เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในชั้นสูง ย่อมสามารถแทรกซึมเข้าไปในกระแสความคิดของผู้คน หรือล้วงเอาข้อมูลที่ต้องการออกมา
แต่ว่าผู้คนที่ถูกแทรกแซงเข้าไปในกระแสความคิด ก็จะต้องทนรับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ราวกับมีเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทง ระดมกันปักเข้าไปในสมองอย่างไรอย่างนั้น
จีเฉวียนขมวดคิ้ว เขาไม่มีความอดทนที่จะค่อยๆซักถามพวกมันทีละนิดทีละหน่อยอีกต่อไป จึงเปลี่ยนเป็นใช้วิธีแทรกแซงเข้าไปในกระแสความคิดของพวกมันเพื่อล้วงเอาข้อมูลที่ต้องการทราบออกมา
เพียงครู่เดียว ศีรษะของทั้งหมดของพวกมารในบ้านหินก็ระเบิดออก
พวกมันไม่อาจทนรับกระแสพลังของจีเฉวียนเอาไว้ได้ สมองระเบิดออกมาเป็นน้ำพุ กระจายไปทั่วพื้น
กลายเป็นฉากสยดสยองที่อาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด จีเฉวียนปลดผ้ามัดผมสีม่วงลงมา ปิดลงไปบนดวงตาของตู๋กูซิงหลันอย่างคุ้นเคย
เขาไม่เคยต้องการให้นางได้เห็นภาพเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่อยากจะให้ซิงซิงเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา
ตู๋กูซิงหลันที่นั่งอยู่บนตักของเขาอย่างว่าง่ายมาตลอด ก็ชักจะง่วงบ้างแล้ว นางจึงปิดตาลงอย่างเชื่อฟังแล้วหลับลงไปในอ้อมแขนของเขา เพียงครู่เดียวก็ส่งเสียงกรนเบาๆออกมา
จีเฉวียนก้มศีรษะลงมองดู ริมฝีปากสีแดงของสาวน้อยก็เผยอออกมา มุมปากยังมีน้ำลายเป็นประกาย นางหลับสนิทไปเสียแล้ว
เขายิ้มอ่อนๆ แววตาและหางคิ้วมีเค้าความอ่อนโยน
แต่ยามที่เงยหน้าขึ้นมา มองดูเหล่ามาร ก็กลายเป็นแววตาที่เย็นเฉียบเสียดกระดูก
หมอกสีดำยังคงแทรกซึมเข้าไปในความนึกคิดของพวกมัน ในที่สุดก็ได้คำตอบออกมาแล้ว
ในกระแสความคิดของพวกมัน จีเฉวียนมองเห็นคนผู้หนึ่ง เป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง และร่างที่ซ่อนอยู่ในหมอกควันสีดำอย่างมิดชิดเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังจะมองดูให้ชัดเจน พวกมารก็พากันกรีดร้องออกมา แต่ละคนศีรษะระเบิดออกตรงหน้าเขา ขาดใจตายลงไปกับพื้นตรงนั้นเอง
ทั่วทั้งบ้านกลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพของพวกมาร กำจายกลิ่นเหม็นที่ยากจะทนทานบางอย่างออกมา
ทันทีที่พวกมันตายกันหมด แสงสว่างจากผลึกส่องมารในอกของจีเฉวียนก็พลันจางหายไป
เขาหรี่ดวงตาลง โบกมือออกไปก็เก็บซากศพเหล่านั้นลงไผในถุงเฉียนคุนในทันที จากนั้นสองมือก็โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันที่กำลังหลับสนิทจากไปจากที่แห่งนั้น
………………….
ถนนทิศเหนือ ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิดไปหมดแล้ว
จากไปนานถึงหนึ่งปี ตู๋กูเจวี๋ยกลับมาในครั้งนี้ ก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง จึงได้เชื้อเชิญทั้งผู้ใหญ่และเด็กในบ้านมาร่วมกินอาหารด้วยกันที่โรงเตี้ยมเพียวเซียงโหล
ขาดเพียงไม่ได้เชิญตู๋กูซิงหลันคนเดียวเท่านั้น เมื่อบ่ายนี้เขาจงใจเข้าวังไป คิดจะพาน้องสาวออกมากินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ว่าน้องเล็กกลับไม่สนใจ
เขาก็ไม่บีบบังคับ จุดประสงค์หลักของเขาคือต้องการได้สนทนากับท่านตาและพี่ใหญ่เท่านั้น จะได้บอกเล่าประสบการณ์ในหนึ่งปีที่ผ่านมาให้พวกเขาได้ฟังกัน
ช่างพอดีเสียจริง ขณะที่ไปเชิญพี่ใหญ่นั้น ตู๋กูจุนก็เผอิญได้เจอกับหยวนเฟยที่นั่นด้วย
ในความทรงจำของเขา ที่ผ่านมาหยวนเฟยไม่ค่อยเคารพกฎระเบียบสักเท่าไหร่ แต่ว่าครั้งนี้พอได้พบหน้าหยวนเฟยก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก แม้แต่เสื้อผ้าแบบชาวหนานเจียงที่นางเคยสวมใส่มาโดยตลอดก็ยังถูกเปลี่ยน กลายเป็นยอมสวมใส่ผ้าไหมแพรพรรณอย่างที่สตรีในต้าโจวนิยมสวมใส่อย่างว่าง่าย
นับตั้งแต่ที่จีเฉวียนชำระวังหลังปลดปล่อยคนออกไป หยวนเมิ่งก็ย้ายมาอยู่ข้างกายตู๋กูจุนมาโดยตลอดตู๋กูจุนก็ประกาศต่อภายนอกออกไปว่า หยวนเมิ่งคือน้องสาวบุญธรรมคนใหม่ของเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองออกจะคลุมเครืออยู่บ้าง
ตู๋กูเจวี๋ยดูอย่างไรก็รู้สึกว่าแปลกๆอยู่
และคืนนี้ หยวนเมิ่งก็มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
เมื่อมีสตรีอยู่ด้วย ตู๋กูเจวี๋ยจะมากจะน้อยก็รู้จักเก็บงำคำพูดคำจาลงไปบ้าง เรื่องราวบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเล่าลึกถึงรายละเอียด จึงเพียงพูดคุยเรื่องธรรมดาทั่วๆไปกับท่านผู้เฒ่าและพี่ใหญ่เท่านั้น
ช่างบังเอิญแท้ พึ่งจะรับประทานอาหารไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ได้เห็นองค์หญิงใหญ่เสด็จมา
องค์หญิงใหญ่เสด็จมาพร้อมกับซุ่นเอ๋อร์ และนั่งอยู่ในห้องติดกับพวกเขาพอดี
เมื่อทั้งสองฝ่ายได้พบกัน ก็ย่อมไม่อาจละเลยที่จะทักทายปราศัยกันตามสมควร
แถมซุ่นเอ๋อร์ยังเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดี เป็นฝ่ายโผเข้ามาก่อน พอมองเห็นตู๋กูจุนก็ร้องทักอย่างอ่อนหวานว่า “พี่ใหญ่ของท่านยายน้อย”
ตู๋กูเจวี๋ยกำลังจะดื่มน้ำชา ก็เกือบจะสำลักออกมาแล้ว “เจ้านี่เรียกอะไรพิเรนท์จริงๆ?”
