนานอีกสักช่วงหนึ่ง
แต่ว่าใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ของเขานี้ มิว่าทำสิ่งใดก็ยังคงดูอัปลักษณ์อยู่ดี
แม้ว่าจะแสดงออกทางสีหน้าว่าเสียดาย แต่ดูแล้วก็ยังคงน่ากลัวอย่างที่สุด
ดวงตาที่มีแต่เส้นเลือดมีเพียงจุดสว่างจางๆท่ามกลางความมืดทึบ
ตู๋กูซิงหลันคิดจะไปที่เผ่าปีศาจสักครั้งหนึ่ง เพราะอย่างไรพี่รองก็ถูกเจ้าจิ้งจอกน้อยพาไปแล้ว นางจะต้องไปรับคนกลับมา
“ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกแล้ว” นางเก็บกริชลงไป เส้นผมสีดำอมเงินพลิ้วออกไปในสายลม จับจ้องมองดูเยี่ยเฉิน “มีแต่ต่อต้านสวรรค์ กระทำตามใจตนให้ถึงที่สุด จึงจะนำความสงบสุขคืนมาสู่ใต้หล้าได้สำเร็จ”
“เจ้ายังคิดจะบุกขึ้นไปฆ่าล้างสังหารถึงบนสวรรค์ให้ได้?” ฟ่านอิงถูกแววตาที่มีแต่ความเชื่อมั่นในตนเองอยู่เต็มเปี่ยมของสาวน้อยทำเอาต้องตกตะลึงไป
เขาอยากจะรู้จริงๆว่า ในกระดูกของเด็กคนนี้มีอะไรอยู่กันแน่
ใครเป็นคนที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบโต ทำให้นางมีความมั่นใจและมุ่งมั่นถึงเพียงนี้
“ผู้อื่นไม่ปล่อยข้า แล้วข้าจะหนีได้อย่างไร” ชุดสีแดงของตู๋กูซิงหลันพลิ้วไปกับสายลมยามค่ำคืนลมโบกชุดจนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
ใต้แสงจันทร์สว่าง หัวคิ้วของนางแฝงความทรนงองอาจ ดูแกล้วกล้าอาจหาญราวกับว่าเป็นแม่ทัพหญิงออกศึกสังหารศัตรูผู้หนึ่ง
“แต่ว่านั่นคือแดนสวรรค์ มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะสั่นคลอนได้ และไม่ใช่คนที่เจ้าจะโยกคลอนได้เช่นกัน”
คนหนุ่มคนสาวมีความห้าวหาญย่อมเป็นเรื่องดี แต่ว่าประสบการณ์ยังน้อยไป นางยังไม่เคยขึ้นไปบนแดนสวรรค์เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่เคยเจอกับพวกเทพบนสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะพอมีความสามารถอยู่กับตัว แต่ว่าออกจะประเมินเรื่องราวอย่างประมาทเกินไป
“มดแดงเขย่าต้นมะม่วง หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่สำเร็จ?” ตู๋กูซิงหลันหันกลับมาคลี่ยิ้มให้กับเขา
“ท่านตา นับจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านติดตามข้า ข้าก็จะปกป้องท่านเอง”
ประโยคหลังนั่น ทำเอาคำพูดที่มาถึงลำคอของฟ่านอิงถึงกับต้องกลืนกลับลงไป
หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอย่างแรงครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จมูกของเขาถึงได้แสบร้อนขึ้นมา อายุก็ปานนี้แล้ว หัวใจด้านชามานานหลายปี แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองกลับฝ้าไปด้วยหมอกน้ำชั้นหนึ่ง
เมื่อครู่ก่อนเขายังรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยที่ตู๋กูซิงหลันไม่ไว้ใจในตัวเขา
แต่ว่าตอนนี้กลับถูกนางโยกคลอนจนซาบซึ้งขึ้นมา
“ข้าไม่ได้แค่พูดเฉยๆ” ตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปหา ปาดเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนสองมือกับเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ค่อยจับมือของฟ่านอิงเอาไว้
“เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ข้าไร้ความสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต่อไปในอนาคตขอเพียงข้ายังไม่ตาย จะต้องปกป้องท่านตาอย่างที่สุดแน่นอน”
นี่คือสิ่งที่นางจะชดเชยให้แทนราชวงศ์จี อีกทั้งยังเป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะปกป้องชายที่น่าสงสารผู้นี้
หากท่านยายอยู่ในปรภพ ก็คงปรารถนาให้เขาได้ปล่อยวางตนเอง มีอิสระในตนเอง
ฟ่านอิงมองดูสองมือบอบบางที่กุมมือของตนเองเอาไว้ จนเนิ่นนานเขาก็ยังถึงกับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
เขาจดจำไม่ได้แล้วว่า นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็น ‘คนตายที่มีชีวิต’ นานกี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยมีใครแตะต้องเขา…..
