บทที่ 92 ระดับรวมกายาขั้นสี่ ศิษย์เต๋าแห่งจวนเซียนสวรรค์
“อย่าเพิ่งสนใจสำนักหยกพิสุทธิ์ ศึกกับสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตยืดเยื้อมานานหลายปีเพียงนี้ก็ควรจะจบลงได้แล้ว ชื่อเสียงอำนาจของสำนักไร้ลักษณ์ก็ได้ผงาดขึ้นมาแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าสังหารกันอีก เจ้าก็จงตั้งใจฝึกฝนเถิด เป้าหมายของเจ้าควรอยู่ที่จวนเซียนสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องแย่งชิงอำนาจ”
เฒ่าประหลาดอู้เต้าเอ่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
ตงหวางเซียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ ตกลงกันแล้วว่าจะทำให้สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตพังพินาศ แล้วจะจบลงง่ายๆ เพียงเพราะพวกเขาพึ่งพาสำนักหยกพิสุทธิ์ได้อย่างไร
หากเรื่องนี้แพร่งพรายอกไป ผู้อื่นจะไม่คิดว่าสำนักไร้ลักษณ์หวาดกลัวสำนักหยกวิสุทธิ์หรอกหรือ
“อาจารย์ ระวังจะเป็นการเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้[1]นะขอรับ!” ตงหวางเซียนเอ่ยเสียงเบา
คนอื่นๆ ในที่นั้นต่างมองหน้าสบตากันไปมา
พวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักไร้ลักษณ์ ความจริงแล้วพวกเขาเองก็ยังอยากยอมแพ้
อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นสำนักบำเพ็ญเซียน ไม่ใช่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญคือเวลา ควรใช้เวลาไปกับการแสวงหามหามรรคาถึงจะเรียกได้ว่าวิถีทางที่ถูกต้อง หากมัวแต่ต่อสู้ฆ่าฟันกันตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก!”
อีกอย่าง สำนักไร้ลักษณ์เองก็ไม่ใช่สายมาร ไม่ชอบการเข่นฆ่า
เฒ่าประหลาดอู้เต้าโบกมือกล่าว “ข้าตัดสินใจแล้ว จะไม่เคลื่อนพลไปสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตอีก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงหวางเซียนแสดงสีหน้าไม่พอใจ
อาจารย์ของเขาไม่ว่าอะไรล้วนดีไปเสียหมด เพียงแต่ยังโหดเหี้ยมไม่พอ!
แม้จะไม่พอใจ แต่ตงหวางเซียนก็ไม่ได้ต่อต้านผู้เป็นอาจารย์ ถึงอย่างไรอาจารย์ก็เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่
……
หลังจากสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตประกาศเข้าร่วมกับสำนักหยกพิสุทธิ์ สำนักไร้ลักษณ์ก็หยุดการโจมตี นั่นทำให้เหล่าศิษย์ของสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตพากันโล่งอก
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็สงสัยในสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นอย่างมาก
แท้จริงแล้วสำนักหยกพิสุทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถทำให้สำนักไร้ลักษณ์สงบลงได้
หลิ่วปู๋เมี่ยมาถึงยอดเขาหลักของสำนักหยกพิสุทธิ์ หลี่ชิงจื่อได้จัดเตรียมถ้ำเทวาให้เขา เขารู้ดีว่าตนเองมีฐานะเทียบได้กับตัวประกัน หากสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตคิดไม่ซื่อ คนแรกที่จะต้องตายก็คือเขา
เดิมหลี่ชิงจื่อคิดว่าสำนักไร้ลักษณ์จะบุกโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่คิดว่าสำนักไร้ลักษณ์จะหยุดมือ ทำให้เขาอดที่จะโล่งใจไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ สำนักหยกพิสุทธิ์จึงไม่ได้เผชิญกับความวุ่นวาย
หลังจากที่สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตมาขอพึ่งพิงสำนักหยกพิสุทธิ์ สำนักหยกพิสุทธิ์จึงกลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าเยี่ยนอย่างเสียไม่ได้ ผู้บำเพ็ญอิสระและมนุษย์ธรรมดาที่มาขอพึ่งพาอาศัยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลี่ชิงจื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของตบะ จึงเริ่มกระจายอำนาจ ส่วนตนเองก็ปิดด่านฝึกตน
ต้าเยี่ยนสงบสุขมาร่วมสิบปีแล้ว
หานเจวี๋ยเข้าใกล้ระดับรวมกายาขั้นสองแล้ว
[อายุขัยของท่านก้าวมาถึง 400 ปี ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง แสดงตัวทันที พิสูจน์ความแข็งแกร่งของท่านให้ใต้หล้ารับรู้ จะได้รับไข่สัตว์เทพโชคชะตาหนึ่งใบ สุ่มรับของล้ำค่าฟ้าดิน]
[สอง ปิดด่านฝึกฝนต่อไป หลีกหนีจากความขัดแย้ง จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]
หานเจวี๋ยเห็นตัวเลือกที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เดิมทีก็ไม่ลังเล เลือกตัวเลือกที่สองในทันที
[ท่านเลือกปิดด่านฝึกฝนต่อไป ได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับสมบัติวิญญาณชั้นเลิศ–กำไลวิเศษบรรลุสวรรค์]
[กำไลวิเศษบรรลุสวรรค์: สมบัติวิญญาณประเภทป้องกันชั้นเลิศ สามารถแยกพลังจิต ป้องกันการโจมตีวิญญาณ]
สมบัติวิญญาณประเภทป้องกันอีกแล้ว!
