ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 52 สหาย

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 52 สหาย

แสงตะวันยามเย็นเวลานี้ ใกล้โพล้เพล้เข้าทุกที

แสงสลัวสาดทอมายังถนนเล็กในเขาค่อยๆ หม่นลงทุกที

สวี่ชิงสะพายกล่องผ้าไหม จ้องมองสีท้องฟ้า ในหัวคิดถึงคำพูดของผู้บำเพ็ญใบหน้ากลม และเข้าใจเมืองเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้อย่างชัดเจนแล้ว

เขารู้ว่าเมืองหลักนี้ดูเหมือนจะมีระบบระเบียบ แต่อันที่จริงกลับซ่อนอันตรายมหาศาลไว้ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ความชั่วร้ายที่มาจากรอบทิศรุนแรงยิ่งขึ้น มักจะมีคนเลือกแยกเขี้ยวใส่คนรอบข้างเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเสมอ

เรื่องนี้ไม่มีถูกผิด

แต่สวี่ชิงไม่อยากจะกลายเป็นส่วนช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนอื่นดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงลูบกล่องผ้าไหมด้านหลัง เตรียมหามุมมืดที่ไม่มีคนสังเกตเห็น เก็บมันลงไปในถุงเก็บของของตนเอง

ดังนั้นจึงรีบเร่งก้าวเดิน

ไม่นานนัก เขาก็ลงมาจากถนนบนภูเขา เห็นเงาคนสองคนที่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทาแล้วเรียบร้อยที่ตีนเขา

หนึ่งชายหนึ่งหญิง โจวชิงเผิงกับสวี่เสี่ยวฮุ่ยนั่นเอง

สวี่เสี่ยวฮุ่ยรูปร่างหน้าตาสะสวย ถึงแม้ชุดนักพรตจะซ่อนรูปร่างสะโอดสะองของนางไว้ แต่ไม่ว่าจะหน้าอกหรือสะโพกก็ยังนูนออกมาเล็กๆ จนทำให้ชุดสีเทาที่อยู่บนตัวนาง มีความยั่วยวนเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง

ส่วนโจวชิงเผิงเดิมทีก็หล่อเหลาอยู่แล้ว เวลานี้สวมชุดนักพรตสีเทาจึงดูสง่างามมาก จนทำให้ในสายตาสวี่เสี่ยวฮุ่ยฉายแววลุ่มหลง

และไม่รู้ว่าสิ่งที่นางลุ่มหลงคือตัวโจวชิงเผิงหรือว่าเรือเวทของเขากันแน่

พอเห็นว่าร่างสวี่ชิงปรากฏขึ้น โจวชิงเผิงก็หัวเราะร่า เดินตรงมาทางสวี่ชิง

“สวี่ชิง ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้ารอเจ้าอยู่พักหนึ่งเลย”

สวี่ชิงสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ไม่เข้าใกล้ เว้นระยะห่างออกมาเจ็ดแปดจั้งเงยหน้ามองคอของโจวชิงเผิง ปล่อยมือขวาไปอยู่ข้างกระเป๋าที่ซ่อนเหล็กแหลมสีดำไว้

“พวกเราล้วนเป็นศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว ซ้ำยังเข้าสำนักเป็นกลุ่มเดียวกันด้วย ตอนอยู่ในสำนักพวกเรายังไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ดังนั้นข้าเลยคิดว่าพวกเราควรจะสนิทกันไว้หน่อย

“หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไร ก็ยังมีเพื่อนเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีเส้นสายเพิ่มมาอีกหนึ่งไงล่ะ” ท่าทีของโจวชิงเผิงจริงใจ ประสานหมัดมาทางสวี่ชิง

สวี่ชิงพอได้ยินก็ไม่ลดความระแวดระวังลง แต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง จึงพยักหน้าตอบ

ใบหน้าโจวชิงเผิงยังคงมีรอยยิ้ม พูดออกมาอีกไม่กี่ประโยค พอเขาเห็นว่าสวี่ชิงไม่ค่อยชอบพูดคุย หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกันห่างๆ จึงบอกลาแล้วเดินจากไปพร้อมสวี่เสี่ยวฮุ่ย

