บทที่ 390 อีกาทองเข้ารีตมาร เข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์
เจียงอี้กล่าวอย่างมีเหตุผลมากจนหานเจวี๋ยรู้สึกผิดที่คาดคั้นเอาความจากเขา
หานเจวี๋ยไม่ต้องการเปิดเผยที่อยู่ของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ตาม
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ถ้าเผ่าเทพอีกาทองเรียกตัวเจ้ากลับ เจ้าจะกลับไปหรือไม่”
เจียงอี้ตอบโดยไม่ลังเล “ไม่กลับ ข้าจะฝึกเต๋า ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเผ่าเทพอีกาทอง!”
เขามาอยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้นมาระยะหนึ่งแล้ว และค้นพบว่าโอกาสวาสนา ต้นฝูซัง และต้นโพธิ์สรรพสิ่งของที่นี่ล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบำเพ็ญ อีกทั้งยังมีแบบจำลองการทดสอบที่ช่วยพัฒนาทักษะการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไร ไม่จำเป็นต้องทำภารกิจหรือมอบสิ่งใดให้ บางครั้งบางคราหานเจวี๋ยก็แวะเวียนมาแสดงโอวาทอีกด้วย! อยู่ที่นี่ช่างแสนสุขสำราญ!
อีกทั้งเจียงอี้เองก็ไม่อยากกลับไปเผ่าเทพอีกาทอง เขาไม่มีความรู้สึกกดดันที่มาจากการแข่งขันในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่ออยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้น เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดัน ซึ่งทำให้เขาฝึกบำเพ็ญจนมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไม่อยากอ่อนแอกว่าผู้อื่น
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ “เจ้าเด็กนี่มีอนาคตแฮะ”
เจียงอี้เบะปาก
นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดจู่ๆ เขาถึงรู้สึกว่าตนเองอายุอ่อนกว่าหานเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว
เมื่อก่อนเขามองว่าหานเจวี๋ยเป็นน้องชายที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ แต่มาบัดนี้ เขากลับเกิดรู้สึกหวาดกลัวหานเจวี๋ยไปเสียได้
ตัวของเจียงอี้เองเมื่อนึกย้อนกลับมาก็รู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อ แต่นี่ก็พิสูจน์ว่าความฉลาดของหานเจวี๋ยนั้นน่ากลัวเพียงใด
พลังที่แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือคนที่มีพลังแข็งแกร่งและยังรู้จักอดทนอดกลั้น!
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เผ่าเทพอีกาทองก้าวสู่เคราะห์กรรมแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีใดเพื่อติดต่อเจ้า ก็จงอย่าได้สนใจ ต่อให้เผ่าเทพอีกาทองจะสูญสิ้น แต่ขอเพียงเจ้า เจ้าใหญ่ และเจ้ารองยังมีชีวิต เผ่าเทพอีกาทองย่อมมีความหวังจริงหรือไม่ การหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมในตอนนี้ของพวกเจ้า ก็เป็นการพยายามเพื่ออนาคตของเผ่าเทพอีกาทอง”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างแรง
ไร้ยางอายซะไม่มี! กล้าพูดเรื่องขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ออกมาได้อย่างหนักแน่น แม้แต่เจียงอี้ก็ยังคล้อยตาม ความรู้สึกผิดที่มีต่อเผ่าเทพอีกาทองในใจก็เบาบางลงเล็กน้อย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดในหัวของเจียงอี้เท่านั้น เขาไม่กล้าพูดออกไป
หานเจวี๋ยโบกมือให้เขาออกไป
เจียงอี้ทำท่าจะพูดบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจากไป
เขาอยากให้หานเจวี๋ยเล่าเรื่องให้ฟัง แต่พอคำพูดมาอยู่ที่ปาก กลับไม่กล้าเอ่ยออกไป
การแทรกแซงของเผ่าเทพอีกาทองทำลายความสงบสุขของแดนชำระบาปเก้าขุม อีกาทองพวกนั้นไม่สามารถอยู่เฉยๆ อย่างสงบเสงี่ยมได้ จะต้องเดินไปทั่ว ท้องฟ้าเหนือเกาะสำนักซ่อนเร้นมีอีกาทองบินว่อนไปมาอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เจ้าใหญ่และเจ้ารองเห็นอีกาทอง ดวงตาก็ฉายแววอันซับซ้อนออกมา
พวกมันคืออีกาทองที่ถูกเนรเทศออกมาจากเผ่า ความรู้สึกที่มีต่อเผ่าเทพอีกาทองจึงซับซ้อนอย่างยิ่ง
