บทที่ 136 ชุดนักพรตม่วงคลุมตัว
ประโยคนี้ราวสายอัสนีบาตดังสะท้อนก้องอยู่ข้างหูสวี่ชิง ทำจิตวิญญาณของเขาเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาบางส่วน แต่สีหน้าสวี่ชิงก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก
“ขอรับ”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ตะเกียงดับวิญญาณของเผ่าเงือกแม้มูลค่าจะสูง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เคยมีใครได้จับต้องมาก่อน การลงมือครั้งนั้นของสวี่ชิงค่อนข้างเงียบเชียบ แต่ความเป็นจริง หากคิดจะตรวจสอบคงหาเบาะแสได้มากมายอยู่
การพูดโกหกในเรื่องนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่จำเป็น กลับรู้สึกว่ายิ่งปิดก็ยิ่งทำให้เรื่องราวเด่นชัดขึ้นด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับมัน” นายท่านสามมองสวี่ชิงแล้วถามขึ้นเรียบๆ
“ขายทิ้ง”
สวี่ชิงตอบอย่างไม่ต้องคิด เงยหน้ามองนายท่านสาม
นายท่านสามตอนนี้นั่งอยู่หัวโต๊ะ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาบิดเบี้ยวบริเวณรอบๆ จนทำให้ทั้งตำหนักใหญ่ตกอยู่ในแรงกดดัน จากการสะท้อนก้องในคำพูดของเขาเมื่อครู่ ความรู้สึกกดดันนี้ก็รุนแรงมากขึ้น
กระทั่งความรู้สึกเสียดแทงในดวงตานั้นยังปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าในความรู้สึกของสวี่ชิงกลับดีกว่าครั้งที่แล้วมากพอควร
ต้องรู้ด้วยว่าครั้งที่แล้ว แค่เงยหน้าเขายังต้องออกแรงมหาศาล พอเหลือบมอง ตาทั้งสองก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง
พอนายท่านสามได้ยิน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา เหมือนจะพึงพอใจที่สวี่ชิงไม่ปิดบัง ก็เลยพูดต่อว่า
“สวี่ชิง ข้าจะพูดตรงๆ เลย ข้าชอบในตัวเจ้า ตะเกียงดับวิญญาณในเมื่อเจ้าได้ไปแล้ว ข้าก็ไม่ต้องการมันอีก ตะเกียงดวงนั้นข้าไม่ได้ต้องตามัน
“แต่ว่าข้าเตือนเจ้าหน่อย ถ้าจะขายก็รีบขายเสีย ไม่เช่นนั้นสุดท้ายก็จะมีคนที่โหยหามัน ข้ายังรู้ได้ว่าเจ้าได้มา คนอื่นถ้าอยากรู้ก็คงไม่ยากนัก”
“ตอนนี้ เจ้าส่งป้ายฐานะมาให้ข้า”
สวี่ชิงหลุบตาลง ล้วงป้ายฐานะออกมา
นายท่านสามโบกมือขวา หลังจากป้ายฐานะนี้ลอยเข้าไปในมือแล้วจึงตบลงเบาๆ ก็สั่นระริกเปล่งแสงทันใด เมื่อข้อมูลด้านในถูกปรับแต่งก็มีคลื่นค่ายกลเข้ามาเหมือนจับมันประทับตรา
ครู่ต่อมา แสงจากป้ายฐานะสลายไป หลังจากกลับเป็นปกติ นายท่านสามก็โยนไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงยกมือรับ และเตรียมตัวแบกรับแรงมหาศาลบนนั้นแล้ว ถึงอย่างไรวันนั้นที่พบกับเจ้ากรมที่กรมปราบพิฆาตก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว
แต่จากการที่เขารับป้ายฐานะเอาไว้ กลับไม่มีพลังอะไรเลย เหมือนกับว่าแรงสลายหายไปเองอย่างสมบูรณ์ในพริบตาที่เขาสัมผัสมัน
ภาพนี้ทำให้ม่านตาสวี่ชิงหดลง เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของทั้งสองฝั่ง
ต้องรู้ด้วยว่าการปล่อยพลังออกภายนอกเป็นเรื่องง่าย แต่การจะควบคุมโดยไม่ให้เล็ดลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ต่างหากจึงเป็นเรื่องยาก
“เจ้าไปได้แล้ว” นายท่านสามหลับตาลง
สวี่ชิงประสานมือคารวะแล้วออกมา แต่ตอนที่เขาเดินออกจากตำหนักใหญ่ เสียงของนายท่านสามก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“จงเหิงเจ้าเด็กนั่น นิสัยไม่ได้เลวร้ายนัก”
“ศิษย์ทราบแล้ว” สวี่ชิงหมุนตัวคารวะ เดินออกจากตำหนักใหญ่ ในใจเข้าใจเป็นอย่างดีว่าที่ตนเองมาเมื่อครั้งนั้นอีกฝ่ายไม่พูดประโยคนี้ แต่เป็นผู้ดูแลหลี่ที่พูด ก็เพราะสถานะตนเองยังไม่เพียงพอนั่นเอง
แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว
ผู้ดูแลหลี่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าให้เมื่อสวี่ชิงเดินออกมา หลับตาไม่พูดอะไร สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังจางอวิ๋นซื่อที่อยู่ไกลๆ เดินตรงไปหาเขา
จางอวิ๋นซื่อยิ้มๆ เวลาถัดจากนี้ก็พาสวี่ชิงไปรับชุดนักพรต ขณะเดียวกันสวี่ชิงเองก็เลือกถ้ำพำนักไว้แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้ำพำนักส่วนใหญ่ล้วนถูกเลือกไว้หมดแล้ว จุดที่เขาเลือกค่อนข้างห่างไกลหน่อย
แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย ส่วนเรื่องราคาเองก็ไม่ได้แพงขนาดที่จินตนาการไว้
สุดท้ายสวี่ชิงก็ไปยังโถงตำราจากการแนะนำและชี้แนะของจางอวิ๋นซื่อ และแลกวิชาผู้บำเพ็ญสร้างฐานมาจากที่นั่น นอกเหนือจากนี้ เขายังแลกวิชาฝึกกายาบางส่วนมาอีกด้วย
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จก็เย็นย่ำมากแล้ว จางอวิ๋นซื่อส่งสวี่ชิงหน้าถ้ำพำนักที่เขาเลือกไว้ จากนั้นจึงประสานหมัดขอตัว ก่อนจากไปเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องสวี่ สาเหตุที่ข้าอยู่เป็นเพื่อนด้วยวันนี้ เรื่องแรกคือรู้สึกว่ามีวาสนากับตัวเจ้า ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือภารกิจการขึ้นเขาของศิษย์ในเดือนนี้ข้าเป็นคนรับไว้ และข้าจะได้รับรางวัลจากสำนักเพราะเรื่องนี้ด้วย
“ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเหตุใดข้าจึงกระตือรือร้นมีไมตรีจิตเสียขนาดนี้ แต่เอาจริงๆ ก็ถือเป็นวาสนาของข้ากับเจ้าอยู่เช่นกัน หลังจากนี้ถ้าพบกันในทะเลก็หวังว่าเราจะดูแลกันและกันนะ
“สุดท้าย ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าขอเตือนเจ้าคำหนึ่งด้วยความเป็นมิตร เมื่อเข้าสู่สร้างฐานแบบข้าแล้ว จะต้องรีบเปิดช่องเวทสามสิบช่องให้ไวที่สุด สร้างไฟชีวิต เพื่อครอบครองสภาวะแสงนภา
“เจ้าต้องรู้ว่าพลังฝึกบำเพ็ญระหว่างการมีและไม่มีสภาวะแสงนภานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เข้าสู่สร้างฐานอย่างยากลำบาก หากไม่รีบสร้างไฟชีวิตจะขาดทุนมหาศาล มีสร้างฐานหลายคนที่ตายไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ช่วงนี้
“สร้างฐานที่ไม่มีสภาวะแสงนภาก็เหมือนกับได้รังแกระดับรวมปราณอย่างไรอย่างนั้น” จางอวิ๋นซือยิ้มตาหยี พูดจบก็มองมือขวาสวี่ชิง หลังจากที่มองไม่ออกถึงข้อบกพร่อง เขาจึงยิ้มแล้วขอตัวจากไป
สวี่ชิงหรี่ม่านตา ไม่ว่าจะความเข้าใจของเขาหรือว่าจากการเล่าเรื่องของอีกฝ่ายก็ล้วนทำให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของไฟชีวิตระดับสร้างฐานแล้ว
ตอนนี้เขาประสานหมัดคารวะส่งจางอวิ๋นซื่อที่หายลับไปด้วยสายตา
ขณะเดียวกันการระแวดระวังในใจก็เก็บกลับมาจากอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน หันหน้าไปมองยังถ้ำพำนักของตนเอง
จุดที่เขาเลือกอยู่ชิดริมผา ประตูหินถ้ำพำนักสีดำเขียวปิดสนิท รอบด้านล้วนเป็นวัชพืช บนประตูเองก็มีตะไคร่เต็มไปหมด ความชื้นแผ่ปกคลุมตามสายลม
หลังจากตรวจสอบไปพักหนึ่ง สวี่ชิงก็เดินเข้าใกล้ประตูหินล้วงแผ่นหยกควบคุมถ้ำพำนักออกมาถ่ายพลังวิญญาณลงไป ประตูหินถ้ำพำนักก็เปล่งแสงอักขระทันที สวี่ชิงทำตามวิธีที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก ยกมือวางไว้บนอักขระ
เหมือนประทับร่องรอย เมื่อถ้ำพักนักบันทึกรอยประทับของเขาจากแสงจ้าของอักขระ ประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นสิ่งแวดล้อมด้านใน
ถ้ำพำนักนี้ไม่ใหญ่นัก มีห้องเพียงสองห้อง ด้านในไม่ได้มืดสนิท บนเพดานสลักไข่มุกเรืองแสงไว้ แผ่แสงที่อ่อนโยนออกมา เหมือนไม่มีคนใช้งานมานาน เต็มไปด้วยฝุ่น ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
สวี่ชิงโบกมือ มีลมปรากฏขึ้นพัดกวาดพื้น จากนั้นพอตรวจสอบละเอียดแล้วว่าไม่มีปัญหาใด จึงเดินออกมาใหม่อีกครั้ง จัดการวางผงพิษไว้ที่ด้านนอกถ้ำพำนัก
ปริมาณที่เขาวางไว้ครั้งนี้มากพอสมควร เมื่อจัดการพื้นที่ทั้งหมดด้านนอกและกลับเข้ามาในถ้ำพำนักแล้ว ก็สาดลงไปอีกมากมาย สุดท้ายจึงหยิบเอาค่ายกลคุ้มกันที่ซื้อมาเปิดใช้งาน
เมื่อประตูใหญ่ถ้ำพำนักปิดลง และหลังจากที่ค่ายกลของถ้ำพำนักเปิดขึ้น สวี่ชิงจึงผ่อนหายใจยาวโล่งออกมา
เขาที่นั่งอยู่ที่นี่ ย้อนนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดในวันนี้ เกิดความรู้สึกเหมือนวันแรกที่เพิ่งมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นมารางๆ เพียงแต่ตอนนั้นเขาคือระดับรวมปราณ ทว่าตอนนี้เป็นระดับสร้างฐานไปแล้ว
“ในที่สุดก็สร้างฐานเสียที…” สวี่ชิงพึมพำ หลังจากย้อนคิดถึงสิทธิ์อำนาจต่างๆ ของระดับสร้างฐานสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีม่วงที่รับมา ก้มหน้าลงมองเสื้อคลุม ในดวงตาเผยประกายวูบหนึ่งออกมา
บนชุดนักพรตนี้ก็มีค่ายกลอยู่ด้วย มีพลังคุ้มกันอยู่ระดับหนึ่ง แข็งแกร่งมาก เกรงว่าถ้าอยู่ด้านนอกหรือด้านล่างภูเขา เปลี่ยนสีเสียหน่อยคงมีศิษย์มากมายเข้ามาแย่งชิงเป็นแน่
ลูบๆ เสื้อคลุมบนตัวตนเอง สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ ล้วงเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา
แผ่นหยกนี้เป็นหนึ่งในวิชาสร้างฐานของยอดเขาลำดับเจ็ดที่เขาแลกมาจากในโถงตำราวันนี้
มองดูแผ่นหยก สวี่ชิงถ่ายพลังวิญญาณลงไปแล้วเริ่มอ่าน
หลังจากสร้างฐาน เขาก็เข้าใจว่าตนเองต้องรีบฝึกบำเพ็ญวิชาสร้างฐานให้เร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะไม่เสียเวลา และทำให้การฝึกบำเพ็ญของตนเองพัฒนาไปอย่างเช่นที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ด้วย
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปจากการอ่าน เพียงไม่นานด้านนอกก็มีแสงจันทร์แผ่ซ่าน ลอยอยู่เหนือประตูหินถ้ำพำนักของสวี่ชิง มองไกลๆ ดูเหมือนภาพจันทร์สุกสกาวเจิดจ้าบนท้องฟ้า
ทำให้ประตูหินใต้แสงจันทร์นี้ เผยความเป็นบรรพกาลออกมาอย่างเข้มข้น นำพาการข้ามผ่านกาลเวลาอย่างโชกโชนมาด้วย
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นในถ้ำพำนัก สายตาเผยประกายคมกริบออกมา
“คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ”
วิชาสร้างฐานของยอดเขาลำดับเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตก็คือคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ดูจากชื่อก็เผยจิตสังหารอันลึกล้ำออกมา จินตนาการได้เลยว่าวิชานี้จะต้องเอนเอียงค่อนไปทางวิชาชั่วร้ายแน่นอน
แต่ว่านี่ก็สอดคล้องกับการตัดสินใจของสวี่ชิง ถึงอย่างไรชื่อของสำนักก็คือเจ็ดเนตรโลหิต
และคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณนี้ก็ไม่มีแบ่งระดับ วิธีการฝึกบำเพ็ญหลักๆ ที่เน้นคือจะเปิดช่องเวทให้เร็วที่สุดได้อย่างไร มันจะฝึกเอาเปลวไฟที่มีชื่อว่าเพลิงพิฆาตออกมาจากช่องเวทในร่างกายก่อน
ไฟนี้เมื่อผสานเข้ากับกลิ่นอายของทะเลต้องห้ามแล้วประหลาดอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งฝึก เพลิงพิฆาตก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น
เพลิงพิฆาตนี้ด้านหนึ่งสามารถใช้เป็นวิชาจู่โจม และอีกด้านหนึ่งถึงจะเป็นใจความหลักของวิชานี้…กลืนวิญญาณ!
ดึงเอาวิญญาณของศัตรูออกมาใช้เป็นเชื้อเพลิงการเผาไหม้ กระแทกปะทะอย่างรุนแรงในร่างกายเพื่อเปิดช่องเวท วิธีการนี้ดูรุนแรง แต่ก็ตรงไปตรงมา
จากการเขียนบรรยายวิชา ดวงวิญญาณของระดับสร้างฐานคนหนึ่งที่ยังไม่สำเร็จไฟชีวิตก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์ที่ฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณทะลวงเปิดช่องเวทช่องหนึ่งได้แล้ว ถ้าหากเป็นรวมปราณ ก็จำเป็นต้องใช้ระดับร้อยหรือกระทั่งมากกว่าจึงจะได้ผลแบบเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งฝึกไประยะหลังๆ ความต้องการก็จะมากขึ้นตามด้วย
“ไม่ว่าจะอสูรทะเลหรือว่าต่างเผ่าก็กลายเป็นเชื้อฟืนแก่คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณได้ทั้งสิ้น บรรดาต่างเผ่าจะมีประสิทธิผลมากที่สุด โดยเฉพาะเผ่าสิงซากสมุทร เพราะการก่อกำเนิดของพวกเขาข้องเกี่ยวกับวิญญาณ ดังนั้นประสิทธิผลจึงน่าตกตะลึงมาก…” ประโยคนี้ของแผ่นหยกวิชา เผยคาวเลือดออกมาเข้มข้น
วิชานี้เรียบง่ายตรงไปตรงมา ไม่มีจุดโดดเด่นอะไร แต่กลับบ้าคลั่งถึงที่สุด
พอสวี่ชิงอ่านจบก็สูดลมหายใจลึก โดยเฉพาะตอนที่ฝึกคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณถึงท้ายสุด เพลิงพิฆาตไปถึงระดับสูงสุด กักเก็บอยู่ในช่องเวททุกช่อง ถึงตอนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณมาทะลวงช่องเวทก็ยังสามารถดึงเอาวิญญาณของศัตรูเข้ามาสะกดไว้ในช่องเวทของตนเองได้ด้วย
จัดการเผาไหม้ผ่านวันคืน และทำให้พลังเวทของตนเองเข้มข้นยิ่งขึ้น
หรือก็คือศิษย์ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ล้วนเป็นเทพสังหารเดินได้กันหมด
แต่…ก็ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนที่จะเลือกฝึกวิชานี้ วิชาสร้างฐานของยอดเขาลำดับเจ็ดมีอยู่สามแบบ ยังมีอีกแบบหนึ่งที่ชื่อว่าตำราราชันย์สมุทร
วิชานี้ค่อนข้างอ่อนโยน ใช้วิธีจับอสูรทะเลเป็นหลัก จัดการชุบเลี้ยงพวกมันไว้ในช่องเวทด้วยวิธีการพิเศษเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การชุบเลี้ยง แบ่งออกเป็นสิบขั้น ทุกครั้งที่ฝึกบำเพ็ญสามารถเปิดช่องเวทประมาณเจ็ดแปดช่องได้ในพริบตา
จุดสำคัญการฝึกบำเพ็ญ คือจำเป็นต้องคอยไปจับอสูรทะเลมาหลอมต่อเนื่อง
ตอนที่ลงมือเองก็น่าตกตะลึงเช่นกัน เมื่อเปิดช่องเวทออกทั้งร่าง อสูรทะเลแต่ละตัวก็สามารถทำให้ศิษย์ที่ฝึกวิชานี้ มีพลังเวทมหาศาลในร่างกาย
ประเภทแรกคือวิชาที่โหดร้าย ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกบำเพ็ญก็เร็วที่สุด แต่ว่าต้องสังหารมากมาย หากประมาทนิดเดียวก็อาจตายได้
ส่วนประเภทที่สองส่วนใหญ่ใช้อสูรทะเลมาฝึกบำเพ็ญ พลังเวทในร่างกายมีมหาศาลยิ่งกว่า ความสามารถในการป้องกันตนเองก็เพิ่มขึ้น เพียงแต่ว่าพลังต่อสู้อ่อนแอกว่ามาก
ส่วนประเภทที่สาม มีชื่อว่าเคล็ดเลี้ยงชีวัน
วิชานี้อ่อนโยนยิ่งกว่า ไม่ต้องการพลังจากภายนอกมาทะลวง เพียงให้ร่างกายตนเองฝึกบำเพ็ญอย่างต่อเนื่องก็พอ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงอยู่กับการปิดด่าน ความเร็วการฝึกบำเพ็ญเชื่องช้าอย่างที่สุด แต่ข้อดีก็มีมหาศาล พวกเขาถูกสังหารด้านนอกน้อยมาก
เพราะพวกเขาแทบจะไม่ต้องออกไปเลย ขณะเดียวกันตอนที่ลงมือก็มักจะเป็นการร่วมมือและสนับสนุนเป็นหลัก
ตัวเลือกของทุกคนจึงไม่เหมือนกันจากนิสัยที่แตกต่าง
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็ยังไม่สามารถพิจารณาได้ว่าวิชาใดดีกว่ากัน แต่ว่าตำราราชันย์สมุทรที่เป็นทางสายกลางถูกเขาตัดทิ้งเป็นอย่างแรก ส่วนคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณกับเคล็ดเลี้ยงชีวัน สองสิ่งนี้แตกต่างกันคนละขั้ว
ขณะที่สวี่ชิงกำลังขบคิดเรื่องวิชา เหนือทะเลไร้ขอบเขตด้านนอกสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าเงยหน้าคำราม นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่ในหอบนตัวเรือศึกบรรพกาล กำลังมองไปทางสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไกลๆ
เรือศึกบรรพกาลใต้ตัวเขาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตความเป็นเทพ ทุกที่ที่แล่นผ่านมหาสมุทรล้วนส่งเสียงครืนครัน
“นายท่านเจ็ด เด็กน้อยสร้างฐานแล้วขอรับ” ข้างกายนายท่านเจ็ดมีผู้ติดตามกลางคนที่มอบป้ายแนะนำให้สวี่ชิงครั้งนั้นยืนอยู่ เวลานี้เขาหยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาดู เอ่ยเสียงต่ำขึ้นกับนายท่านเจ็ด
“ต้องกลับไปเรียกมาพบสักครั้งหรือไม่” ผู้ติดตามมองไปทางนายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดส่ายหัว
“ไม่ต้อง”
“สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว เรื่องนี้จบศึกแล้วค่อยว่ากัน และในป้ายแนะนำที่ส่งออกไปหนึ่งร้อยชิ้น แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกที่เดินออกมา แต่ด้านหลังจะต้องมีคนอื่นอีก จำเป็นต้องมาเปรียบเทียบกันเสียก่อน
“แล้วก็ เขาในตอนนี้…ยังไม่เพียงพอที่จะกลายเป็นเจ้าสี่”