บทที่ 98 เจ้าสำนักรุ่นถัดไป
ท่ามกลางหมู่เขา ปีศาจนับไม่ถ้วนกำลังล้อมโจมตีบุรุษสวมชุดสีทองคนหนึ่ง เขาก็คือตงหวางเซียนแห่งสำนักไร้ลักษณ์นั่นเอง
ตงหวางเซียนจับกระบี่ด้วยสองมือ เดินเหยียบอากาศไปด้านหน้า ร่มสีแดงคันหนึ่งกางออกและหมุนวนด้วยความรวดเร็วอยู่รอบตัวตงหวางเซียน หั่นสะบั้นปีศาจแต่ละตนที่โจมตีเข้ามาจนเลือดสาดกระเซ็นเต็มฟ้า
มองลงไปด้านล่าง ทั่วทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยศพของปีศาจที่สภาพไม่สมบูรณ์ น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้ามีกำลังแค่นี้เองหรือ ราชาของพวกเจ้าเล่า”
ตงหวางเซียนหัวเราะอย่างโอหัง จิตใจฮึกเหิม ความกรุ่นโกรธคลายลงด้วยความตื่นเต้นจากการฆ่า
นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด!
กระทำผิดอย่างกำเริบเสิบสาน!
ไม่อาจหยุดยั้งได้!
ตู้ม!
ปลายเส้นขอบฟ้ามีไอปีศาจที่น่าหวาดกลัวทะลักขึ้นมา ก่อนพุ่งสู่ท้องฟ้า สะเทือนแม่น้ำและภูเขา ต้นไม้บนเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับจะถูกพายุคลั่งที่เกิดจากไอปีศาจม้วนพัดไปได้ตลอดเวลา
ตงหวางเซียนหันหน้าไปทันที สีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง
ไอปีศาจนี้…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอไอปีศาจน่ากลัวเช่นนี้ ทำให้เขาขนลุกชันอย่างอดไม่ได้
แต่ว่าเขาเป็นถึงใคร?
บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของสำนักไร้ลักษณ์จะหวาดกลัวได้อย่างไร
ตงหวางเซียนคำรามด้วยความโมโห “เฒ่าประหลาดอู้เต้าอาจารย์ของข้าถูกพวกเจ้าเหล่าปีศาจสังหารใช่หรือไม่”
เสียงหัวเราะของพญาอสรพิษหยกดังมา “เฒ่าประหลาดอู้เต้าตายแล้วหรือ ฮ่าๆๆ! เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ! เจ้าเป็นศิษย์ของเฒ่าประหลาดอู้เต้ารึ เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่เลย! ข้าจะต้มเจ้าตุ๋นน้ำแกง!”
ตงหวางเซียนได้ยินก็ตาแดงขึ้นมา!
ที่แท้ก็ถูกปีศาจที่นี่สังหารจริงๆ ด้วย!
“ข้าจะสู้แลกชีวิตกับเจ้า!”
……
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หลังจากสิงหงเสวียนจากไปแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ บางครั้งก็รดน้ำให้หญ้าโลกาสวรรค์
พลังวิญญาณชนิดต่างๆ ที่ควรมีในถ้ำเทวาล้วนมีครบหมด ภายใต้ระยะเวลายาวนาน หญ้าโลกาสวรรค์เกิดความเคยชินในการดูดซับและคายพลังวิญญาณฟ้าดินแล้ว ความจริงไม่จำเป็นต้องให้หานเจวี๋ยดูแลเป็นพิเศษ เพียงแค่ไม่เหยียบโดนมันก็พอแล้ว
เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หญ้าโลกาสวรรค์สูงขึ้นไม่น้อย พลังวิญญาณของที่นี่ก็หนาแน่นกว่าแดนปีศาจที่มันเคยอยู่
หานเจวี๋ยเฝ้ารอคอยให้มันเกิดสติปัญญาขึ้นมา หากบ่มเพาะให้เป็นภูตต้นหญ้าได้ก็น่าสนใจอยู่บ้าง
สุนัขสวรรค์ ไก่ เถาน้ำเต้า ต้นฝูซัง โสมวิญญาณบรรพกาล ภูตต้นหญ้า…
จิ๊ๆ หานเจวี๋ยคิดว่าตัวเองสามารถเปิดสวนพฤกษศาสตร์ได้แล้ว