หลังจากไปๆ มาๆ อยู่หลายปี เผ่าเทพอีกาทองก็เริ่มที่จะไม่ออกไปข้างนอกอีก
สามสิบสองปีผ่านไปอีกครา
ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าไม่น้อย กระแสแรงกรรมที่โอบล้อมรอบเกาะสำนักซ่อนเร้นก็กระจายวงกว้างออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้ๆ
ช่วงนี้เผ่าวิหคชาด เผ่าเทพอีกาทอง และนิกายเจี๋ยสมัครสมานสามัคคีกันมาก จนดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อหลีกหนีเคราะห์กรรมจริงๆ
อยู่มาวันหนึ่ง
หานเจวี๋ยอ่านจดหมายขณะฝึกบำเพ็ญ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นจดหมายแจ้งเตือนฉบับหนึ่ง
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเข้ารีตมาร ดวงชะตาเกิดการเปลี่ยนแปลง]
‘เข้ารีตมาร? นี่มันเรื่องอะไรกัน’ หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ตี้หล่านเทียนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นถึงอีกาทองศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไปเข้ารีตมารได้
มารที่ว่าคงไม่เกี่ยวข้องกับเผ่ามารใช่หรือไม่
หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจทันที “เหตุใดตี้หล่านเทียนถึงเข้ารีตมาร”
ตี้หล่านเทียนอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุม หานเจวี๋ยต้องระแวดระวังเอาไว้ก่อน
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
หานเจวี๋ยไม่ได้ใช้ความสามารถมานาน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ภาพลวงตาวิวัฒนาการก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตรับรู้ของเขาและฉายภาพออกมา
มันเป็นสถานที่ลึกลับอันมืดสลัวแห่งหนึ่ง ตี้หล่านเทียนกลายร่างเป็นอีกาทองยักษ์สามขาที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา เขาเป็นดั่งดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งเดียวที่สาดส่องในพื้นที่แห่งนี้
หานเจวี๋ยยืนอยู่เบื้องหน้าตี้หล่านเทียน และเงยหน้าขึ้นมองเขา
ชายผู้นี้กำลังทำอะไร
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสายตาของตี้หล่านเทียน เขาหันไปมองและพบว่าท่ามกลางความมืดมิดมีดวงตาที่แสนเย็นชาและน่าขนลุกอยู่คู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นี้มหึมายิ่งกว่าตัวของตี้หล่านเทียน มันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกคุกคามอย่างรุนแรง
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงชื่อชื่อหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
บรรพชนมาร!
เจ้าพ่อคนนี้เข้ามาในวิสัยทัศน์ของหานเจวี๋ยตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนหน้านี้ ณ โลกเขย่าพิภพ บรรพชนมารก็ได้วางแผนการซึ่งส่งผลให้วังสวรรค์ทำลายล้างโลก ผ่านไปหลายพันปีหลังจากนั้น บรรพชนมารและเผ่ามารก็ดูเหมือนว่าจะหยุดมือไปและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
ตี้หล่านเทียนกล่าวเนิบๆ “ข้าจำเป็นต้องร่วมมือกับเจ้าด้วยหรือ”
“จำเป็นสิ ต่อให้เจ้าร่วมมือกับเฮ่าเทียน เจ้าก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ย่อยยับ แม้แต่ศิษย์เอกนิกายเหรินเจ้ายังเอาชนะไม่ได้ และเจ้าจะพิชิตมหาเคราะห์ได้อย่างไร แม้ว่าระฆังบรรพกษัตริย์จะทรงพลัง แต่ตบะของเจ้าไม่ใช่ เจ้าไม่ทางสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้”
ดวงตาที่แสนเย็นชาตอบกลับ ฟังไม่ออกว่าในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยอารมณ์เช่นใด
ตี้หล่านเทียนนิ่งเงียบ
เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้กับวังสวรรค์ก่อนหน้านี้ เขาถูกโจมตีอย่างหนัก
ดวงตาแสนเย็นชาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “มหาเคราะห์เริ่มต้นขึ้นมาได้นับพันปีแล้ว แรงกรรมของแดนเซียนเองก็สั่งสมมาจนถึงระดับหนึ่งเช่นกัน ต่อจากนี้ต่างหากคือโลกแห่งมหาสงครามที่แท้จริง ต้าหลัวธรรมดาไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมชิงชัย จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนผู้อยู่เบื้องหลังวังสวรรค์จะลงสนามด้วยตนเอง วังหนี่ว์วาผู้หนุนหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์เองก็จะลงมือเช่นกัน เจ้าต้องเลือกผู้อุปถัมภ์ แม้ว่าข้าจะถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ แต่ข้านี่แหละคือผู้ที่ช่วงชิงชัยชนะมาจากบรรพชนเต๋า”
ตี้หล่านเทียนจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ถามเสียงต่ำว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเผ่าเทพอีกาทองจะไม่ตกเป็นหุ่นเชิดของเผ่ามาร”
‘นี่มันบรรพชนมารเชียวนะ!’ หานเจวี๋ยเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจลึกๆ แม้แต่เผ่ามารก็ยังต้องก้าวสู่เคราะห์กรรม
บรรพชนมารแค่นเสียงกล่าว “มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์ผ่านมาถึงขนาดนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะครองมรรคาสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ แท้จริงแล้วเป็นเพียงทาสที่อริยะหลอกใช้ความศรัทธา เป็นสัตว์ที่เทพเซียนเลี้ยงดูเอาไว้เพื่อรับประกันสถานะของตนเท่านั้น สิ่งที่มรรคาสวรรค์ต้องการจริงๆ คือความกลมเกลียวของสรรพสิ่งก็เท่านั้น แต่หากเผ่ามารและเผ่าเทพอีกาทองร่วมมือกันก็จะสามารถควบคุมแดนเซียนได้ โจมตีแดนเทพหวนปัจฉิม บุกเบิกแดนต้องห้ามอันธการ แทนที่จะห้ำหั่นกันเอง สู้มาจับมือเป็นพันธมิตรตราบนิจนิรันดร์จะดีกว่า”
“ขอเพียงเจ้ายอมรับ ข้าจะให้เจ้าหยิบยืมพลังของข้า ทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานรองจากอริยะ!”
แววตาของตี้หล่านเทียนแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
จากนั้นภาพก็ขาดช่วงไป
หานเจวี๋ยหวนคืนสติกลับมา คิ้วขมวดแน่น
ตี้หล่านเทียนเข้ารีตมาร ก็แสดงว่าตอบรับบรรพชนมารไปแล้ว
จากคำพูดของบรรพชนมารสามารถอนุมานได้ว่า จุดสูงสุดของมหาเคราะห์กำลังจะมาถึง หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือการเข่นฆ่าที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หานเจวี๋ยทำได้เพียงภาวนาให้กับวังสวรรค์
วังสวรรค์เคยต่อสู้กับเผ่ามารมาก่อน อีกทั้งยังเอาชนะตี้หล่านเทียนมาได้ ตี้หล่านเทียนต้องมุ่งเป้าโจมตีวังสวรรค์อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจใช้ความฝันอันธการ เข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์
เขาใช้ภาพลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
แดนความฝันเป็นทะเลแห่งปุยเมฆ หานเจวี๋ยยืนอยู่ตรงกันข้ามกับจักรพรรดิสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์มีท่าทีงุนงนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดสายตามายังหานเจวี๋ย เอ่ยพลางหรี่ตามอง “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการงั้นหรือ”
เขาดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิด
หานเจวี๋ยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธแต่กล่าวว่า “ตี้หล่านเทียนได้รับพลังจากบรรพชนมาร”
จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ในใจบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเต็มเปี่ยม
ความหวาดกลัวนี้ไม่ได้มาจากตี้หล่านเทียนหรือบรรพชนมาร แต่มาจากบุคคลลึกลับตรงหน้าที่ถูกสงสัยว่าเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!
สามารถบังคับให้เขาให้เข้ามาอยู่ในความฝันได้ ฝีมือขั้นนี้นับว่าอัศจรรย์ยิ่ง!
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิเศษที่เยี่ยมยอด หรือตบะของอีกฝ่ายที่สูงกว่าเขาก็ดี!
ไม่ว่าจะเป็นอะไร จักรพรรดิสวรรค์ก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
…………………………………………