ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 126 สามคนพบกันใหม่อีกครั้ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 126 สามคนพบกันใหม่อีกครั้ง

ในโลกใต้ทะเลเกาะจวีอิง สวี่ชิงแค่ขยับความเจ็บปวดก็โจมตีมาทั่วทั้งร่าง บาดแผลที่ขาทั้งสองข้าง แขนทั้งสองข้างและที่ท้องก็ปริแตกออกเล็กน้อยจากการที่มันสมานตัวแล้วในเสี้ยวพริบตานี้ทันที เลือดทะลักออกมาอีกครั้งอาบย้อมชุดนักพรตที่โทรมแหว่งวิ่นอีกหน

แม้รอบตัวเขาจะมีพลังวิญญาณคุ้มกันทำให้น้ำทะเลไม่สัมผัสแผล แต่ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นจากการขยับครั้งนี้

และการบาดเจ็บครั้งนี้ของสวี่ชิงหนักหนาสาหัสมาก ต่อให้เป็นผลึกวารีสีม่วงก็ไม่สามารถทำให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้รอบๆ ปราณหมอกโหมทะลัก คืบคลานมาจากทั่วทุกทิศ สวี่ชิงสามารถเมินเฉยต่อไอพลังประหลาดในนั้นได้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงพิษศพที่เข้มข้นในหมอกนี้

เขารู้สึกว่าด้วยสภาพของตัวเองในตอนนี้ เมื่อเจอกับพิษศพจะทำให้ผลึกวารีสีม่วงแบ่งพลังฟื้นฟูออกมาชำระล้าง ไม่ดีต่อการสมานแผล

นอกจากนั้นเขายังเห็นว่าในปราณหมอกมีศพจำนวนหนึ่งกำลังคลานอยู่บนพื้นเหมือนว่าฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกด้วย พวกมันส่งเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า วิ่งทะยานอยู่ในหมอก

หากถูกหมอกเข้าปกคลุมจะต้องเกิดวิกฤตความเป็นความตายแน่นอน

‘ต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด’ สวี่ชิงดึงสายตากลับมา กัดฟันทนกับความเจ็บปวดรุนแรงที่ปะทุขึ้นมา เร่งความเร็วตะบึงไปข้างหน้า

การเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งซีดขาว แต่ตอนนี้สวี่ชิงไร้หนทาง จึงทำได้แค่ฝืนเมินความเจ็บปวด วิ่งไปยังทางออกที่อยู่ข้างหน้า ยิ่งใช้ยันต์บินทะยานท่ามกลางปราณหมอกที่ลอยอวลนี้

เพียงแต่กายเนื้อของเขาบาดเจ็บสาหัส พลังวิญญาณก็แทบจะแห้งเหือดไปหมดแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเก็บทักษะโจมตีเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงทำได้แค่ใช้ยันต์บินทะยาน ไม่สามารถใช้พลังบำเพ็ญไปเพิ่มให้เร็วขึ้นได้

เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ในที่สุดสวี่ชิงก็พุ่งออกมาจากบริเวณหมู่ศาลเจ้าได้

กวาดตามองไปรอบๆ นอกพื้นที่ปราณหมอกบางเบากว้างโล่ง มีเพียงปราณหมอกจากที่ไกลๆ กัดกิน ประชิดเข้ามาใกล้ไม่หยุด ศาลเจ้าและสิ่งก่อสร้างปะการังทุกแห่งถูกมันกลืนกินในพริบตา ทุกสิ่งที่มันพาดผ่านถูกสีดำย้อมหมด

ที่นี่เดิมคนก็น้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเสียงคำรามสะท้อนก้องจากศพที่ฟื้นคืนชีพเหมือนภูตผีปีศาจในปราณหมอกพวกนั้นเท่านั้น

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด สังเกตได้ว่าแม้แต่ทางใต้ทะเลก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เหมือนว่าจะมีปราณหมอกดำที่หนาแน่นกว่าพวยพุ่งมาจากใต้ทะเล ทำให้สวี่ชิงไม่สามารถไปข้างหน้าได้ ดังนั้นแล้วเท้าของเขาจึงเหยียบลงไปบนพื้น ร่างทะยานออกไปอีกครั้ง ยันต์บินทะยานกะพริบวูบวาบ ห้อตะบึงต่อไป

แต่เขาอยู่ห่างจากทางออกไกลเกินไป ดังนั้นหลังจากเคลื่อนไปข้างหน้าได้หนึ่งก้านธูป เขาก็ถูกหมอกห้อมล้อมไว้ข้างในอย่างเลี่ยงไม่ได้จากการลอยตลบอวลของหมอกรอบๆ

แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่หมอกห้อมล้อม เกราะป้องกันพลังวิญญาณของสวี่ชิงก็แผ่ระลอกรุนแรง มันกำลังถูกกัดกินอย่างรวดเร็ว และครรลองสายตาก็ถูกบดบังอย่างรุนแรงไปในชั่วขณะนี้เอง

มีเพียงเสียงคำรามของศพเท่านั้นที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากทั่วทุกสารทิศ

จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงฉายวูบ มือขวายกขึ้นทันที เหล็กแหลมสีดำในมือพลันกรีดไปข้างๆ เสียงคำรามต่ำทุ้มดุร้ายดังอยู่ใกล้ๆ นั่นคือศพที่ฟื้นคืนชีพศพหนึ่ง

ไม่เหมือนกับเผ่าสิงซากสมุทร ศพนี้เมื่อตอนยังมีชีวิตคือลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ตอนนี้ทั่วร่างเป็นสีดำ ดวงตาเองก็เช่นกัน ต่อให้คอถูกเหล็กแหลมกรีดเหวอะ ศีรษะร่วงลงมาแล้ว แต่มือทั้งสองก็ยังคว้ามาทางสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม

สวี่ชิงมือซ้ายประสานปางมือ ทันใดนั้นม่านน้ำก็ปรากฏขึ้นแล้วพลันกางออก

เสียงระเบิดดังสนั่น ศพนั้นสะเทือนจนถอยไปไกลสิบกว่าจั้ง

สวี่ชิงไม่ได้ไล่ตามไปสังหาร ตอนนี้เสียงคำรามรอบๆ มากขึ้นมาเรื่อยๆ สีหน้าของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา มือซ้ายประสานแล้วแตะไปบนพื้น ทันใดนั้นข้างกายเขาก็มีหยดน้ำนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้น แล้วหลอมรวมเป็นอสูรคอยาวบรรพกาลตัวหนึ่งทันที

หลังจากที่ปรากฏตัวขึ้น อสูรคอยาวบรรพกาลตัวนี้ก็ขยายตัวจนมีขนาดร้อยจั้งทันที หลังจากที่ห่อหุ้มสวี่ชิงแล้ว มันคำรามเสียงต่ำ พุ่งไปข้างหน้า

ศพใดก็ตามที่ขวางทางที่มันผ่านล้วนถูกชนกระเด็น

นี่คือไพ่ตายสุดท้ายของสวี่ชิงแล้ว หากอสูรคอยาวบรรพกาลแตกสลายลงอีก เขาที่อยากจะไปจากที่นี่ก็จะยิ่งลำบากขึ้นอีก

ดีที่อสูรคอยาวบรรพกาลมีความเร็วที่น่าตื่นตะลึงมาก กายเนื้อใหญ่โตของมันยิ่งมีพลังปะทะ แม้จะถูกกัดกินหดเล็กลงอยู่ตลอด แต่พลังวิญญาณของสวี่ชิงที่อยู่ในตัวมันมีมากเพียงพอ นี่จึงทำให้อสูรคอยาวบรรพกาลสามารถยืนหยัดพาสวี่ชิงเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วในหมอกนี้ ค่อยๆ เข้าใกล้ทางออกมาเรื่อยๆ

เขาได้พบกับลูกศิษน์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจำนวนหนึ่งตลอดทาง ทุกคนล้วนแต่วิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งสุดกำลัง ต่างฝ่ายต่างเมินซึ่งกันและกัน

เพียงแต่ในตอนที่สวี่ชิงเข้าไปใกล้บริเวณใกล้กับทางออก เนื่องจากผู้บำเพ็ญที่ตายมีมากมายมหาศาลนัก ดังนั้นยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ทางออก เขาก็สัมผัสได้ถึงเสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังมาจากข้างหน้า

ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่หนีมาถึงที่นี่ก็ถูกคลื่นศพขวางเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด มือทั้งสองประสานปางมือแล้วพลันคว้าออกไป

ทันใดนั้นอสูรคอยาวบรรพกาลของเขาก็ย่อเล็กลงทันทีเหมือนแห้งเหี่ยวไป พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นทะลักกลับเข้ามาในร่างเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังวิญญาณที่แห้งเหือดในกายได้รับการเติมกลับมา

เพียงแต่ทำแบบนี้จะทำให้อสูรคอยาวบรรพกาลหายไปจากที่นี่

แต่ตอนนี้สวี่ชิงไปสนใจอะไรมากมายไม่ได้แล้ว พลังวิญญาณในตัวเขาก็ฟื้นคืนกลับมากว่าครึ่งจากการหายไปของอสูรคอยาวบรรพกาล แม้กายเนื้อจะยังสาหัส แต่กำลังรบก็กลับมาแล้วเล็กน้อย