นานเท่าไหร่แล้ว ที่เขาไม่เคยสัมผัสใครทั้งสิ้น
ยามนี้เขาเผยโฉมอย่างไร้สิ่งใดปิดบังต่อหน้านาง นางไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว ทั้งยังเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหาเขา
พอฟ่านอิงสลายหมอกสีดำไปหมดแล้ว ร่างกายก็มิได้เย็นยะเยือกจนเหมือนกับแต่ก่อน แต่ยามที่ตู๋กูซิงหลันจับมือของเขาเอาไว้ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นแผ่ซ่านเข้าไปในกระดูก
ร่างกายนี้ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ดวงจิตที่ถูกกักเอาไว้ในร่างกายด้วยฤทธิ์อาคมเท่านั้น
เนิ่นนาน เขาค่อยใช้มืออีกข้างหนึ่งตบลงบนหลังมือของตู๋กูซิงหลันเบาๆ รับปากคำหนึ่งว่า ‘ตกลง’
ภายหลัง ตู๋กูซิงหลันค่อยรู้ว่า ในคำว่า ‘ตกลง’ คำนั้น ฟ่านอิงได้ตระเตรียมจะทำสิ่งใด
หัวคิ้วและดวงตาของนางวาดโค้ง จนสวยงามน่าชม
ไม่ไกลออกไป ท่านเจ้าสำนักที่มีสีหน้าซีดขาว ก็พยายามสะกดภาพที่สับสนและพร่าเลือนในสมอง เอาไว้ ยามที่เขามองออกไป ก็ได้เห็นรอยยิ้มของศิษย์น้อยเข้าพอดี
ตู๋กูซิงหลันเดินมาที่ข้างกายเขา นางได้กลิ่นเหล้าดอกกุ้ยฮวาจากบนร่างของเขา สีหน้าจึงไม่ดีเท่าไหร่
“ฉุยซือ เจ้ายินดีจะไปที่เผ่าปีศาจกับข้าหรือไม่?”
ถึงอย่างไรอาจารย์ต้าฉุยก็เป็นเจ้าสำนักหยินหยาง ไม่ใช่คนที่จะลากไปลากมาได้ง่ายๆ
“ได้” ท่านเจ้าสำนักโพล่งออกมาคำหนึ่ง พอตู๋กูซิงหลันเข้ามาใกล้ อาการปวดศีรษะรุนแรงที่เขาพึ่งจะสะกดเอาไว้ก็ย้อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเขาปิดบังเอาไว้เป็นอย่างดี แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถหลอกได้สำเร็จ
ภายในถุงเฉียนคุน ศิลาโลหิตในกระถางดอกไม้ แทงหน่อสีแดงออกมาจากพื้นดิน
………….
สายเลือดตระกูลซูตั้งถิ่นฐานอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจมาเนิ่นนาน ในหุบเขามีสัตว์ปีศาจมากมาย แต่แทบจะไม่เคยมีมนุษย์ย่างกรายมาให้เห็น
ต่อให้มีเข้ามา ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีทางได้กลับออกไป
บนยอดสูงสุดของภูเขาหมื่นปีศาจ สูงอยู่เหนือเมฆ มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน มีวังโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง วังแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ เหล็กและหินขนาดใหญ่ ขนาดพื้นที่กว้างขวางราวสองสนามฟุตบอล
หิมะตกอย่างหนัก คลุมหลังคาวังจนกลายเป็นสีขาวโพลน
ประตูใหญ่ของวัง ฝูงจิ้งจอกน้อยขนฟูกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี
องค์ชายน้อยพาบุรุษชาวมนุษย์ผู้หนึ่งกลับมาด้วย ทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกต่างก็สนอกสนใจอย่างยิ่ง
เผ่าจิ้งจอกมิได้มีกฏเกณฑ์อะไรมากมายเช่นพวกมนุษย์ พวกปีศาจมักชอบทำอะไรตามอำเภอใจอยู่แล้ว
จิ้งจอกน้อยแต่ละตัวต่างก็ทำคอยืดยาว ต่างก็อยากจะมองดูให้ชัดๆว่ามนุษย์ที่องค์ชายน้อยพากลับมาหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่จะแหงนมองซ้ายมองขวา มองอย่างไรก็ยังไม่เห็นอยู่ดี ช่างหมดสนุกจริงๆ
ภายในวัง แสนจะหนาวเย็น
บนตำหนักกลาง มีแท่นนอนที่อ่อนนุ่มหลังหนึ่ง แท่นบรรทมอ่อนนุ่มปูด้วยสีแดงสดใส บนนั้นมีสตรีผู้หนึ่งนอนหลับอยู่
อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ สตรีผู้นั้นยังคงเปลือยแผ่นหลังอยู่ครึ่งหนึ่ง บนร่างมีหนังจิ้งจอกคลุมอยู่เพียงชิ้นเดียว ปกปิดสัดส่วนที่สำคัญเอาไว้
หากจะบอกว่าเปลือย ก็ดูไม่เหมือนจะเปลือย เพราะส่วนที่ผู้ใดก็อยากเห็นกลับมองไม่เห็น
แผ่นหลังของนางสวยงามอย่างยิ่ง โค้งเว้าเป็นเส้นสายอันงดงาม แผ่นหลังและลำคอระหงเกินพอจะดึงดูดสายตาผู้คนให้หลงใหล
เส้นผมสีแดงสยายอยู่บนฟูกอ่อน กระจายเป็นวงกว้าง
ในตำหนักที่อากาศหนาวเย็นอย่างยิ่ง นางดูงดงามดุจภาพจิตกรรม
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูภาพนั้นอย่างมึนงง สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เส้นผมสีแดงที่สยายอยู่บนฟูก
“ชือหลี….” เขาเอ่ยชื่อนั้นออกมาราวกับมีผีพรายกระซิบ
ทันทีที่เรียกออกไป สตรีที่อยู่บนฟูกก็ขยับตัว คล้ายจะหันกลับมา แต่ก็ให้เขาเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างเท่านั้น
ทั้งๆที่เพียงแค่เหลือบแลมา แต่ก็แทบจะขโมยวิญญาณผู้คนไปแล้ว
……………….