บทที่ 187 จบไม่ดี
บทที่ 187 จบไม่ดี
หลังจากที่ถังซวงเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เธอเดินออกไปพร้อมกับถังเซวี่ย
เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องมาถึงแล้ว ผู้อาวุโสสองคนของตระกูลเฮ่อรีบโบกไม้โบกมือทันที “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย สวัสดีปีใหม่จ้ะ” ขณะพูดอย่างนั้น พวกเขาหยิบซองแดงสองซองออกมาแล้วยัดใส่มือของถังซวงและถังเซวี่ย
“คุณตา คุณยาย สวัสดีปีใหม่ค่ะ”
ถังซวงและถังเซวี่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ทั้งสองไม่ยอมรับซองแดงเลยผลักมันกลับไป ซองแดงสองซองนี้นูนออกจนแทบจะปริ อีกทั้งมันยังมีโฉนดที่ดินภายในซองด้วย เธอจึงไม่สามารถรับไว้ได้
ผู้เฒ่าเฮ่อมองทั้งสองแล้วถามว่า “ทำไมหรือ หรือเธอสองคนไม่ชอบซองแดงของพวกเรา”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณลุง แต่ซองแดงของคุณตามันมากเกินไป พวกเรารับไว้ไม่ได้ค่ะ”
ผู้เฒ่าเฮ่อก็ยังพยายามยัดซองแดงกลับแล้วพูดว่า “ห้ามปฏิเสธของขวัญจากผู้ใหญ่นะ รีบรับมันไปเร็วเข้า แขกกำลังจะมาแล้ว เราจะมามัวยืนผลักกันไปมาอย่างนี้ได้ยังไง”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ถังซวงและถังเซวี่ยจึงจำใจรับซองนั้นไว้ก่อน
ด้านนอกของประตู พานลี่ฮวาพาตระกูลพานมาเพื่อฉลองปีใหม่
“ผู้เฒ่าเฮ่อทั้งสองสวัสดีปีใหม่ครับ”
หลังจากที่พานอวิ๋นเฟยเข้ามาด้านใน เขารีบทักทายแล้วอวยพรปีใหม่ด้วยรอยยิ้ม ในเวลาเดียวกันภรรยาของเขา เยี่ยฟู่เซียงและลูกก็เดินเข้ามาตามลำดับ ทั้งหมดเริ่มคำนับให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง
หลังเห็นอย่างนี้แล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองยิ้มแล้วพูดว่า “ครอบครัวของอวิ๋นเฟยมาแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ”
หลังจากครอบครัวของพานอวิ๋นเฟยนั่งลง พานลี่ฮวายิ้มกว้างพร้อมกล่าวว่า “คุณพ่อคุณแม่คะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยที่ครัวก่อน คุยกับพวกเขาไปก่อนนะคะ”
“อืม”
หญิงชราค่อนข้างที่จะพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก ดังนั้นเธอถึงค่อนข้างชอบตระกูลพาน
จากนั้นพานอวิ๋นเฟยและคนอื่น ๆ ก็เห็นถังซวงและถังเซวี่ยพอดี พวกเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลานสาวทั้งสองคนของจื่อกุยนี่สวยจริง ๆ นะ”
ถังซวงและถังเซวี่ยหันมาทักทายด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยฟู่เซียงจับจ้องไปยังถังซวง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเธออดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ ‘เด็กคนนี้สวยมาก ไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายของฉันเอาแต่คิดถึงเธอ’ เธอได้ถามเรื่องราวของสามแม่ลูกกับพานลี่ฮวามาแล้ว และรู้ว่าพวกเธอมาจากชนบท เพิ่งจะได้เข้าโรงเรียน พอได้รู้เรื่องแบบนี้ก็ทำให้เธอไม่พอใจนัก
แม้ว่าเยี่ยฟู่เซียงจะคิดอย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ได้เผยความไม่พอใจผ่านสีหน้า เธอยังพูดคุยกับถังซวงด้วยความกระตือรือร้น
“เธอคือถังซวงใช่ไหม ฉันได้ยินเรื่องของเธอจากลั่วเฉิงว่าเธอขี่ม้าเก่งมาก แล้วยังได้ยินจากลี่ฮวาว่ายาบำรุงผิวที่เธอทำก็ยอดเยี่ยมมาก ถ้าเป็นไปได้เธอช่วยทำให้ฉันสักชุดได้ไหม?”
เมื่อได้ยินแล้ว ถังซวงยิ้มตอบกลับว่า “ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลยค่ะ ไม่มีเวลาทำยาบำรุงผิว ยังไงต้องรอจนกว่าเทศกาลโคมไฟจะจบลงได้ไหมคะ?” แม้ว่าเยี่ยฟู่เซียงจะยิ้ม แต่ถังซวงก็มองเห็นความเหยียดหยามในแววตา อย่างนั้นแล้วเธอจะให้ยาบำรุงผิวกับอีกฝ่ายได้อย่างไร ยังไม่รวมถึงว่าเธอไม่รู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้ด้วย
ด้านเยี่ยฟู่เซียงไม่คิดว่าถังซวงจะปฏิเสธ เธอตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้นแต่ก็ไม่แสดงความแค้นเคือง พร้อมกล่าวออกไปด้วยความเขินอาย “อ้อ ฉันนี่จริง ๆ เลย รบกวนเธอจนได้”
ถังซวงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ
บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดเล็กน้อย แต่เป็นหญิงชราที่เข้ามาทำลายความเงียบด้วยรอยยิ้ม เธอมองพานลั่วเฉิงแล้วพูดว่า “เราไม่ได้เจอกับลั่วเฉิงนานมากแล้ว นับวันเขายิ่งหล่อขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวอีกสักพักเจียรุ่ยคงจะมาถึง พวกเธอสองคนค่อยนั่งคุยกันนะ”
หลังได้ยินแล้ว พานลั่วเฉิงยิ้มรับแล้วพยักหน้า
แต่สายตาของเขายังคงลอบมองถังซวงเป็นระยะ
ถังซวงเองก็ชำเลืองมองพานลั่วเฉิงเล็กน้อย ในแววตาของหญิงสาวไม่มีอารมณ์ใด ๆ นอกจากความคลื่นไส้
เยี่ยฟู่เซียงอยู่ด้านข้างและเห็นสายตานี้อย่างชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลายเป็นบึ้งตึงในทันที
แม้เธอจะรู้ว่าลูกชายชอบพอถังซวงไม่น้อย และถังซวงก็ควรจะชอบลูกชายของตนตอบ เพราะสุดท้ายแล้วเด็กสาวจากชนบทควรจะดีใจที่มีผู้ชายเพียบพร้อมอย่างลั่วเฉิงมาชื่นชอบ แต่มันเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิด เวลานี้ถังซวงไม่สนใจลูกชายของตนแม้แต่น้อย แล้วอย่างนี้เธอจะยอมรับได้ยังไง
“ถังซวง เธอคิดกับพานลั่วเฉิงของพวกเรายังไง”
เมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของเยี่ยฟู่เซียงแล้ว พานลั่วเฉิงหันมองถังซวงทันที เขาเองก็อยากรู้มากว่าถังซวงคิดยังไงกับเขา
ด้านถังซวงไม่ได้คาดหวังว่าเยี่ยฟู่เซียงจะถามตรง ๆ แบบนี้ เธอจึงตอบตามตรงว่า “พี่ชายพานเป็นคนสดใสและกระตือรือร้น แต่เขายังต้องอดทนมากกว่านี้และรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ให้ดีกว่านี้ เพราะบางครั้งคำพูดและการกระทำของเขามักจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นค่ะ”
แม้ถังซวงจะไม่ได้พูดมันออกไปอย่างชัดเจน แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าเธอหมายถึงอะไร
ซึ่งพานลั่วเฉิงเองก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองได้ทำพลาดไป เขาไม่ควรบังคับถังซวงให้ทำตามใจตัวเองเลย
เวลานี้เยี่ยฟู่เซียงกลับโกรธจัด เธอหันมองถังซวงด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ฉันไม่เห็นรู้ว่าพานลั่วเฉิงของเราไปสร้างปัญหาให้กับใครที่ไหน”
แต่ก่อนถังซวงจะพูดอะไร พานลี่ฮวาและเฮ่อหลานก็เดินเข้ามา
เมื่อทั้งสองเห็นว่าบรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดเล็กน้อย พานลี่ฮวาจึงถามขึ้นก่อนว่า “เป็นอะไรกันรึเปล่า? นี่มันวันปีใหม่นะ ทำไมถึงเงียบกันจัง?”
เยี่ยฟู่เซียงยืนขึ้นทันทีแล้วตอบว่า “ลี่ฮวา บางทีพวกเราอาจจะมาผิดเวลาไปหน่อย อย่างนั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ”
“พี่สะใภ้คะ มื้อเที่ยงใกล้เสร็จแล้ว ไม่ว่ายังไงก็กินก่อนค่อยกลับเถอะค่ะ ทำไมต้องรีบออกไปด้วย นั่งลงก่อน ๆ” พานลี่ฮวารีบขยิบตาให้กับเยี่ยฟู่เซียงขณะที่พูดอย่างนั้น
ตระกูลพานมีลูกชายคนเดียวคือพานลั่วเฉิง ดังนั้นพานอวิ๋นเฟยจึงโกรธเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคำพูดของถังซวงรุนแรงเกินไป และการที่สาวน้อยคนนี้กล้าหยาบคายต่อผู้ใหญ่ถือว่าไม่มีการศึกษา
เวลานี้เองผู้เฒ่าเฮ่อยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่ออวิ๋นเฟยและคนอื่น ๆ มีธุระ คราวหน้าก็ค่อยมากินข้าวด้วยกันใหม่ก็ได้ พวกเธอกลับไปก่อนได้เลย”
“ผู้เฒ่าเฮ่อ…”
พานอวิ๋นเฟยไม่คิดว่าผู้เฒ่าเฮ่อจะกล้าพูดอย่างนี้ สีหน้าของเขากลายเป็นบึ้งตึงในทันที เวลานี้เขาตระหนักอย่างชัดเจนแล้วถึงสถานะของสามแม่ลูกในตระกูลเฮ่อ
แต่ผู้เฒ่าเฮ่อพูดออกมาอย่างนี้แล้ว ถ้าพวกเขาจะดื้อรั้นอยู่ต่อก็ยิ่งอับอายมากขึ้นไปอีก
หลังคิดได้แล้ว พานอวิ๋นเฟยชำเลืองมองเยี่ยฟู่เซียงแล้วพูดว่า “ผู้เฒ่าเฮ่อครับ พวกเรามีธุระต้องไปทำ อย่างนั้นวันนี้ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
เยี่ยฟู่เซียงเม้มปากอย่างแค้นเคือง แต่เธอก็พูดออกไปแล้ว และจะโต้เถียงอะไรได้อีก เธอทำได้แค่มองถังซวง ก่อนจะดึงพานลั่วเฉิงออกไปอย่างไม่พอใจ
ขณะเดียวกัน พานลี่ฮวาก็รู้สึกอับอายเช่นกัน และเธอก็รู้สึกว่าถังซวงน่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ เลยอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่สะใภ้ของฉันพูดจาไม่น่าฟังกับเธอหรือเปล่า?”