บทที่ 232 ไท่ซู่เทียน นิกายเจี๋ย
หานเจวี๋ยรีบตรวจดูค่าความสัมพันธ์ทันที ก่อนจะหาไท่ซู่เทียนพบ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นรูปประจำตัวของดรุณีใบหน้างดงามนางหนึ่ง
[ไท่ซู่เทียน: ไม่ทราบตบะ การดำรงอยู่อันลึกลับที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์โอบอุ้มมา อาศัยอยู่ในวังหนี่ว์วาตลอดปี ฟังอริยบุคคลเทศนาธรรม ได้รับคำยุยงของอริยบุคคลโยนหินซ่อมฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ของวังสวรรค์ เสาะหาบุตรแห่งสวรรค์ที่ไม่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ เนื่องด้วยท่านหล่อหลอมหินซ่อมฟ้าจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ลบล้างดวงชะตาในอดีตของนาง ไท่ซู่เทียนจึงเกิดความสนใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ไม่ทราบตบะ อย่างต่ำก็จักรพรรดิเซียน!
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
อริยบุคคล…
อริยบุคคลของวังหนี่ว์วาก็ไม่ใช่หนี่ว์วาหรอกหรือ
ดูท่าเทพนิยายจีนอาจจะเป็นเรื่องจริง บางทีโลกก็คือมุมหนึ่งของบรรดาสวรรค์หมื่นโลกา
หานเจวี๋ยรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
ไท่ซู่เทียน ชื่อนี้ฟังดูแล้วยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จักรพรรดิสวรรค์จะยังคุ้มหัวเขาได้อีกหรือไม่
จะลองถามดูหน่อยดีหรือไม่
หานเจวี๋ยรีบนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาติดต่อตี้ไท่ไป๋
เพียงไม่นานตี้ไท่ไป๋ก็เชื่อมกับพลังจิตของหานเจวี๋ย ไม่ได้เมินเฉยต่อเขา
“มีเรื่องใดหรือ”
“ข้าขอพูดกับฝ่าบาทได้หรือไม่”
“พูดกับข้าก็เหมือนกัน วันหนึ่งฝ่าบาทจัดการเรื่องราวเป็นหมื่นๆ เรื่อง หากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอย่าได้รบกวนท่าน”
“ข้ามีเรื่องส่วนตัวอยากจะถาม”
“เรื่องส่วนตัว ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการสิ!”
หานเจวี๋ยลอบด่า ตี้ไท่ไป๋ก็ช่างกระตือรือร้นเสียจริง
“เราอยู่นี่”
จู่ๆ เสียงของจักรพรรดิสวรรค์ก็ดังขึ้น หานเจวี๋ยอึ้งไปในทันที
ตี้ไท่ไป๋ก็อึ้งไปเช่นกัน
ทั้งสองแอบด่าในใจพร้อมกันคนละประโยค
หานเจวี๋ย ‘เจ้ามีตาที่สามหรืออย่างไร’
ตี้ไท่ไป๋ ‘เขาคือโอรสแห่งจักรพรรดิสวรรค์หรือ’
ตี้ไท่ไป๋ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เขารีบตัดขาดการติดต่อของพลังจิตทันที
หานเจวี๋ยไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป แล้วค่อยติดต่อกับจักรพรรดิสวรรค์
“ฝ่าบาท ท่านรู้จักวังหนี่ว์วาหรือไม่” หานเจวี๋ยถามอย่างระมัดระวัง
จักรพรรดิสวรรค์ตรัสถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึงพูดถึงวังหนี่ว์วาขึ้นมาเล่า”
หานเจวี๋ยกล่าว “ที่ข้าได้รับสืบทอดมาเกี่ยวข้องกับวัฏจักร สำหรับเรื่องชะตาชีวิตข้าซาบซึ้งพอสมควร ก่อนหน้านั้นข้าเก็บหินได้ก้อนหนึ่ง คำนวณได้ว่ามาจากบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
จักรพรรดิสวรรค์นิ่งเงียบ
หานเจวี๋ยไม่ได้รับคำตอบในทันที ใจของเขาจึงร่วงตุบในทันใด
‘แย่แล้ว คนหนุนหลังใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้วหรือ’
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวว่า “หรือว่าหินก้อนนั้นจะเป็นหินซ่อมฟ้า”
หานเจวี๋ยถามด้วยความฉงน “สิ่งใดคือหินซ่อมฟ้า”
“ไม่มีอะไร เจ้าตั้งใจฝึกฝนเถิด เจ้าเป็นคนของเรา วังหนี่ว์วาไม่อาจพุ่งเป้าไปที่เจ้าได้ วังหนี่ว์วาไม่เคยช่วงชิงชื่อเสียงและผลประโยชน์มาก่อน”
“ฝ่าบาท ระมัดระวังไว้หน่อยจะดีกว่า จิตใจคนเปลี่ยนแปลงได้นะพ่ะย่ะค่ะ
“อืม เรามีแผนในใจแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“เช่นนั้นไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว”
“รอจนเจ้าบรรลุเซียนทองขั้นสมบูรณ์ ก็สามารถมาหาข้าที่วังสวรรค์ได้ ข้าจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
หานเจวี๋ยประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับดูถูกเหยียดหยาม
‘หึ! อยากล่อข้าให้ขึ้นสวรรค์หรือ
ไม่มีทาง!