ดีจริงๆ!
หานเจวี๋ยหยิบกำไลวิเศษบรรลุสวรรค์ออกมา และเริ่มทำให้ยอมรับเจ้าของ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็สวมใส่กำไลวิเศษบรรลุสวรรค์ ตัวกำไลฝังด้วยคริสตัลสี่สี ประกอบด้วยสีน้ำเงิน สีเงิน สีขาว และสีแดง ดูแล้วส่องแสงวิบวาวเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าการแต่งกายของตนเองเริ่มเข้าใกล้เกมออนไลน์บำเพ็ญเซียนมากขึ้นทุกที ยิ่งเติมแต่งยิ่งหล่อเหลา
ไม่นาน เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มต้นสาปแช่งเฒ่าประหลาดอู้เต้าและจูเชวี่ย
ทุกครั้งระหว่างหยุดการฝึกบำเพ็ญ เขามักจะสาปแช่งศัตรู จนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ตบะของมู่หรงฉีและสวินฉางอันก็พุ่งทะยานรวดเร็วเป็นอย่างมาก
พรสวรรค์ของมู่หรงฉีนั้นก็ไม่เลวจริงๆ สวินฉางอันกลัวว่าเขาจะล้ำหน้าตน และก็ไม่กล้าคิดถึงเซี่ยนเออร์อีก จึงจดจ่อกับการฝึกฝน ตบะของอาจารย์และศิษย์ทั้งสองคนจึงก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดผลลัพธ์ไปในทางที่ดี
ไก่คุกรัตติกาลยังอยู่ในระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า เข้าใกล้ระดับสุญตามากขึ้นทุกที
ทุกๆ วันเจ้านี่ก็มักจะฝัน มันฝันเห็นว่าสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นกลับมา
มันร้อนรนทนไม่ไหวอยากจะสั่งสอนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเสียเต็มที
สาปแช่งร่วมสิบวัน หานเจวี๋ยถึงวางหนังสือแห่งความโชคร้ายด้วยความพึงพอใจ
เขาตรวจดูจดหมายเล็กน้อย คนที่ถูกโจมตีก็ยังถูกโจมตีเช่นเคย สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นยังเป็นผู้ที่ถูกโจมตีบ่อยที่สุด และมีสหายบางคนที่ได้รับโอกาสวาสนา
ที่ควรกล่าวถึงคือ ช่วงนี้ซูฉีไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไรมาก หากไม่ใช่เพราะรูปของเขายังอยู่ หานเจวี๋ยยังเป็นกังวลจริงๆ ว่าเขาจะถูกอุ้มไปแล้ว
หานเจวี๋ยมักรู้สึกว่ามีรูปสองสามอันที่หายไปจากลำดับสหาย เขาไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร แต่คนที่เขาให้การติดตามพิเศษกลับยังอยู่
นี่ก็คือการฝึกบำเพ็ญ ล้มตายระหว่างทางกเป็นเรื่องปกติมาก
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดอะไรมาก ฝึกฝนต่อไป เพื่อทะลวงระดับรวมกายาขั้นสี่ในเร็ววัน
……
สำนักไร้ลักษณ์
เฒ่าประหลาดอู้เต้าเจียนจะบ้าคลั่ง
เขาหยุดบุกโจมตีสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตแล้ว เหตุใดคนผู้นั้นยังคงสาปแช่งเขา
ใครทนได้ก็ทนไป!
เฒ่าประหลาดอู้เต้าตัดสินใจไปเยือนสำนักหยกพิสุทธิ์ด้วยตนเอง เขาต้องการคำอธิบาย!
เขาพลันลุกขึ้นตามหาผู้อาวุโสท่านอื่นๆ เพื่อแจ้งเรื่องที่ตนกำลังจะไปเยือนสำนักหยกพิสุทธิ์ให้คนอื่นได้รับทราบ
หลังจากตงหวางเซียนได้รับแจ้ง ก็รีบไปพบเฒ่าประหลาดอู้เต้าทันที เขาเองก็อยากติดตามอาจารย์ไปด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี เขาจะสังหารหลิ่วปู๋เมี่ยให้จงได้!
เดิมทีเฒ่าประหลาดอู้เต้าคิดจะปฏิเสธ แต่ตงหวางเซียนกลับรบเร้าอ้อนวอนไม่หยุด เขาจึงจำต้องตอบตกลง
……
ภายในหุบเขามืดสลัวแห่งหนึ่ง
ซูฉีนั่งเข้าฌานฝึกฝน รอบกายโอบล้อมไปด้วยไอมาร เขาล้มเลิกวิชายุทธ์ที่เคยฝึกมาก่อนหน้า ปรับปรุงแก้ไขวิชามารของประมุขมารใหม่ ตบะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เขาสอดประสานกับวิชามารของประมุขมารอย่างคาดไม่ถึง แม้กระทั่งประมุขมารยังต้องแปลกใจอยู่บ้าง
ประมุขมารพอใจกับการฝึกฝนของซูฉีเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่พอใจตนเองนัก ช่วงที่กำลังฝึกฝนนี้เขามักเผชิญกับมารในใจ เกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัส
ครั้งนี้ ประมุขมารก็เผชิญกับมารในใจเข้าแทรกอีกครั้ง เลือดลมปั่นป่วน ทำให้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย จำต้องหยุดการบำเพ็ญลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาหยัดตัวลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่นี่เถอะ ที่นี่มีค่ายกลที่ข้ากางไว้แล้ว ไม่เพียงแต่สามารถป้องกันศัตรู แต่ยังสามารถรวบรวมพลังวิญญาณที่เหมาะสมสำหรับการฝึกฝนของเจ้าได้ ข้าจะไปแล้ว”
ซูฉีลืมตาขึ้น เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านจะไปไหน”
“ออกไปเดินเล่นสักหน่อย ฆ่าสังหารสักสองสามสำนักเพื่อผ่อนคลาย”
หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้ ประมุขมารก็แปรเปลี่ยนเป็นไอมารสายเลือนหายไปจากที่ตรงนี้
ซูฉีลังเล จะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนีดีหรือไม่
ช่างเถอะ!
ตั้งใจฝึกฝนต่อไปดีกว่า
อาจารย์ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร นั่นหมายความว่าอาจารย์คาดหวังให้เขาใช้โอกาสนี้ในการปิดด่านฝึกฝน หลีกเลี่ยงที่มักจะให้อาจารย์ลงมือช่วยตลอด
คิดมาถึงตรงนี้ ซูฉีก็ขับพลังวิเศษ ฝึกฝนต่อไป
……
เพียงพริบตาเวลาสามปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงผ่านระดับรวมกายาขั้นสี่แล้ว
พลังวิญญาณหกสายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกมีความสุข เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เตรียมพร้อมที่จะสาปแช่งเฒ่าประหลาดอู้เต้าและจู่เชวี่ยเพื่อความเพลิดเพลิน
“ข้าน้อยจี้เหลิ่งฉาน ครั้งนี้มาเพื่อขอท้าประลองสำนักหยกพิสุทธิ์ เพียงประลองเวทเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย สำนักหยกพิสุทธิ์มีผู้ใดกล้าประลองกับข้าหรือไม่”
น้ำเสียงที่หยิ่งผยองดังก้องไปทั่วท้องฟ้าและผืนปฐพี หานเจวี๋ยได้ฟังจนนิ่งอึ้ง
ท้าประลองสำนัก?
หานเจวี๋ยรีบตรวจสอบตบะของฝ่ายตรงข้ามทันที
[จี่เหลิ่งฉาน: ระดับรวมกายาขั้นสอง ศิษย์เต๋าแห่งจวนเซียนสวรรค์ บุคลิกหยิ่งทะนง ต้องการเป็นผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ออกเดินทางไปทั่วสารทิศ ท้าทายทุกหนแห่ง ยังไม่เคยเผชิญความพ่ายแพ้]
ศิษย์เต๋าแห่งจวนเซียนสวรรค์?
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง เกี่ยวกับจวนเซียนสวรรค์เขาก็เคยได้ยินมานาน ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้พบกับลูกศิษย์ของจวนเซียนสวรรค์แล้ว
เขารีบใช้รูปแบบจำลองการทดสอบทันที
หลังจากสามอึดใจ เขาลืมตาขึ้น คิ้วขมวดแน่น
เจ้าหมอนี่…
“อะไรกัน สำนักหยกพิสุทธิ์ที่พิชิตสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตได้กลับไม่มีผู้ใดกล้าประลองกับข้าน้อยเลยอย่างนั้นหรือ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกผิดหวังจริงๆ ข้าน้อยนำหินวิญญาณชั้นสูงจำนวนนับล้านมาด้วย หากผู้ใดเอาชนะข้าน้อยได้ หินวิญญาณเหล่านี้จะตกเป็นของคนผู้นั้น! ”
“หินวิญญาณหนึ่งล้านยังไม่พอหรือ? ข้าน้อยจะนำสมบัติวิญญาณให้อีกชิ้น! ”
“ไม่ใช่กระมัง หรือสำนักหยกพิสุทธิ์มีแต่พวกอ่อนหัว?”
“มารดาพวกเจ้า! ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร! ไม่มีผู้ใดออกมาพูดอะไรเลยหรือ”
……………………………………………………………………………..
[1] เป็นสำนวน หมายถึงปล่อยศัตรูไว้ไม่จัดการ ศัตรูจะนำพาความยุ่งยากมาให้ในภายภาคหน้า