ในวันนี้ หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยียน
หานเจวี๋ยรออีกฝ่ายเข้ามาด้านในแล้วก็รีบถาม “สำนักไร้ลักษณ์มาแล้วหรือ”
หลี่ชิงจื่อส่ายหน้าบอก “มิใช่ แต่เป็น…ผู้อาวุโสสูงสุดใกล้จะถึงขีดจำกัดอายุขัยแล้ว”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
สำนักหยกพิสุทธิ์มีผู้อาวุโสสูงสุดแค่ท่านเดียว ซึ่งก็คืออาจารย์ของหลี่ชิงจื่อ แต่ก่อนก็เคยคบค้าสมาคมกับหานเจวี๋ย
ทว่านึกดูอย่างละเอียดก็เป็นเรื่องปกติ หานเจวี๋ยอายุสี่ร้อยกว่าปีแล้ว หลายปีมานี้ตบะของผู้อาวุโสสูงสุดแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย จึงยากที่อายุขัยจะเพิ่มขึ้นด้วย
“ต้องการพบข้าหรือ” หานเจวี๋ยถาม
อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ หานเจวี๋ยไม่อยากเสียใจเหมือนคราวผู้เฒ่าเถี่ย
หลี่ชิงจื่อส่ายหน้ากล่าว “อาจารย์ไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว หากท่านไม่กลับมาภายในยี่สิบปี นั่นก็หมายความว่าท่านสิ้นแล้ว ท่านให้ข้ามาเอ่ยคำขอบคุณ ท่านบอกว่าหากไม่มีผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ก็คงไม่มีวันนี้”
หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ
คำขอบคุณอาจจะมาจากใจจริง แต่เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้ยังมีความหมายแฝงอีกชั้นหนึ่ง
หานเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธ เขาเองก็เข้าใจได้
ตอนนี้เขาอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์อย่างสุขสบาย ไม่มีใครรบกวน เขาต้องการอะไรพวกหลี่ชิงจื่อก็พยายามทำให้เขาพอใจอย่างสุดความสามารถ
“ผู้อาวุโสหาน แม้ว่าตบะของข้าก็กำลังยกระดับขึ้น แต่รู้สึกว่าการจะสำเร็จระดับเปลี่ยนวิญญาณนั้นยากนัก หากวันใดข้าเผชิญหน้ากับขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน ท่านคิดว่าใครเหมาะสมจะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป” หลี่ชิงจื่อถาม
สีหน้าของเขาไม่ได้เศร้าหมองแต่อย่างใด เขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ส่งศัตรูไปนรกไม่รู้เท่าไร จึงคุ้นชินกับการดับสูญตายจากแล้ว
เดิมทีเส้นทางสู่การมีชีวิตยืนยาวก็ลำบากยากเข็ญ หากมนุษย์ทุกคนแค่มุมานะฝึกบำเพ็ญก็มีอายุขัยยืนยาวได้ ผู้คนคงไม่บ้าคลั่งเพื่อการมีอายุยืนขนาดนั้น
หานเจวี๋ยส่ายหน้า “ข้าปิดด่านฝึกฝนตลอดปี ไหนเลยจะรู้ได้”
หลี่ชิงจื่อถามด้วยรอยยิ้ม “มองไปทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ศิษย์ที่มีพรสวรรค์และแกร่งที่สุดล้วนอยู่ในความดูแลของท่าน เมื่อครู่ข้าพบว่าตบะของสวินฉางอันกับมู่หรงฉี่ล้วนกำลังทะลวงระดับปราณก่อกำเนิด มองไปทั่วสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว ความเร็วระดับนี้นอกจากผู้อาวุโสหานก็ไม่มีใครสามารถเทียบได้”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
นี่หลี่ชิงจื่อจะผูกมัดเขาไว้กับสำนักหยกพิสุทธิ์จนตายนี่!