ดูท่าจักรพรรดิสวรรค์ก็ถูกมรรคาส่งมาเพื่อทำลายจิตมรรคของข้าสินะ?’
จุดจบของยอดแม่ทัพเทพก็เห็นอย่างชัดแจ้ง ดูเหมือนมีลักษณะน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วเป็นคนทำงานหนัก เหนื่อยเกินไปแล้ว
สามารถตอบแทนบุญคุณวังสวรรค์ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นลาที่ทุ่มอย่างสุดกำลัง
หานเจวี๋ยลุกเดินออกจากถ้ำเทวามาตรงหน้าต้นฝูซัง
ดูๆ แล้วน้ำเต้าทั้งแปดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านั้นเลย เมื่อหานเจวี๋ยใช้พลังจิตกวาดดู ก็จับคลื่นวิญญาณที่อ่อนแอของพวกมันได้
มีวิญญาณแล้ว ก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต
ไม่เลวๆ!
หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว “น้ำเต้าทั้งแปดกลายเป็นภูตไปแล้ว เวลาปกติพวกเจ้าก็ดูแลให้มากหน่อย”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นมาห้อมล้อม
หานเจวี๋ยดูอยู่ครู่หนึ่งก็กลับไป
ภูตน้ำเต้ายากที่จะแปลงกายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ ยังต้องรอคอยสักระยะหนึ่ง
เพื่อเฉลิมฉลองเรื่องนี้ หานเจวี๋ยจึงนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบสอบจดหมายไปด้วย
[พุทธาเทพฟ้าพิโรธศัตรูคู่อาฆาตของท่านเนื่องด้วยการสาปแช่งของท่าน จิตพุทธะแตกร้าว มารในใจเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นพุทธามาร]
[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกคุมขังอยู่ในคุกใหญ่คุมชะตา]
[โจวฝานสหายของท่านสังหารตระกูลบำเพ็ญตบะตระกูลหนึ่ง แรงกรรมเพิ่มพูน]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมจีจากผู้บำเพ็ญ] x15033
[จี้เซียนเสินสหายของท่านรู้แจ้งพลังวิเศษ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[จั้งกูซิงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนวังเทพ]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านสดับมรรคในนิกายเจี๋ย พลังมรรคเพิ่มพูน]
……
น่าเสียดาย ราชามังกรโฉดไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยจึงไม่รู้แน่ชัดว่าราชามังกรโฉดถูกสาปแช่งเป็นอย่างไรบ้าง
‘ทุกๆ สิบปีใช้เวลาสาปแช่งห้าวันก็ไม่เป็นไร’
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
สำหรับโอกาสวาสนาของเซวียนฉิงจวินนั้น หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
นิกายเจี๋ยเป็นปรปักษ์กับวังสวรรค์ หากเจอเซวียนฉิงจวินในภายหน้าจะเกิดภาพเหตุการณ์เช่นไรกัน
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ตบะของเซวียนฉิงจวินบรรลุถึงระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์แล้ว
การทะลวงระดับนี้นับว่าเร็วแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้รับโอกาสวาสนาจากนิกายเจี๋ย
หลังจากสาปแช่งไปได้ครึ่งปี หานเจวี๋ยก็ฝึกฝนต่อ
ไม่ว่าอย่างไร จังหวะการบำเพ็ญก็ไม่อาจยุ่งเหยิงได้!
……
ในอารามเต๋าแห่งหนึ่ง เซวียนฉิงจวินสวมชุดนักพรตเต๋ากำลังนั่งสมาธิอยู่บนเบาะพร้อมกับศิษย์นิกายเจี๋ยหลายท่าน หน้ารูปเทวะที่อยู่ตรงหน้าพวกนางมีแม่ชีเต๋านั่งอยู่ท่านหนึ่ง
สีหน้าแม่ชีเต๋าเรียบเฉย เอ่ยปากกล่าว “หลังการเทศนาธรรมครั้งนี้สิ้นสุดลง พวกท่านกลับไปตั้งใจฝึกฝน ห้ามออกไปจากเกาะ”
“เจ้าค่ะ!”