มองเงาของพวกเขาที่เดินจากไป สวี่ชิงก้มหน้าดูมองป้ายฐานะของตนเอง ข้อมูลที่อีกฝ่ายเพิ่งจะแลกเปลี่ยนกัน ก็มีป้ายฐานะนี้เป็นสื่อกลางนั่นเอง

“พูดได้ด้วยหรือ” สวี่ชิงใคร่ครวญอย่างอยากรู้อยากเห็นพักหนึ่ง ถ่ายพลังวิญญาณในร่างกายลงไป ในหัวก็ปรากฏข้อมูลของตนเองในป้ายฐานะขึ้นทันที

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมหัศจรรย์มาก จึงศึกษาพลางเดินไปด้วย

ตอนที่เดินเข้าเมือง เขาหามุมๆ หนึ่ง จัดการนำกล่องผ้าไหมที่แบกอยู่ใส่เข้าไปในถุงเก็บของ โดยยังคงอยู่ในชุดขนสัตว์มอมแมมตัวนั้นไม่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทา

ถ้าหากเป็นช่วงกลางวัน ในเมืองหลักที่สะอาดสะอ้านนี้ การแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดเช่นเขาจะสะดุดตาอย่างมาก ทว่าตอนนี้เป็นช่วงกลางคืนเหมาะให้เขาซ่อนตัว ดังนั้นเขาคิดว่าการแต่งตัวเช่นนี้สามารถหลบเลี่ยงความวุ่นวายที่ตนเองแก้ไขไม่ได้เช่นกัน

ถึงอย่างไรคนเก็บกวาดส่วนใหญ่ก็ยากจน คนที่จะเพ่งเล็งมาที่เขาคงไม่ใช่คนแข็งแกร่งอะไรนักแน่นอน ดังนั้นเขายังพอจัดการไหว

ขณะเดียวกันเขาก็ศึกษาวิธีใช้ป้ายฐานะ รู้ว่าส่งกระแสเสียงอย่างไรเรียบร้อยแล้ว และเห็นว่าในข้อมูลตนเองด้านใน ทำเครื่องหมายหน่วยงานที่เขาต้องไปรับหน้าที่ด้วย

“กรมปราบพิฆาต?” สวี่ชิงงึมงำ แม้จะไม่เข้าใจหน้าที่ของกรมที่ได้รับมอบหมายมา แต่จากตัวหนังสือก็พอเดาได้ว่ากรมนี้…เหมือนจะโหดร้ายและอันตรายมาก

ส่วนเรื่องเวลารายงานตัว ในข้อมูลกำหนดว่าเป็นพรุ่งนี้ ขณะเดียวกันในป้ายฐานะ ก็ยังมีตำแหน่งจุดจอดเรืออูเผิงอีกด้วย

สำหรับศิษย์ที่มีเรือเวท สำนักจะแบ่งจุดจอดเรือไว้ให้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเว้นค่าเช่าให้หนึ่งเดือนอีกด้วย หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนก็จะเก็บค่าใช้จ่ายราคาสามหมื่นแต้มอุทิศต่อเดือน หรือก็คือหินวิญญาณสามสิบก้อน หากไม่จ่ายก็จะถูกยกเลิกจุดจอดเรือ

“ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าหมายเลขสามสิบสาม?” สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองไปทางมหาสมุทร ร่างไหววูบในความมืด ทะยานตรงไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอย่างระมัดระวัง

และเวลาก็ไหลผ่านเช่นนี้ เพียงไม่นานยามเย็นก็ผ่านไป ม่านราตรีเข้ามาเยือน

บ้านเรือนนับพันในเมือง พากันปิดประตู เสียงโหวกเหวกในช่วงกลางวันตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน

และราตรีนี้ปกคลุมสวี่ชิงจนมิด ดวงตาเขาค่อยๆ หรี่ลง เร่งฝีเท้าขึ้น และค่อยๆ สังเกตความโหดร้ายยามราตรีในเมืองนี้

เขาเห็นการสังหาร เห็นคนเอาชีวิตรอด เห็นความเย็นชาของการล่าสังหาร และยังเห็นการปล้นชิง

สำหรับเรื่องนี้ สวี่ชิงในความมืดเพียงกวาดตามองก็ถอนสายตากลับ ไม่เข้าไปร่วม เร่งเดินทางต่อ

เงาของเขายามราตรีราวกับเป็นเงาภูตผี

นอกจากนี้เขายังเห็นบ่อนพนันและซ่องโสเภณีบางส่วนอีกด้วย ไฟที่นั่นยังส่องสว่างไสว เผยให้เห็นความวุ่นวายอีกด้านของเมือง

บางทีน่าจะเพราะสวี่ชิงเพิ่มความระมัดระวังและการซ่อนเร้นมากขึ้น ดังนั้นตลอดทางจึงไม่พบคนเข้ามาโจมตีเขาเลย

แต่บางครั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตามาจากความมืดที่แฝงความเย็นชากับความชั่วร้ายไว้ด้วย แต่พอสังเกตเห็นว่าเขาแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาด ส่วนใหญ่จึงเลือกไม่สนใจราวกับเขาไม่มีตัวตน

สวี่ชิงวิ่งทะยานรวดเร็วอย่างเงียบงัน ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เขาก็เข้าใกล้ท่าเรือมากขึ้นเรื่อยๆ

ท่าเรือที่นี่มีอยู่ร้อยกว่าแห่ง สถานที่ที่สวี่ชิงต้องไปคือท่าเรือสีม่วงท่าที่เจ็ดสิบเก้า

และตอนที่ค้นหา จู่ๆ สีหน้าสวี่ชิงก็กระตุก แอบซ่อนตัวในซอยแห่งหนึ่ง มองตรงไปเบื้องหน้า

เสียงฝีเท้ากับเสียงหวีดหวิวมากมายเข้ามาใกล้ เพียงไม่นาน ผู้บำเพ็ญในชุดนักพรตสีเทากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิง แต่ละคนสีหน้าเย็นชา ทั้งร่างเผยกลิ่นอายเย็นเยียบ กำลังทะยานตัวอย่างรวดเร็ว

บางคนอยู่บนถนน บางคนก็อยู่บนสิ่งปลูกสร้างรอบๆ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

บนชุดนักพรตของพวกเขาติดตราชิ้นหนึ่งอยู่ ด้านบนมีอักษรสีเลือดตัวหนึ่ง

ฉากนี้ทำให้สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบนตัวของศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตเหล่านี้ ด้านในมีปราณสังหารแผ่ซ่านอยู่มหาศาล

“กรมปราบพิฆาต?” สวี่ชิงเดา

ตอนนั้นเอง ผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตเหล่านี้ มีคนที่สังเกตเห็นสวี่ชิงที่อยู่ในมุม ต่อให้เขาจะซ่อนตัวดีเพียงใด แต่อีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า ซ้ำยังระแวดระวังกันหมด ดังนั้นจึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้

ในนี้มีวัยหนุ่มหางตาชี้คนหนึ่ง หลังจากกวาดตามาทางสวี่ชิงอย่างเย็นชา ก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา

ปราณสังหารวูบหนึ่งโถมเข้ามาจากการประชิดตัวของอีกฝ่าย สวี่ชิงดีดตัวขึ้นทันที เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายแรงกล้าจากตัวอีกฝ่าย คนยังมาไม่ถึงแต่กลิ่นอายกลับแผ่ซ่านไปรอบทิศราวกับสายลมหนาวเหน็บแล้ว

ปราณสังหารนี้มีเพียงคนที่ฆ่าสังหารมาแล้วมากมายถึงจะมีได้

สวี่ชิงหรี่ตา เขารู้ว่าถ้าหลบหนี ด้วยการโคจรพลังรอบกายในขณะนี้ อีกฝ่ายจะลงมือแน่นอน ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ถอยหนี แต่มองไปทางอีกฝ่าย ขณะเดียวกันมือขวาก็ลดไปอยู่บนกระเป๋าที่ใส่เหล็กแหลมสีดำ พร้อมหยิบออกมาตลอดเวลา