หากศิษย์หรือศิษย์หลานของหานเจวี๋ยขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เขาก็ไม่อาจจากไปได้
“เจ้าสำนัก ความจริงข้าเข้าใจเจตนาของท่าน พรสวรรค์ของสองคนนี้ไม่เลวจริงๆ แต่มีจุดหนึ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจน วันหน้าหากข้าอยากไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์ พวกเขาทั้งสองก็ไม่อาจรั้งข้าไว้ได้ หากข้าไม่อยากไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์ แต่สำนักหยกพิสุทธิ์เผชิญกับศัตรูที่ข้าไม่อาจต้านทานไหว เพื่อรักษาชีวิตไว้ ข้าก็อาจจากไปได้เช่นกัน
ตั้งแต่ข้ารู้ความ เป้าหมายในชีวิตข้ามีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือมีชีวิตเป็นอมตะ ข้าอาจช่วยเหลือสำนักหยกพิสุทธิ์ในระหว่างที่แสวงหาเป้าหมายนี้ได้ แต่จะไม่ละทิ้งเป้าหมายนี้เพราะสำนักหยกพิสุทธิ์เด็ดขาด”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง หลี่ชิงจื่อก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด
เหตุผลหลักที่เลือกมู่หรงฉี่กับสวินฉางอันก็เพราะพรสวรรค์ของทั้งสองคน
แม้ว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะเติบใหญ่เข้มแข็งมากขึ้น แต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์เทียบสองคนนี้ได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เจ้าสำนักที่แข็งแกร่งถึงจะสามารถนำพาสำนักหยกพิสุทธิ์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ หลี่ชิงจื่อรู้สึกแล้วว่าตนเองมีใจแต่ไร้กำลัง คุณสมบัติของเขาจำกัดขีดสูงสุดของเขาไว้
คนทั้งสองสนทนากันต่อ
ในระหว่างนี้ หานเจวี๋ยแอบลงตราประทับหกวิถีไว้ที่หลี่ชิงจื่อ
หลี่ชิงจื่อดีกับเขาไม่น้อย เขาก็เกิดความรู้สึกดีกับตัวหลี่ชิงจื่อ หากได้พบหลี่ชิงจื่อในภพหน้า เขาก็ยังยินดีจะช่วยเหลือสักหน่อย
สุดท้ายหานเจวี๋ยก็ยินยอมให้หลี่ชิงจื่อพามู่หรงฉี่ไปบ่มเพาะให้เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไป
ก่อนอีกฝ่ายจะไป จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ถามขึ้นมา “เจ้าสำนัก อายุขัยของเซียนซีเสวียนเป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่ชิงจื่อตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณสมบัติของศิษย์น้องหญิงสูงกว่าข้ามาก ก่อนหน้านี้ก็ได้รับโอกาสวาสนา การมีชีวิตอยู่อีกหลายร้อยปีคงไม่เป็นปัญหาอะไร นางเพิ่งกลับมา หากท่านไม่มีธุระอันใดก็ไปเยี่ยมเยียนนางได้”
เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรแต่ก่อนหานเจวี๋ยกับเซียนซีเสวียนก็เป็นศิษย์อาจารย์กัน
หานเจวี๋ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากหลี่ชิงจื่อไปแล้ว หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ถึงแม้สวินฉางอันจะแปลกใจที่มู่หรงฉี่ถูกหลี่ชิงจื่อนำตัวไป แต่หานเจวี๋ยอนุญาตแล้ว เขาจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
มู่หรงฉี่เองก็ไม่ปฏิเสธ พากเพียรฝึกฝนมานานขนาดนี้ เขารู้สึกเบื่อเล็กน้อยแล้ว ออกไปเล่นบ้างก็ไม่เลว
……
ห้าปีผ่านไป
ในที่สุดหญ้าโลกาสวรรค์ก็เกิดสติปัญญา ยังไม่สามารถคิดใคร่ครวญได้ แต่ก็นับว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว
ในเมื่อมีสติปัญญา ก็ไม่อาจปฏิบัติเหมือนมันเป็นหญ้าได้
หานเจวี๋ยตั้งชื่อให้มัน
หญ้าพยาบาท!
เจ้านี่มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นเทพเซียน เพื่อเป็นการฉลองสักเล็กน้อย หานเจวี๋ยจึงนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งจูเชวี่ยกับโม่โยวหลิง
ขณะที่สาปแช่งไปพลาง เขาก็เปิดดูค่าความสัมพันธ์เพื่ออ่านจดหมายไปพลาง
[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย]
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีมีผู้ทรงพลังช่วยเหลือ สามารถรอดพ้นความตายมาได้]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีมีผู้ทรงพลังช่วยเหลือ สามารถรอดพ้นความตายมาได้]
[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านตั้งตนเป็นใหญ่ เผชิญกับการล้อมปราบจากราชาปีศาจทั่วทิศ ได้รับบาดเจ็บสาหัส สามารถรอดพ้นความตายมาได้]
[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีของคนร่วมสำนัก] x17
[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ชะตาของสำนักมารปีศาจถดถอย ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติหิมะน้ำค้างแข็งในรอบหลายพันปี บาดเจ็บและล้มตายไปกว่าครึ่ง]
……
เอ๊ะ?
หยางเทียนตง โจวฝาน และโม่ฟู่โฉวถูกราชาปีศาจโจมตีติดต่อกัน ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือว่าจะถูกราชาปีศาจคนเดียวกันโจมตี?
หานเจวี๋ยลูบคางพลางครุ่นคิด รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก
เดิมทีหยางเทียนตงกับโจวฝานก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ออกไปนานหลายปีเช่นนี้ หากได้พบหน้า มีความเป็นไปได้มากว่าจะท่องโลกกว้างไปด้วยกัน
……………………………………….