ในขณะที่ประสานมือ หยดน้ำแต่ละหยดๆ ก็ลอยขึ้นรอบตัวสวี่ชิง แล้วหมุนวนรอบตัวเขา ร่างพลันทะยานออกไป ก้าวข้ามคลื่นศพ เมื่อถูกขัดขวางในระหว่างนั้น หยดน้ำรอบกายเขาก็จะแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง ห่อหุ้มอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงออกไป

สวี่ชิงบินออกไปเช่นนี้ ทุกที่ที่ผ่านทุกศพต่างถูกหยดน้ำของเขาห่อหุ้มกลายเป็นก้อนน้ำไม่สามารถก่อกวนให้เขาได้ จนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดสวี่ชิงก็เห็นทางออก

กำลังจะกระโดดไป แต่ในตอนนี้เอง สวี่ชิงก็พลันหันหน้าไปเห็นเงาร่างอีกเงาหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาอย่างบ้าคลั่ง

ในขณะที่วิ่งไปด้วยคนๆ นี้ยังโยนกลไกที่แค่สัมผัสก็ระเบิดออกไปรอบๆ อีกด้วย ในขณะเดียวกับที่เสียงระเบิดดังสะท้อนกึกก้อง เจ้าคนที่แบกอยู่ที่หลังก็ส่งเสียงที่คุ้นเคยออกมา

“จางซานสู้ๆ ใช่ โยนแบบนี้แหละ ระเบิดพวกมันให้ตาย โอ๊ย ทางที่เจ้าโยนไปไม่ถูก เจ้าต้องโยนไปทางนั้นสิ”

คนที่วิ่งอยู่คือจางซาน คนที่พูดคือนายกอง

จางซานกระหืดกระหอบ เหมือนทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ วิ่งอย่างบ้าคลั่ง ส่วนนายกองที่เขาแบกอยู่นั้นเหมือนจะไม่สนใจบรรยากาศของที่นี่ วิพากย์วิจารณ์ท่ามกลางเสียงหัวเราะไม่หยุด

“หุบปาก!” จางซานโมโหแล้ว

“เอ๋ จางซาน ทำไมเจ้าถึงได้พูดกับนายกองคนเก่าของเจ้าแบบนี้!” นายกองไม่พอใจ หยิบผิงกั่วออกมาแล้วกัดกินคำหนึ่ง

“หากพูดอีกข้าจะโยนเจ้าทิ้งแล้วหนีคนเดียว”

“พี่ซานสู้ๆ!”

สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย มองจางซานที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและนายกองที่ไม่มีครึ่งท่อนล่างบนหลังของเขา ในใจก็ได้รู้ถึงความบ้าระห่ำของนายกองอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันนี้จางซานก็มองมาทางสวี่ชิงเช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาวาววาบขึ้นมาทันที โยนเส้นไหมเส้นหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว พันรอบตัวสวี่ชิงเอาไว้ ยืมแรงกระโดดเข้ามาใกล้ในพริบตา

“เอ๋ รองนายกองสวี่ เจ้าไปทำเรื่องใหญ่อะไรมาถึงได้ทำตัวเองอยู่ในสภาพนี้ อ่อนแรงขนาดนั้นเลย หรือเจ้าจะเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงเผ่าเงือกถูกเค้นจนแห้งเลยรึ”

นายกองก็เห็นสวี่ชิงแล้วเหมือนกัน หลังจากที่สังเกตเห็นบาดแผลทั่วร่างและชุดนักพรตที่ขาดวิ่น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

“จะงอกออกมาได้อีกหรือ” สวี่ชิงไม่ตอบรับ แต่กวาดตามองครึ่งท่อนล่างของนายกองแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงนิ่งสงบ

“ไม่มีปัญหา นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน กลับไปข้าก็กระโดดโลดเต้นได้แล้ว” นายกองพูดอย่างภาคภูมิ

“อืม เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะให้ขนนกท่านอันหนึ่ง” สวี่ชิงพูดเสียงราบเรียบ

“ขนนก ขนนกอะไรหรือ” นายกองอึ้งตะลึง

“มัวคุยอะไรอยู่เล่า รีบหนีสิ” จางซานอยู่ข้างๆ ร้อนใจแล้ว เขารู้สึกว่าสวี่ชิงกับนายกองแปลกประหลาดนัก ตอนนี้ที่นี่อันตรายขนาดนี้ ทั้งสองคนยังคุยเล่นกันอีก

สวี่ชิงดึงสายตาที่มองไปยังนายกองที่มีร่างครึ่งเดียว เพียงไหวตัววูบก็จากไปไกล จางซานรีบโยนเส้นไหมออกไปพัน ยืมแรงวิ่งตะบึง พวกเขาที่มีสองคนกับครึ่งร่างก็เข้าใกล้ไปยังทางออกเช่นนี้เอง เสี้ยวพริบตาต่อมาก็มุดเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไป

ไม่นานนัก ปราณหมอกดำรอบๆ ก็กลืนกินที่นี่จนมิด

โลกใต้ทะเลทั้งใบถูกปราณหมอกปกคลุมโดยสมบูรณ์ แต่การโหมทะลักของปราณหมอกยังไม่จบ มันปะทุมาตามพื้นเกาะ ตามทางเดิน ตามตำแหน่งทุกตำแหน่งมาบนเกาะต่อ

ในเส้นทางระหว่างใต้ทะเลกับเกาะ สวี่ชิงเร็วจี๋ พิษของที่นี่ตอนนี้สลายไปพอสมควรแล้ว สวี่ชิงไม่รู้เหมือนกันว่ามันสลายไปเอง หรือกระจายไปที่อื่นแล้ว

เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป ร่างของเขาก็แหวกผิวน้ำดังซ่าขึ้นมา ในเสี้ยวพริบตาที่ทะยานตัวขึ้น ยันต์บินทะยานบนร่างเขาก็ปะทุเต็มแรง แปรเปลี่ยนร่างเขาให้กลายเป็นรุ้งสายยาวทะยานไปข้างบน

จางซานเองก็เช่นกัน หลังจากหยิบเอายันต์บินทะยานออกมาก็ตามติดอยู่ข้างหลัง มีเพียงเสียงของนายกองเท่านั้นที่ยังคงแฝงไว้ด้วยแปลกใจ ดังมาไม่หยุด

“สวี่ชิง ให้ขนนกหมายความว่าอย่างไร”

สวี่ชิงไม่ตอบ

“รองนายกองสวี่ เจ้ายังติดหินวิญญาณข้าอีกแปดพันก้อนนะ ขนนกหมายถึงอะไร”

สวี่ชิงไม่แม้แต่จะปรายตามอง ตอนนี้พุ่งออกไปจากเส้นทางอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เหยียบไปยังโลกภายนอกแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงลมบ้าคลั่งที่ปะทะหน้ามา จึงรีบมองไปรอบๆ ทันที สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด

จางซานเองก็เช่นกัน หลังจากที่พุ่งออกมาสังเกตเห็นรอบๆ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

โลกภายนอกตอนนี้ปั่นป่วนวุ่นวาย ลมคลั่งพัดโหม

หมอกควันแต่ละทางๆ หมุนวนย้อนขึ้นไปเชื่อมกับค่ายกลบนท้องฟ้า เหมือนมังกรดูดน้ำ กวาดตามองไปก็เห็นทุกเกาะมีสองสาย รวมๆ มีถึงแปดสาย

บนพื้นยังมีปราณหมอกสีดำแปรเปลี่ยนเป็นเส้นไหมจำนวนมหาศาลผสานไปในพวยหมอกที่เหมือนมังกรแปดตัวดูดน้ำไม่หยุด ทำให้ยิ่งดูน่าพรั่นพรึงขึ้นไปอีก กระทั่งว่าตอนที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนมองไป พวยหมอกสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว

ปลายสุดข้างบนแยกออก รอยแยกนี้แปรเปลี่ยนเป็นหัวงู ทั้งหมดมีเก้าหัว ตอนนี้หลังจากที่มันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก็ส่งเสียงคำรามเสียงสะเทือนแก้วหูแทบแตกออกมายังพื้นดิน

เสียงคำรามนี้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ผืนดินสั่นไหว

เหมือนว่าในตัวมันมีไอพลังประหลาดและพิษศพมหาศาล ตอนนี้กำลังระบายออกมาจากการคำราม ส่วนพลังบำเพ็ญและกำลังรบของมันก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าทำลายค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิตได้แล้ว เพียงพริบตาก็ไต่ไปถึงระดับหลอมตันเถียน กระทั่งว่ายังไต่ขึ้นไปอีก

พลังกดดันที่เกิดขึ้นจากภาพนี้ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นไหว เขาจำงูยักษ์ตัวนี้ได้ มันคืองูยักษ์ที่พันรอบยักษ์ที่เขาเห็นบนภาพวาดฝาผนัง

ในเวลาเดียวกัน พวยหมอกเจ็ดสายที่เหลือตอนนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ต่างทยอยแปลงเป็นงูยักษ์ ไอพลังประหลาดในเกาะเงือกทั้งสี่เกาะรุนแรงเป็นอย่างยิ่งตามการกรีดคำรามของพวกมัน

ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเงือกที่เหลือรอดหรือจะเป็นลูกศิษย์เจ็ดเนตรโลหิต ตอนนี้ต่างถูกโจมตีอย่างรวดเร็ว

ศพแต่ละศพลืมตาขึ้น ต่างฟื้นคืนชีพขึ้นมา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท