บทที่ 45 มรรคจิตฟ้าประทาน ความสนใจจากจอมมาร
‘ยังไม่รีบหนีอีก?
นี่ใช่คำพูดมนุษย์หรือ!’
หลี่ชิงจื่อตะคอกในใจ
เหตุผลที่เขามาหาหานเจวี๋ยก็เพื่อจะบอกความจริงให้หานเจวี๋ยรับรู้ ให้เตรียมตัวให้พร้อม
นึกไม่ถึงว่าหานเจวี๋ยกลับคิดอยากจะหนี!
หลี่ชิงจื่อเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ถึงหนีจะหนีไปได้ไกลสักเท่าไรกัน ลูกศิษย์มากมายเช่นนี้ ถึงจะหนีไปก็ต้องหนีออกไปจากแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน หากจะไปที่แดนบำเพ็ญพรตอื่น สำนักเหล่านั้นคงไม่ยอมให้เราลงหลักปักฐานโดยง่าย รังแต่จะยึดเอาพวกเราเข้าเป็นพวก สำนักหยกพิสุทธิ์ก็คงสูญสิ้น”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขาอยากจะบอกยิ่งนักว่า สำนักหยกพิสุทธิ์จะดับสูญไม่เป็นไร ตราบใดที่คนยังอยู่ก็นับว่าดีแล้ว!
[สำนักหยกพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะสูญสิ้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง รีบหนีไปทันที ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณไล่สังหาร เร่ร่อนสุดขอบฟ้า จะได้รับอาวุธเวทหนึ่งชิ้น]
[สอง ปกป้องรักษาสำนัก หนึ่งชีวิตของคนเราไม่ควรเอาแต่ถอย หลังจากโจมตีจนลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณล่าถอย จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น เคล็ดวิชามรรคกระบี่หนึ่งเล่ม ไข่สัตว์เทพนำโชคหนึ่งใบ]
หานเจวี๋ยไม่ได้ตัดสินใจในทันที กลับไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
หากเลือกหนี จะหนีไปที่ใด
หลังทำลายสำนักหยกพิสุทธิ์ แน่นอนว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะต้องลงมือต่อ กวาดล้างแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน นอกเสียจากจะเข้าร่วมลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณด้วย
สู้ไม่ไหวก็เข้าร่วม?
นี่ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่เป็นหวาดกลัว!
ไม่เช่นนั้นก็รอดูไปก่อน หากสู้ไม่ไหวค่อยเลือกหนี!
เขาสวมอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง ครอบครองระฆังเพลิงอัคคีไว้ในมือ เพิ่มวิชาเทพวายุเข้าไปอีก หากคิดหนีจะหนีไม่พ้นเชียวหรือ
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะล้อมตีพวกเราเมื่อใด”
“อย่างมากสุดก็สิบปีกระมัง พวกเขาจัดการกวาดล้างหุบเขาเฟิงก็ต้องใช้เวลา” หลี่ชิงจื่อตอบ
หานเจวี๋ยถอนหายใจเฮือก “ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดสำนักหยกพิสุทธิ์ของเราถึงตกเป็นเป้าหมายไม่หยุดหย่อน ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์แกร่งมากเสียอีก”
หลี่ชิงจื่อกระอักกระอ่วน สีหน้าพลันแดงก่ำอย่างละอาย
เขากัดฟันกล่าว “สำนักหยกพิสุทธิ์เก่งกาจจริง เพียงแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น…ก็คือบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนักที่ออกไปตามหาเทพเซียนพสุธา ผ่านไปห้าร้อยปีก็ไร้ข่าวคราว หากว่าเขายังอยู่ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณไหนเลยจะกล้าลงมือกับเราได้ เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักเป็นผู้นำทัพต่อสู้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “กล่าวคือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณตามมาแก้แค้นเราอย่างนั้นหรือ”
หลี่ชิงจื่อพยักหน้าอย่างจนใจ
สำหรับมนุษย์ธรรมดา หนึ่งพันปีนับว่ายาวนาน แต่ในแดนบำเพ็ญพรตแล้วไม่ยาวนานเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหนึ่งสำนัก หลี่ชิงจื่อเพิ่งจะขึ้นเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สามของสำนักหยกพิสุทธิ์ และผู้อาวุโสสูงสุดอาจารย์ของเขาก็คือรุ่นแรก
“อาจารย์ปู่ทิ้งสมบัติเอาไว้เพื่อติดต่อกับเขา ข้าและผู้อาวุโสสูงสุดใช้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์ปู่จะสัมผัสถึงมันได้หรือไม่ หากว่าเขากลับมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอีก ถึงเวลานั้นสำนักหยกพิสุทธิ์จะกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน ผู้อาวุโสหาน ในครั้งนี้พวกเราจำเป็นจะต้องกัดฟันเข้าสู้ ขอเพียงผ่านพ้นไปได้ หากผ่านพ้นไปแล้วหลังจากนี้จะไม่มีภัยคุกคามอีก ท่านก็จะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ ไม่แน่ว่าอาจารย์ปู่อาจจะถ่ายทอดวิชาบำเพ็ญเทพเซียนพสุธาให้ท่านด้วย!”
หลี่ชิงจื่อจับมือหานเจวี๋ยพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยเกือบจะขนลุกชันขึ้นมาแล้ว เขารีบดึงมือของตนกลับมา ถอนหายใจบอกว่า “เอาเถิด ข้าจะเผชิญหน้ากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณร่วมกับท่าน แต่กล่าวไว้ก่อน หากว่าสู้ไม่ไหวข้าทำได้เพียงแค่หนีไปเท่านั้น”
หลี่ชิงจื่อพยักหน้าอย่างจริงจัง “หากว่าเอาชนะไม่ได้จริงๆ ข้าก็ไม่อาจให้ท่านตายไปพร้อมกับพวกเรา!”
ทั้งสองคนสนทนากันอีกสักครู่ หลี่ชิงจื่อก็จากไป
เดิมทีหานเจวี๋ยคิดอยากให้หลี่ชิงจื่อนำโอสถจำนวนหนึ่งมาให้เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตบะของเขา แต่หลี่ชิงจื่อกลับบอกอย่างกระอักกระอ่วนว่า ในสำนักหยกพิสุทธิ์ไม่มีโอสถที่เหมาะกับการฝึกฝนระดับปราณก่อกำเนิด
สำนักหยกพิสุทธิ์ขาดแคลนนักหลอมโอสถยิ่งนัก!
หานเจวี๋ยหันไปมองไก่คุกรัตติกาลพลางเอ่ย “เห็นหรือยัง อันตรายมากจริงๆ แม้พวกเราไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็ยังมีศัตรูที่จ้องจะสังหารพวกเรา”
ไก่คุกรัตติกาลพยักหน้ารัวๆ ราวกับไก่จิกข้าวสาร
“นายท่าน ท่านมั่นใจหรือไม่”
“ไม่”
“หา! ไม่เช่นนั้น พวกเราลอบหนีไปกันเถิด”
“หืม? ใช้ได้นี่ เจ้าก็ได้รับอิทธิพลจากข้าแล้ว!”
“จะหนีจริงหรือ”
“รออีกหน่อย”
……
วันนั้น หานเจวี๋ยเข้ามาในเมืองของสำนักฝ่ายใน และซื้อถุงควบคุมสัตว์หนึ่งชิ้น จะได้พาไก่คุกรัตติกาลหนีได้อย่างสะดวก
หลังจากเดินออกมาจากหอ เขากำลังเตรียมจะกลับไป ทันใดนั้นก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นตรงหน้า
[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอีกแล้ว?
สำนักหยกพิสุทธิ์เป็นสำนักที่มีโชคจริงๆ!
หานเจวี่ยรีบเปิดดูทันที
[เซวียนฉิงจวิน: ระดับสร้างฐานขั้นสาม ฐานะแท้จริงคือจอมมารในคราบมนุษย์ มรรคจิตฟ้าประทาน พรสวรรค์เป็นเลิศ เมื่อแปดร้อยปีก่อน จอมมารปรารถนาจะสำเร็จมรรคขึ้นสวรรค์ จึงสร้างร่างมนุษย์ขึ้นมา ผนึกตนเองไว้ในส่วนลึกของจิตดั้งเดิม ร่างมนุษย์ท่องไปทั่วทุกที่ สัมผัสประสบการณ์ชีวิตหลายหลาก เสริมสร้างมรรคจิต เก้าวันสิบที่ มีรอยเท้าของนางไปทั่วทุกหนแห่ง สามปีก่อนนางเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์ และจำศีลมาโดยตลอด]
จอมมาร…
นี่มันเยี่ยมยอดไปเลย!
มรรคจิตฟ้าประทาน แต่กลับมาจากมารหรือ
รูปแบบที่กลับกันเช่นนี้คืออะไรกัน
หานเจวี๋ยหมดคำพูด
เขามองไปตามที่ระบบแนะนำ จนมองเห็นเซวียนฉิงจวิน
สตรีนางนี้สวมอาภรณ์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ รูปร่างธรรมดา มองจากด้านหลังก็ไม่ได้งามน่าหลงใหล ยามที่นางหันหน้ามา หานเจวี๋ยก็มองประเมินเล็กน้อย
รูปโฉมหน้าตาก็ธรรมดา เป็นศิษย์หญิงที่ดาษดื่นมากนางหนึ่ง หากกวาดตามองไปรอบๆ อาจมองข้ามนางไปอย่างง่ายดาย
เซวียนฉิงจวินหยุดเดินยืนอยู่ริมทาง กำลังมองดูคนทะเลาะกัน
ศิษย์ชายทั้งสองคนทะเลาะกันจนโมโหหน้าดำหน้าแดงเพื่อศิษย์สตรีงดงามผู้หนึ่ง
‘จะสมคบคิดกับจอมมารหรือไม่ นางกำลังจะสำเร็จมรรคผลขึ้นสวรรค์ อย่างต่ำที่สุดก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับมหายาน’
หานเจวี๋ยคิดในใจ ก่อนจะส่ายหน้าทันที
ช่างเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา
หานเจวี๋ยหมุนตัวจากไป
หลังจากที่หันกลับไปแล้ว เขาไม่ได้สังเกตเซวียนฉิงจวินที่ชำเลืองมองเขาด้วยหางตา
[เซวียนฉิงจวินเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ฝีเท้าของหานเจวี๋ยหยุดชะงัก ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
อะไรกันเนี่ย
เขาหันไปมองโดยไม่รู้ตัว สายตาประสานเข้ากับเซวียนฉิงจวินพอดี
แย่แล้ว!
จอมมารสนใจในตัวเขา!
หานเจวี๋ยตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ จึงยิ้มให้เซวียนฉิงจวินไปตามมารยาท
[ความประทับใจที่เซวียนฉิงจวินมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]
หานเจวี๋ยรีบร้อนจากไป
เซวียนฉิงจวินหมุนตัวตามเขามา
หลังออกจากเมืองของสำนักฝ่ายใน หานเจวี๋ยรีบใช้วิชาเทพวายุกลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาถึงในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยนั่งลงบนตั่งไม้ ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
‘หวังว่านางจะแค่คิดว่าข้าดูดี อย่าได้ชอบพอข้าเข้าจริงๆ เลย’
หานเจวี๋ยคิดในใจ
เขาไม่ได้โง่
แม้ว่าเซวียนฉิงจวินจะชอบพอเขา แต่เขาก็ไม่ดีใจจนถึงขั้นตัวลอยขนาดนั้น
อย่างไรเสียนางก็เป็นจอมมาร เทียวไปเทียวมาในโลกมนุษย์มาตั้งกี่ปีแล้ว นางจะรักคนผู้หนึ่งตั้งแต่แรกพบ ทั้งยังมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้อย่างไร
หากหานเจวี๋ยประจบเอาใจนาง มีเพียงชะตากรรมเดียวเท่านั้น!
ข้ารับใช้!
…
เซวียนฉิงจวินมาถึงหน้าถ้ำเทวาฟ้าประทาน เห็นตัวอักษรที่อยู่บนผนัง
อดทนเพื่อทะเลกว้างฟ้ากระจ่าง!
นางอดหัวเราะไม่ได้
เจ้าหนูนี่น่าสนใจจริงๆ
เซวียนฉิงจวินที่กำลังยิ้ม จู่ๆ สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา
‘อักษรพวกนี้แฝงไว้ด้วยหลักการอยู่…’
เซวียนฉิงจวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป
รอจนนางจากไปแล้ว หานเจวี๋ยจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
“หวังว่านางจะเลิกปรารถนาในตัวข้า”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง
ไก่คุกรัตติกาลถามขึ้น “ปรารถนาคือสิ่งใด”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยากกินเจ้า นั่นก็คือความปรารถนา!”
“หา! สตรีเมื่อครู่นี้อยากจะกินนายท่านหรือ” ไก่คุกรัตติกาลตระหนกตกใจ
หมายความว่าสตรีผู้นั้นแกร่งกว่าหานเจวี๋ยอีก?
สีหน้าของหานเจวี๋ยแปลกประหลาด เขาเอ่ยว่า “จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
…………………………………………………………..