บรรดาศิษย์ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นคารวะ และเตรียมที่จะจากไป
“เซวียนฉิงจวินอยู่ก่อน”
แม่ชีเต๋าเอ่ยปากกล่าว เมื่อได้ยินเช่นนี้เซวียนฉิงจวินก็จำต้องนั่งลงอีกครั้ง
นางนั่งรออาจารย์พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
แม่ชีเต๋าเอ่ยปากกล่าวว่า “เจ้าเข้าร่วมนิกายเจี๋ยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เคยมีคู่บำเพ็ญเพียรหรือไม่”
เซวียนฉิงจวินตอบ “ศิษย์มีคู่บำเพ็ญเพียรตอนอยู่ในโลกมนุษย์ คุณสมบัติของเขาโดดเด่น ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์ บางทีอาจจะสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์แล้ว”
ได้ยินเช่นนี้แม่ชีเต๋าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวด้วยความเสียดาย “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ อาจารย์เพียงอยากจะแนะนำคู่บำเพ็ญเพียรให้เจ้า น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
เซวียนฉิงจวินยิ้มเล็กน้อย
“เมื่อนานมาแล้ว นิกายเจี๋ยแตกพ่ายท่ามกลางมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต ศิษย์จำนวนมากถูกขังอยู่ในวังสวรรค์ เจ้าเตรียมตัวให้ดี อีกไม่นานนิกายเจี๋ยจะบุกจู่โจมวังสวรรค์” แม่ชีเต๋ากล่าวต่อ
เซวียนฉิงจวินได้ยินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “นิกายเจี๋ยจะสู้วังสวรรค์ได้หรือ”
นางมานิกายเจี๋ยได้สักระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าแม้นิกายเจี๋ยจะมีผู้ทรงพลัง แต่จำนวนศิษย์ก็มีน้อยจริงๆ
แม่ชีเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าประเมินนิกายเจี๋ยต่ำเกินไป ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์มาเผชิญหน้ากับเจ้านิกายของพวกเรา ยังต้องเรียกว่าผู้อาวุโสเลย เกาะสมุทรที่พวกเราอยู่นี่เป็นเพียงหนึ่งในแสนของเกาะสมุทรนิกายเจี๋ย ศิษย์ส่วนมากรวมตัวอยู่ที่เกาะเซียนเผิงไหล”
เซวียนฉิงจวินเข้าใจในฉับพลัน ในใจนางยิ่งรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับนิกายเจี๋ยมากยิ่งขึ้น
นิกายเจี๋ยคือกลุ่มอิทธิพลเช่นใดกันแน่
…..
สามสิบปีต่อมา
ภูตน้ำเต้าแปดลูกเริ่มพูดได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ลงพื้นแปลงกายเป็นมนุษย์
ภูตน้ำเต้าพิภพเซียนทั้งเจ็ดถูกหานเจวี๋ยตั้งชื่อให้เป็นหานอี[1]ถึงหานชี[2] ส่วนภูตน้ำเต้าฟ้าบุพกาลก็ถูกขนานนามว่าหานปา[3]
ชื่อนั้นเรียบง่ายมาก และก็จดจำง่ายด้วย
บรรดาศิษย์รู้สึกหมดคำพูดกับชื่อเหล่านี้ แต่ไม่กล้าโต้แย้งอะไร
ภูตน้ำเต้ายังไม่เข้าใจความหมายของชื่อ ดังนั้นจึงไม่สนใจ
ในช่วงหลายปีมานี้ ตบะของภูตน้ำเต้าทั้งแปดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ที่พวกเขาดูดซับคือไอเซียนไม่ใช่พลังวิญญาณ
หานปาที่อ่อนแอที่สุดก็ก้าวสู่ระดับมหายานในก่อนหน้านั้นไม่นาน
พรสวรรค์ของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์เหล่านั้นของหานเจวี๋ยเสียอีก เมื่อเทียบกับหลงเฮ่าและฉู่ซื่อเหรินก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าใครหนือกว่า
วันนี้ ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกฝนอยู่ จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น
เขาขมวดคิ้วกล่าวพึมพำ “กลิ่นอายนี้คือ…”
ขณะเดียวกันนั้น!
เหนือผืนน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ไกลๆ ปรากฏรอยแยกของท้องนภา อัสนีสวรรค์ทอประสานสลับไปมา ท่ามกลางรอยแยกมืดมิดไปทั้งแถบ ราวกับหุบเหวลึกเก้าโลกันตร์
……………………………………….
[1] อี (一) ในภาษาจีนแปลว่า หนึ่ง
[2] ชี (七) ในภาษาจีนแปลว่า เจ็ด
[3] ปา (八) ในภาษาจีนแปลว่า แปด