“ป้ายฐานะ!” หลังจากชายหนุ่มมาถึง พิจารณาสวี่ชิงอยู่พักหนึ่ง สายตาตกไปอยู่บนมือขวาของเขา

ศิษย์ข้างๆ อีกมากมายก็ล้วนเข้ามาหา ทำท่าเหมือนจะล้อมตัวสวี่ชิงเอาไว้ สีหน้าล้วนแฝงความเย็นชา เหมือนหากสวี่ชิงทำอะไรผิดปกติเพียงนิดเดียว พวกเขาก็จะลงมือทันที

สวี่ชิงคอยระวังตำแหน่งสายตาของอีกฝ่าย ในใจก็ยืนหยัดที่จะแก้ไขความเคยชินของตนเอง กวาดตามองไปรอบๆ และล้วงป้ายฐานะยื่นออกไป

ชายหนุ่มรับมาดู สีหน้าเย็นชาอ่อนลง ความประหลาดใจก็เข้ามาแทน เอ่ยกลั้วหัวเราะกับสหายที่อยู่ข้างๆ

“เจอคนใหม่ที่จะไปรายงานตัวกับกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดของพวกเราเสียแล้ว

“เอาล่ะ ทุกคนระงับกลิ่นอายเถอะ อย่ามาทำให้เพื่อนตัวน้อยที่ไม่ทันถูกคนร้ายสังหารจนตายก็ต้องมาถูกพวกเจ้าขู่จนไม่กล้าไปรายงานตัวเลย” กลิ่นอายรอบด้านล้วนเบาบางลงตามเสียงที่กล่าวออกมา แต่ก็ยังมีอีกหลายสาย ที่ยังเพ่งเล็งมาที่สวี่ชิง

‘เป็นกรมปราบพิฆาตจริงๆ ด้วย’ สวี่ชิงสัมผัสได้ว่ากระแสปราณที่เพ่งเล็งหายไปแล้วกว่าครึ่ง และชายหนุ่มหางตาชี้คนนั้นก็ส่งป้ายฐานะกลับมาให้สวี่ชิง จากนั้นจึงมองพิจารณาหัวจดเท้า

“เพื่อนตัวน้อยนี่น่าสนใจจริง รีบไปเถอะ ในเมืองคืนนี้อันตรายมาก”

สวี่ชิงได้ยินประโยคนี้จึงพยักหน้า รับป้ายฐานะกลับมา ตอนที่จะกำลังจะจากไปขณะนั้นเอง ในม่านราตรีที่ห่างออกไป เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็วาดผ่านอากาศมาอย่างแจ่มชัด

เสียงนี้หวีดแหลม และมีเสียงคำรามก้องกังวานอีกด้วย

หน้าสวี่ชิงตึงขึง หันหน้าไปมองทันที จากนั้นก็เห็นว่าด้านบนสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งที่ห่างออกไป เงาดำร่างหนึ่งกำลังเหยียบทะยานอยู่กลางอากาศกระอักเลือดสดออกมา

แม้คลื่นพลังวิญญาณจะแปรปรวนอยู่บ้าง แต่กลิ่นอายระดับสร้างฐาน ก็ทำให้สวี่ชิงตกตะลึง

มีชายกลางคนในชุดนักพรตสีม่วงด้านหลังของเขาอีกเงาหนึ่ง สีหน้าเรียบเฉยแต่ทรงพลานุภาพ ทรงอำนาจประดุจสายรุ้ง ต่อให้อยู่ห่างกันมาก แต่คลื่นพลังวิญญาณก็ยังร้อนแรงประดุจเปลวเพลิง แข็งแกร่งมหาศาล

ชายกลางคนชุดคลุมม่วงยกมือขึ้นท่ามกลางเสียงหวีดหวิวกลางอากาศที่เข้ามาใกล้ หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขาฉับพลัน ขว้างไปข้างหน้าอย่างรุนแรง