ในความทรงจำของเขา แม่เด็กน้อยผู้นี้เกรงกลัวพี่ใหญ่มากมิใช่หรือ แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นเรียกอย่างสนิทสนมขนาดนี้ขึ้นมา?
ซุ่นเอ๋อร์โคลงศีรษะมองดูเขา “ท่านก็คือพี่ชายรองของท่านยายน้อย มีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซุ่นเอ๋อร์เรียกตู๋กูซิงหลันเป็นท่านยายน้อยของนางมาโดยตลอด เช่นนี้แล้วจะเรียกพวกเขาอย่างนั้นบ้างก็ดูจะไม่ผิดอะไร
“อย่างไรก็ได้ สาวน้อย คารมเจ้าช่างหวานนัก มาสิ พี่ชายรองของท่านยายน้อยจะให้ลูกอม”
ตู๋กูเจวี๋ยพูดพลางก็ล้วงเอาลูกอมถั่วออกมาจากในอกเสื้อ ส่งให้เด็กหญิงน้อย
เด็กหญิงตัวน้อยสูงขึ้นมากแล้ว รูปโฉมก็คล้ายคลึงกับองค์หญิงใหญ่
“ ขอบพระคุณพี่ชายรองของท่านยายน้อย” ซุ่นเอ๋อร์รับลูกอมไปอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ไปยืนอยู่ที่ข้างกายตู๋กูจุน กึ่งจะไปเบียดหยวนเมิ่งที่อยู่ข้างๆออกไป
ในตอนนั้นเอง องค์หญิงใหญ่ก็เสด็จเข้ามา สีหน้าของนางมีแววขออภัย นางหันไปกวักมือเรียกซุ่นเอ๋อร์ “ทำไมถึงไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้ รีบมานี่เร็วเข้า”
ซุ่นเอ๋อร์กลับคว้าแขนเสื้อของตู๋กูจุนเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันเกิดของซุ่นเอ๋อร์ ซุ่นเอ๋อร์อยากให้มีพี่ใหญ่ของท่านยายน้อยอยู่ด้วย”
นางพูดพลางก็กระตุกแขนเสื้อของตู๋กูจุนไปพลาง ท่าทางทั้งน่ารักน่าสงสารชวนให้ผู้คนเอ็นดู
องค์หญิงใหญ่ยิ่งรู้สึกขัดเขินกว่าเดิม นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยสาวเท้าเข้าไปยังทางที่ตู๋กูจุนอยู่
พอห่างจากตู๋กูจุนช่วงใหญ่ก็หยุดเท้าลง
นางมิได้เอ่ยปาก ตู๋กูจุนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “องค์หญิง หากมิทรงรังเกียจ ก็ขอเชิญร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราสักมื้อเถอะ ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของซุ่นเอ๋อร์ ก็สมควรครึกครื้นกันสักหน่อย”
องค์หญิงใหญ่กำลังจะเอ่ยปาก ซุ่นเอ๋อร์ก็รีบชิงพูดก่อนว่า “ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ ซุ่นเอ๋อร์อยากทานข้าวกับพี่ชายใหญ่ของท่านยายน้อย ยังมีท่านตาของท่านยายน้อย พี่รองของท่านยายน้อยด้วย! ขอร้องเถอะนะเจ้าคะท่านแม่~”
“องค์หญิงใหญ่ เด็กน้อยขอร้องจนถึงขนาดนี้แล้ว ท่านก็รับปากเถอะ แค่รับประทานอาหารสักมื้อ ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร” ตู๋กูจุนที่อยู่ด้านข้างก็ช่วยพูด
เขาถูกใจเด็กหญิงตัวน้อยอย่างซุ่นเอ๋อร์นัก ขาวๆนุ่มๆ เหมือนน้องเล็กในยามเด็กไม่มีผิด
ท่านผู้เฒ่าเองก็ออกปากอนุญาตเช่นกัน ทั้งยังลุกขึ้นมายกที่นั่งให้
องค์หญิงใหญ่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงได้แต่นั่งลงไป
ตำแหน่งนี้พอดีอยู่ที่ด้านขวามือของตู๋กูจุน ทั้งยังใกล้กันอย่างยิ่ง
……………………