บทที่ 61 แดนบำเพ็ญพรตที่น่าอัศจรรย์ เจ้าสำนักคิดหาทางหลบหนี
เมื่อได้ยินคำพูดของกวนโยวกัง หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมอง
เห็นแต่กวนโยวกังกำลังเหลือบมองเขาจากบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ อาภรณ์สีขาวโบกสะบัด ใบหน้ามั่นอกมั่นใจ
หานเจวี๋ยเปิดเขตอาคมไว้ในระหว่างฝ่าด่านเคราะห์ ดังนั้นอานุภาพกดดันของเคราะห์สวรรค์จึงไม่ได้น่ากลัวปานนั้น เป็นเหตุให้กวนโยวกังคิดว่าหานเจวี๋ยทะลวงระดับอย่างเงียบเหงา
“เฮ้อ ร้อยวันพันปีไม่มา กลับมาเอาตอนนี้”
หานเจวี๋ยส่ายหัวหลุดหัวเราะ ทำตบะให้เสถียรต่อ
สี่วันต่อมา
ตบะของหานเจวี๋ยมั่นคงสมบูรณ์ พลังวิญญาณหกสายเหนือชั้นกว่าเมื่อก่อนไปไกล
เขาลุกขึ้นมา ก้าวเท้าเหยียบย่างไปบนเวหา มุ่งหน้าไปหากวนโยวกัง
กวนโยวกังอดรนทนไม่ไหวนานแล้ว
เขาคร้านจะแสดงไมตรีจิต หยิบดาบออกมาแล้วทะยานเข้าหาหานเจวี๋ยทันที
ขณะที่โบยบินไป มือทั้งสองข้างของเขาสำแดงวิชาอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณทั้งร่างเคลื่อนไหว ทำให้เสื้อคลุมของเขาสั่นไหวไม่หยุด
‘ขอเพียงข้าเอาชนะเขาได้ ข้าย่อมได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหยกพิสุทธิ์! ถึงเวลานั้นศิษย์น้องซีเสวียนต้องยินดีแต่งงานกับข้าแน่นอน!’
ดวงตาของกวนโยวกังลุกโชน เมื่อจินตนาการถึงอนาคตที่สวยงามนั้น ทั่วทั้งร่างเขาเหมือนติดไฟก็ไม่ปาน
เขาเตรียมแสดงพลังวิเศษชั้นยอดที่เพิ่งบรรลุเมื่อไม่นานมานี้ออกมา หวังปลิดชีพอีกฝ่ายทันที!
ฟิ้ว!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา!
ปราณกระบี่!
กวนโยวกังเบิกตากว้าง คิดจะต้านไว้ตามจิตใต้สำนึก
ทว่า ปราณกระบี่นี้รวดเร็วยิ่งนัก!
เร็วจนผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณอย่างเขาไม่อาจตอบโต้ได้ทัน!
ฉึก!
ปราณกระบี่จากวิชาดรรชนีกระบี่เทพแทงทะลุท้องของกวนโยวกัง โจมตีพลังวิญญาณในร่างเขาจนแตกซ่าน
กวนโยวกังกระอักโลหิตตัวปลิวออกไปราวกับว่าวไร้สายป่าน ก่อนจะตกลงบนเนินเขา
เมื่อตกสู่พื้น เขารีบใช้มือกุมท้อง กระอักโลหิตออกมาอีกอย่างทนไม่ไหว
กลิ่นอายพลังทั้งร่างเขาเหือดแห้งไปในชั่วพริบตา
แห้งไปแล้ว!
“เป็นไปได้อย่างไร…”
กวนโยวกังราวถูกฟ้าผ่า ปากอ้าตาค้างจ้องไปยังหานเจวี๋ยที่กำลังเหยียบอากาศมาหาตน
หานเจวี๋ยที่สวมอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองมีบุคลิกน่าตะลึง บนศีรษะสวมมงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์ รอบเอวคาดเข็มขัดเก็บสมบัติขนาดเล็ก เท้าสองข้างสวมรองเท้าวิเศษเก้าดารา ก่อนหน้านี้ระหว่างที่หานเจวี๋ยเข้าฌานอยู่ กวนโยวกังสัมผัสไม่ได้สักเท่าไร
ยามนี้เมื่อได้เห็นหานเจวี๋ยอีกครา เขารู้สึกราวกับเห็นเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์
โดยเฉพาะใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้น
หากโลกนี้มีเทพเซียนอยู่จริง
น่าจะเป็นเช่นนี้เอง
‘ช้าก่อน!
นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่’
กวนโยวกังตกใจตื่นทันควัน จากนั้นความรู้สึกพ่ายแพ้ไม่รู้จบสิ้นก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจ
ไม่นึกว่าเพียงกระบี่เดียวของฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยังรับมือไม่ได้…
ช่างน่าขัน…
ก่อนหน้านี้เขายังหัวเราะลั่นหมายจะเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีกระบวนท่าเดียว ผลลัพธ์กลับเป็นตัวเขาเองที่ถูกโจมตีพ่ายแพ้ในหนึ่งครั้ง…
เวลานี้ กวนโยวกังอยากแทรกแผ่นดินหนีแทบทนไม่ไหว
หานเจวี๋ยลอยลงมาตรงหน้าเขา
กวนโยวกังก้มศีรษะต่ำ รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่สุด ไม่กล้าสบตาหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าได้เสียใจไปเลย เจ้าน่ะแข็งแกร่งแล้ว แต่เจ้าเลือกคู่ต่อสู้พลาดไปเท่านั้น ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ก็มีเพียงเจ้าที่คู่ควรให้ข้าลงมือ”
สิ้นเสียงเอ่ย หานเจวี๋ยก็หายตัวไป
กวนโยวกังอึ้งงัน
เขามิได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังคุยโว กลับพูดปลอบใจอยู่น้อยๆ เสียด้วยซ้ำ
“ผู้อาวุโสสังหารเทพ…แท้จริงแล้วท่านแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่…”
……
หานเจวี๋ยออกจากแดนหมื่นปีศาจอย่างรวดเร็ว และไม่ได้หยุดพักที่เมืองสำนักฝ่ายใน
หากแต่กลับไปยังภูเขาที่ตนฝึกบำเพ็ญอยู่
จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ร่างของเขากะพริบหายมาปรากฏตัวที่ตีนเขา
มือขวาเริ่มร่ายวิชา จากนั้นดินพลันผุดขึ้นสูง รวมตัวกันเป็นแผ่นศิลาอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยใช้นิ้วแทนพู่กัน สลักตัวอักษรลงบนแผ่นศิลา
ตัวอักษรสี่ตัว
เพียรบำเพ็ญเซียน!
จากนี้ไปนี่คือชื่อของภูเขาลูกนี้
เขาเพียรบำเพ็ญเซียน
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพอใจ และกลับขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง
ไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นยังคงฝึกฝนอยู่
สิงหงเสวียนไม่รู้ว่าไปที่ใด ไม่ได้อยู่ที่ถ้ำเทวา
หานเจวี๋ยคุยกับไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นราวครึ่งชั่วยาม ก่อนจะกลับเข้าไปในถ้ำเทวา
หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง หยิบกระบี่พิพากษาอนธการออกมา
ตัวกระบี่เล่มนี้มีสีแดงเข้ม มีลายเส้นสีดำบางๆ ทำให้กระบี่ดูพิเศษยิ่งขึ้น
เมื่อถือกระบี่เล่มนี้ไว้ หานเจวี๋ยเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เขาส่งพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่
ครืน…
ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หานเจวี๋ยตกใจจนรีบตัดพลังวิญญาณหกสาย
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
หานเจวี๋ยตื่นเต้นยินดี
เนื่องจากเป็นของวิเศษคู่ชีวิต เขาจึงไม่จำเป็นต้องหยดเลือดตีตราเป็นเจ้าของ
ต่อจากนั้น หานเจวี๋ยจึงทดสอบแบบจำลองสถานการณ์ โดยเข้าต่อสู้กับนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง
ครึ่งนาทีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาถอนหายใจยาวก่อนพึมพำ “ในที่สุดก็ปราบเจ้าได้ ขี้ขลาดตาขาวจริงๆ ไม่นึกว่าจะแสดงท่าร่างออกมามากมายเช่นนี้!”
ในระหว่างการต่อสู้ เขาทำให้นักพรตเต๋าจิ่วติ่งได้รับบาดเจ็บหนักในหนึ่งกระบี่
จากนั้นนักพรตเต๋าจิ่วติ่งก็เอาแต่หลบหลีกตลอด ยืดเวลาการต่อสู้ออกไปเรื่อยๆ
ระดับสุญตาขั้นแปด ก็มีดีแค่นี้เอง!
ความมั่นใจของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ไม่หวาดกลัวสำนักมารปีศาจกับเซียวเอ้อร์อีก
จากค่าความสัมพันธ์จะเห็นได้ว่าเซียวเอ้อร์ยังคงอยู่ระดับสุญตาขั้นสองเท่านั้น
เขาจะสังหารเซียวเอ้อร์ด้วยวิธีไหน
สังหารอย่างไร!
เมื่อนึกถึงเซียวเอ้อร์ หานเจวี๋ยก็หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา และเริ่มสาปแช่งฝ่ายนั้นทันที
ต่อจากนี้หากมีเวลาก็สาปแช่งเขาแล้วกัน แม้ว่าหานเจวี๋ยจะไม่กลัวเขา แต่ก็ไม่อยากให้มาเป็นอุปสรรคในการฝึกฝนของตน
สิบวันต่อมา
หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลงอย่างพึงพอใจ
จากนั้นเริ่มฝึกฝนวิชาวัฏจักรหกวิถีระดับที่หก
……
หนึ่งปีต่อมา
หานเจวี๋ยบรรลุวิชาวัฏจักรหกวิถีระดับหก สามารถฝึกในระดับสุญตาได้แล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาตระหนักรู้พลังวิเศษพลังใหม่
ตราประทับหกวิถี!
ตราประทับนี้เมื่อประทับลงบนร่างศัตรู จะสามารถทำลายดวงจิตของศัตรูได้โดยตรง!
ร่างกายยังไม่ทันสูญสลาย แต่ดวงจิตถูกทำลายก่อนแล้ว
นี่คือพลังวิเศษที่ใช้เป็นท่าไม้ตายได้!
หานเจวี๋ยบิดขี้เกียจ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เป็นอีกวันที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น”
เขายังไม่รีบเร่งฝึกฝนต่อ จึงกดเปิดค่าความสัมพันธ์ตรวจดูจดหมายสักหน่อย
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหล่าสหายของเขาบ้างหรือไม่
[ซูฉีศิษย์ของท่านถูกภูตบำเพ็ญลอบโจมตี] x12
[ซูฉีศิษย์ของท่านสังหารสิ่งมีชีวิตยอดรวมนับหมื่นพัน แรงกรรมเพิ่มพูน]
[หลี่ชิงจื่อสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x58
[หลี่ชิงจื่อสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมะ] x44
[หลี่ชิงจื่อสหายของท่านบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญของท่านไปจากแดนมนุษย์]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านสังหารศัตรูฝ่ายหนึ่ง แรงกรรมมหันต์]
[สิงหงเสวียนสหายของท่านหลงเข้าไปในแดนลึกลับบรรพกาล เป็นตายร้ายดีไม่แน่ชัด]
……
หือ?
เวลาเพียงหนึ่งปีก็เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้เลย?
หานเจวี๋ยกะพริบตาปริบๆ
ได้!
ใครหน้าไหนมาโจมตีเจ้าสำนักหยกพิสุทธิ์อีก
ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมคิดจะก่อกบฏหรือ?
โม่ฟู่โฉวเลือกเดินทางที่ไม่อาจหวนกลับแล้ว?
และสิงหงเสวียน…
เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแท้ๆ เหตุใดจึงมักได้ครอบครองของวิเศษหรือพบเจอโชควาสนา?
หรือเป็นเพราะได้รับพลังจากดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียนของข้า?
หานเจวี๋ยจินตนาการไปต่างๆ นานา
ผ่านไปสักพัก
หานเจวี๋ยจึงหันมาเริ่มฝึกฝนต่อ
แม้แดนบำเพ็ญพรตจะมหัศจรรย์เพียงใด เขาก็ยังไม่อยากย่างเท้าเข้าไปที่นั่นในตอนนี้
สำนักหยกพิสุทธิ์มีนักพรตเต๋าจิ่วติ่งคอยหนุนหลัง สำนักอื่นก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน
แค่ระดับสุญตาอย่างเดียวคงยังไม่พอ
โจวฝานผู้บำเพ็ญระดับมหายานที่กลับชาติมาเกิดยังไม่พ้นทุกข์เลย
หานเจวี๋ยฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น ปรารถนาที่จะบรรลุระดับรวมกายาภายในหนึ่งร้อยปี!
……
สองปีต่อมา
หลี่ชิงจื่อเดินทางมาเยี่ยมเยียน
หานเจวี๋ยพาเขาเข้าไปในถ้ำเทวา สีหน้าของหลี่จื่อชิงเต็มไปด้วยความอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งมักฉายชัดเช่นนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หานเจวี๋ยถอนหายใจก่อนกล่าว “เจ้าสำนัก ท่านไม่ก่อเรื่องสักวันไม่ได้หรือ บำเพ็ญเพียรเงียบๆ สักร้อยปีได้ไม่ได้หรืออย่างไร”
หลี่ชิงจื่อทำท่าทางลังเล ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจนใจ “ข้าเป็นเจ้าสำนัก หลายสิ่งหลายอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า หลายปีมานี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีศิษย์สายหลักเข้าร่วมฝ่ายมาร สร้างความเคียดแค้นเกลียดชังให้ผู้อื่นไม่น้อย ข้าจำเป็นต้องจัดการกับผลกรรมเหล่านี้ แต่ยิ่งรู้ลึกเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเท่านั้น เวลานี้พบเรื่องใหญ่ไม่น้อยทีเดียว เพราะข้าสืบรู้มาว่าสายหลักกับสายมารของแดนบำเพ็ญต้าเยี่ยนหันมาร่วมมือกัน และพร้อมจู่โจมสำนักหยกพิสุทธิ์ของข้า!
ยามนี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีผู้อาวุโสระดับเปลี่ยนวิญญาณสองคน ทว่าผู้อาวุโสกวนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยเหตุใดก็ยังมิล่วงรู้ ทั้งยังปิดด่านเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เฮ้อ ผู้อาวุโสหาน บางทีครานี้อาจต้องหาทางหลบหนีอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว!”
วันละ2ตอนเช้า-เย็น
……………………………………………………..