ขณะที่พัดกระพือคลื่นมหาศาลแผ่กระจายครืนครันไปรอบทิศ อากาศราวกับถูกระเบิด หอกยาวเล่มนั้นก็เหมือนเสียดสีจนเกิดการเผาไหม้ กลายเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่ง พุ่งตามเงาดำที่กำลังหลบหนี

มองไกลๆ เหมือนท้องฟ้าจะถูกฉีกขาด ทำให้มังกรเพลิงตัวนี้เจิดจ้าแยงตา วิจิตรงดงาม

แหวกผ่าอากาศฉับพลันด้วยความเร็ว บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ภายใต้เสียงหวีดหวิวแหลมยิ่ง พุ่งทะลุหน้าอกเงาดำร่างนั้นทันที พาร่างทั้งร่างตอกติดกับอิฐดำบนถนนดังฉึก แรงปะทะที่กระพือขึ้นราวกับลมหายุ พัดกวาดไปทั่วทิศ

เด็ดขาดเฉียบคม พินาศย่อยยับอย่างง่ายดาย!

สวี่ชิงที่เห็นฉากนี้จิตใจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในความรู้สึกของเขา เงาดำที่ถูกอีกฝ่ายสังหารดูใกล้เคียงกับบรรพชนสำนักวัชระ

และหอกนั้นของชายกลางคนชุดนักพรตสีม่วงก็แข็งแกร่งไร้เทียมทาน เขาถามตนเองว่าถ้าหากเจอบ้าง ก็คงจะไม่มีโอกาสได้หลบหนี ดับดิ้นอย่างแน่นอน

“ท่านเจ้ากรม!”

“ไป!”

ศิษย์ของกรมปราบพิฆาตเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายเขา สีหน้าตอนนี้ล้วนลิงโลด ไม่สนใจสวี่ชิงอีก แต่ละคนระเบิดความเร็วทั้งหมด ทะยานตรงไปยังสนามรบ

จนกระทั่งพวกเขาห่างออกไป ความสั่นสะเทือนในใจสวี่ชิงรวมไปถึงความยอดเยี่ยมของหอกนั้นยังคงแผ่ซ่านอยู่ในหัว ครู่ต่อมาเขาก็สูดลมหายใจลึก ดวงตาเผยความปรารถนาออกมา

“ไม่รู้เมื่อไร ข้าถึงจะเป็นเช่นนี้ได้!” ระหว่างที่สวี่ชิงงึมงำ ก็มองทิศทางที่ชายกลางคนชุดนักพรตสีม่วงคนนั้นหายไปอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงหันหลังกลับรีบเดินออกมา

เขาสัมผัสได้ถึงความไม่สงบในช่วงกลางคืนแล้ว เวลานี้จึงระเบิดความเร็วทั้งหมดออกมา ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า

ตำแหน่งท่าเรือกับในเมืองนั้นแตกต่างกัน แสงที่นี่มืดยิ่งกว่า แม้จะมีองครักษ์ออกลาดตระเวน แม้จะมีความระแวดระวัง แต่ตอนที่เห็นคนเดินสัญจร พวกเขาก็ยังเลือกหลบเลี่ยง เห็นได้ชัดว่าความระวังตัวของพวกเขา ไม่ใช่เพื่อความเป็นระเบียบ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองถูกคนอื่นทำร้ายต่างหาก

หลังจากเห็นสวี่ชิง พวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน กวาดตามอง ไม่สอบถามอะไรแม้แต่น้อย เดินห่างไปทันที

สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญลาดตระเวนที่เดินห่างไปเหล่านั้นอย่างระมัดระวังก็สงบลง เขาจึงมีความเข้าใจอันตรายของเจ็ดเนตรโลหิตมากขึ้นมาอีกหน่อย

ตอนนี้เขาค่อยๆ เข้าประชิดท่าเรือ ความชื้นของลมทะเลที่นี่ชัดเจนยิ่งขึ้น ระหว่างเสียงคลื่นซัดสาด ก็มองเห็นท่าเรือเจ็ดสิบเก้าที่โค้งเป็นกีบม้า น้ำทะเลคลอนไหวพัดกระทบกับขอบฝั่งด้านในอยู่ตลอดเวลา

เรือที่อยู่ในนี้ส่วนใหญ่เว้นห่างกันอยู่ระดับหนึ่ง เหมือนมีการระมัดระวังกันและกัน ความเล็กใหญ่ของพวกมันก็ใกล้เคียงกัน แต่รายละเอียดรูปร่างแตกต่างกัน มีมากถึงสองร้อยกว่าลำ เมื่อมองอย่างละเอียด ลักษณะพื้นฐานก็เหมือนกับเรืออูเผิงในขวดของสวี่ชิงนั่นเอง

แต่อ่าวที่เจ็ดสิบเก้านี้ใหญ่เกินไป การเข้าจอดของเรือเหล่านี้กินพื้นที่ไปยังไม่ถึงสองส่วนเลย

ถึงแม้ด้านในจะมีไฟสว่างอยู่ แต่กลับเงียบสงบมาก มองไม่เห็นเงาของศิษย์ออกมาเลย เหมือนบอกกับทุกคนว่า การมาถึงยามราตรีคือช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังตัวมากที่สุด

ขณะเดียวกันสวี่ชิงเองก็พบว่าพลังวิญญาณที่นี่เข้มข้นมาก ไอพลังประหลาดก็เช่นกัน น่าจะแผ่เข้ามาจากมหาสมุทร

และน้ำทะเลสีดำบดบังสายตาเอาไว้ ทำให้คนมองไม่เห็นว่าใต้ท้องทะเลมีอะไรอยู่

ความไม่รู้เช่นนี้ ทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยในขณะเดียวกัน เหมือนว่าใต้ท้องทะเลมีอันตรายที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ สวี่ชิงมองเพียงผาดเดียวก็รู้สึกขนลึกชูชันขึ้นทั้งตัว ความรู้สึกเหมือนพื้นที่ต้องห้าม

“ฝึกบำเพ็ญที่นี่ จะต้องยกระดับได้ไวแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังฝึกฝนลับคมได้ตลอดเวลาอีกด้วย…” สวี่ชิงงึมงำ รีบเดินหาหมายเลขสามสิบสาม

ตำแหน่งนั้นลาดเอียงอยู่บ้าง รอบข้างว่างเปล่า มีเรือไม่มาก

พอถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็สังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง หลังจากยืนยันว่าปลอดภัยแล้ว เขาก็ล้วงขวดเล็กในกล่องผ้าไหมออกมา เปิดมันออก ในขวดเล็กก็เปล่งแสง ด้านในมีเรืออูเผิงลอยออกมา ร่วงลงไปบนผิวน้ำแล้วขยายตัวขึ้นเอง

เสียงหล่นบนทะเลดังตูม หลังจากก่อเกิดกระแสวน สิ่งที่สะท้อนตรงหน้าสวี่ชิงก็คือเรือกว้างหนึ่งจั้งยาวสามจั้งลำหนึ่ง

สีดำสนิททั้งลำ กระดานเรือทุกแผ่นล้วนสลักอักขระเอาไว้มากมาย ขณะที่เปล่งแสงสีดำออกมา ก็แผ่ซ่านคลื่นพลังวิญญาณออกมาด้วย ดูไม่ธรรมดาเลย

วัสดุของตัวเรืออูเผิงก็เหมือนเป็นหนังของสัตว์ประหลาด แผ่นเกล็ดชัดเจน ดูแข็งแรงมาก และตำแหน่งของหัวเรือก็ยังมีรูปสลักอยู่ด้วย

รูปสลักเป็นศีรษะจระเข้ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ปากอ้ากว้างเผยให้เห็นฟันที่แหลมคม แผ่ความดุร้ายและความโหดเหี้ยมที่แรงกล้าออกมาในขณะเดียวกัน

มองไกลๆ เรือลำนี้ราวกับเป็นจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งที่ลอยอยู่ในทะเล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท