บทที่ 105 จะไม่ทิ้งกัน
บทที่ 105 จะไม่ทิ้งกัน
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เฮ่อหลานยังคงพบว่ามันน่าเหลือเชื่อไม่หาย
ทักษะการต่อสู้ของจิงเจ้อหรงเก่งมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีจำนวนมากกว่าจริง ๆ เขาคงไม่แพ้แน่ “คุณกินอะไรสักหน่อยก่อนนะคะ พออิ่มท้องแล้วเราจะได้หาทางออกจากที่นี่”
จิงเจ้อหรงพยักหน้าและกินแป้งทอดที่หญิงสาวป้อน
หลังจากจิงเจ้อหรงกินเสร็จ เฮ่อหลานก็กินแป้งทอดอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เธอได้เตรียมอาหารแห้งไว้ก่อนออกมา ไม่เช่นนั้นทั้งสองคงต้องหิวมากแน่
จิงเจ้อหรงมองไปยังร่างกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเฮ่อหลาน และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณเฮ่อ คุณควรไปจากที่นี่ทันทีที่มีโอกาส ให้ผมอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอครับ”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะคะ?”
ถึงจิงเจ้อหรงจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ยังบาดเจ็บ แล้วจะให้เธอทิ้งเขาไว้คนเดียวได้ยังไง “เราจะไปด้วยกันค่ะ ฉันจะไม่ทิ้งคุณเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของเฮ่อหลาน จิงเจ้อหรงมองหน้าเธอด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก
เฮ่อหลานไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เธอกำลังค้นกระเป๋าสัมภาระหาผ้าสะอาดเพื่อพันแผลให้จิงเจ้อหรง และก็ไปเห็นขวดลายครามขนาดเล็กที่ถังซวงให้ไว้ก่อนมา “ฉันมีสิ่งนี้ด้วยนี่นา” ขณะที่พูด เธอขยับเข้าไปใกล้จิงเจ้อหรงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณจิง คุณทานยาก่อนนะคะ”
เฮ่อหลานเทยาออกจากขวดแล้วยื่นไปที่ตรงปากของจิงเจ้อหรง
จิงเจ้อหรงจ้องมองไปที่ดวงตาสดใสของเฮ่อหลาน จากนั้นไม่ได้ถามคำถามใด ๆ อีก เพียงแค่ก้มศีรษะลงและจับมือเฮ่อหลานกรอกยาเข้าปากตัวเอง เม็ดยาเข้ามาในปาก และเขากลืนมันก่อนที่จะลิ้มรส
“ฉัน… ฉันจะพันแผลให้คุณนะ”
เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือที่เปียกชื้น และเฮ่อหลานก็ตระหนักได้ว่าเขาสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป เธอจึงรีบถอนมือออกและหยิบขวดยาอีกอันออกมา พร้อมผ้าสะอาด
เมื่อเห็นเฮ่อหลานดึงมือออก ดวงตาของจิงเจ้อหรงก็เป็นประกาย เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “รบกวนคุณเฮ่อด้วยนะครับ”
เฮ่อหลานสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามขจัดความคิดยุ่งเหยิงในหัวพร้อมกับพันผ้าพันแผลให้จิงเจ้อหรงอย่างรวดเร็ว เธอโรยผงยาในขวดลงบนแผลอย่างระมัดระวัง แล้วใช้มือทาเบา ๆ มองไปที่จิงเจ้อหรงอย่างกระวนกระวายและถามว่า “คุณจิงเจ็บไหมคะ?”
เธอถามพร้อมดูบาดแผลน่ากลัวบนแขนของจิงเจ้อหรง เธอเริ่มกังวลว่าหากไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา บาดแผลลึกเช่นนี้จะแย่ลงไปอีกแน่ “อดทนไว้นะคะ ซวงเอ๋อร์บอกว่าผงนี้สามารถห้ามเลือด และยังรักษาบาดแผลได้ คุณต้องไม่เป็นไรมากแน่ค่ะ” ขณะที่พูด เธอก็โรยผงยาอีก และเริ่มพันผ้าพันแผลอย่างระมัดระวัง
จิงเจ้อหรงมองไปยังเฮ่อหลานที่ประหม่าก็ยิ้มและส่ายหัว “ผมไม่เจ็บเลยครับ”
มันไม่เจ็บเลยจริง ๆ แค่รู้สึกคันเล็กน้อย เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้ เขาแค่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงไม่เจ็บมาก หลังจากพันผ้าพันแผลเสร็จ เธอก็หยิบเสื้อผ้าอีกผืนออกมาคลุมร่างของจิงเจ้อหรง “พักก่อนนะคะ ฉันจะลองไปข้างนอกเพื่อดูสถานการณ์ซะหน่อย” เธอจะออกไปดูว่ามีใครกำลังตามหาพวกเขาหรือไม่ ถ้าไม่เธอคงต้องช่วยจิงเจ้อหรงออกจากที่นี่เสียเอง
จิงเจ้อหรงรีบจับมือเฮ่อหลานไว้ด้วยมืออีกข้างและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ระวังตัวด้วย”
“ค่ะ ฉันจะระวัง”
เฮ่อหลานพยักหน้า จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับตัวออกไป
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ถังซวงคิดจะติดต่อจิงเจ้อหรง เธอก็พบว่าไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของโม่เจ๋อหยวนก็ดูไม่ดีนัก “เกิดอะไรขึ้นกับคุณจิงกัน? ทำไมทุกคนที่มาเมืองซูถึงหายไปกันหมด?”
ไม่นาน พานฮั่วก็เข้ามา
“เสี่ยวโม่ เสี่ยวถัง เดี๋ยวคนของฉันจะออกไปตามหาคุณจิงเจ้อหรงเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เจ๋อหยวนพยักหน้า “ลุงพาน ควรส่งคนไปหาเขาทันทีเลยครับ อ่อ แล้วงานที่คุณจิงมาเข้าร่วมไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?” ตำแหน่งของพานฮั่วในเมืองซูนั้นไม่ธรรมดา และการที่จิงเจ้อหรงมาที่เมืองซูในครั้งนี้ เขากลับไม่รู้ข่าวนี้เลย เพราะงั้นเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
“ไม่ต้องห่วง ฉันส่งคนไปจัดการแล้ว”
“ดีแล้วครับลุงพาน”
พานฮั่วพยักหน้า จากนั้นมองไปที่ถังซวงอย่างรู้สึกผิด “สหายถัง ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะลุงพาน ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอบคุณ”
เมื่อพานฮั่วได้ยินสิ่งนี้ เขารู้สึกผิดเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เขาจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องที่นั่นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงรีบจากไป
“ซวงเอ๋อร์ เราต้องพบป้าหลานแน่นอน ไม่ต้องห่วง แม้ว่าลุงพานมีบางอย่างที่ต้องทำ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมีคนมากมายที่นี่”
ถังซวงไม่ได้พูดอะไร แต่ดึงแขนเสื้อของโม่เจ๋อหยวนอย่างเงียบ ๆ และมองไปทางด้านซ้ายอย่างตกตะลึง
โม่เจ๋อหยวนสังเกตเห็นทันทีว่ามีคนสองคนมองมาทางด้านนี้แล้วทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จากความเย็นชาในดวงตาของพวกเขานั้นกลับชัดเจน เมื่อเห็นสิ่งนี้ โม่เจ๋อหยวนก็เขยิบเข้าไปใกล้ถังซวง และกระซิบว่า “ซวงเอ๋อร์ ค่อย ๆ ไปช้า ๆ นะ”
ถังซวงก็มีความตั้งใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงบีบมือของโม่เจ๋อหยวนทันที และกลัวว่าการพยักหน้าของเธอจะชัดเจนเกินไปจนคนสองคนนั้นรู้ตัว
ทั้งสองยังคงเดินทำเป็นไม่รู้ตัวต่อไป ราวกับว่าพวกเขากำลังมองหาเบาะแสอยู่ แต่กลับเดินเข้าไปใกล้คนที่จับตาดูพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ และเมื่อชายทั้งสองตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนก็ได้พุ่งเข้าใส่พร้อมกันแล้ว และชายทั้งสองก็ถูกทั้งคู่จับไว้ได้
“อ๊ากก…”
ทั้งสองพยายามดิ้นรน แต่ก็พบว่าพวกเขาไม่สามารถทำได้
คนรอบข้างตกใจต่างตกใจกับภาพตรงหน้า และมองมาอย่างสงสัย
โม่เจ๋อหยวนส่งสัญญาณให้คนของพานฮั่ว และให้พวกเข้ามาควบคุมสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อย “ทุกคน ระวังด้วยครับ สองคนนี้เป็นหัวขโมย พวกเขาพยายามจะขโมยของจากเรา แต่ตอนนี้พวกเขาถูกจับได้แล้ว เพราะงั้นตรวจสอบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองด้วยนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนรอบข้างก็ตรวจสอบกระเป๋าเงินของพวกเขาทันที
ทั้งสองคนต้องการที่จะโต้เถียงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนรีบปิดปากทั้งคู่อย่างรวดเร็วและพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น
“ทุกคน ระวังตัวด้วย ตอนนี้พวกหัวขโมยออกอาละวาดมากเกินไป เราจะส่งคนพวกนี้ไปที่คุก”
หลังจากที่ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนนำสองคนนั้นออกไปแล้ว พวกเขาก็สอบปากคำทันที
“พวกแกเป็นใคร?”
ชายทั้งสองไม่ตอบอะไร แล้วถามกลับว่า “พวกแกล่ะเป็นใคร จับพวกเรามาทำไม ฉันบอกไว้เลยนะว่าให้ปล่อยเราไปซะ ไม่งั้นจบไม่สวยแน่”
ถังซวงหัวเราะด้วยความโกรธ “ปากแกนี่แข็งจริง ๆ นะ”
ระหว่างที่ทั้งสองมองไปยังสาวน้อยที่หน้าตาดีตรงหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย และความเจ็บปวดนั้นก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันทะลุเข้าไปในไขกระดูก
“อ๊ากกกก…!”
ทั้งสองทนไม่ได้และกรีดร้องออกมาในทันที
พานฮั่วและคนอื่น ๆ ต่างก็มองชายทั้งสองคนโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ถังซวงยังคงถามด้วยเสียงทุ้มต่อไปว่า “บอกฉันมา ที่แม่ฉันหายตัวไปเกี่ยวข้องกับพวกแกหรือเปล่า?”