ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 457 ฆ่าหรือไม่ฆ่า ปิดฉากมหาเคราะห์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 457 ฆ่าหรือไม่ฆ่า ปิดฉากมหาเคราะห์

“ฮึ่ม โอหังนัก!”

หม่าเชาตะโกนด้วยความโกรธ พุ่งเข้าไปในวังวนมิติทันที

น้ำเสียงเย้ยหยันแว่วขึ้นมาอีกครั้ง “เซียนทองต้าหลัวรึ ไม่แปลกเลยที่สามารถมีเขตอาคมเช่นนี้ได้ แต่ยังไม่พอหรอก ที่นี่ต้องเป็นของข้า!”

เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นได้ยินวาจาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหม่ากังวลขึ้นมา

เกาะสำนักซ่อนเร้นตัดขาดจากโลกภายนอกมานานเหลือเกิน เป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกหวั่นวิตกอยู่บ้าง

เวลานี้ จ้าวอวิ๋นพลันก้าวเข้าสู่วังวนมิติ

เวลาผ่านไปไม่ถึงสามช่วงลมหายใจ

“เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าเป็นผู้ใด”

“สหายเต๋า! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูดสองประโยคนี้ ชาวสำนักซ่อนเร้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พากันหัวเราะออกมา

ไก่คุกรัตติกาลสบถว่า “แค่นี้หรือ ทำข้าตกใจจนขนลุกไปหมด!”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นร้องขึ้นมา “ผู้อาวุโสจ้าวอวิ๋นเก่งกาจนัก ต่อไปนี้เขาคือลูกพี่ของข้า!”

คนอื่นๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาเช่นกัน

จ้าวอวิ๋นหิ้วตัวชายผมขาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากวังวนมิติ หม่าเชาเดินตามหลังออกมาติดๆ

ชายผมขาวขดตัวเข้าหากัน ราวกับถูกเชือกที่มองไม่เห็นผูกมัดเอาไว้ จ้าวอวิ๋นโยนเขาไว้บนกิ่งไม้

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจดูตบะของคนผู้นี้

[อู๋เต้า: เซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ ผู้บำเพ็ญอิสระเผ่ามนุษย์]

หืม?

ไม่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่สินะ

หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที

อู๋เต้าสามารถสะกดข่มหม่าเชาที่มีตบะเท่าจู่ถูได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ต้องทราบก่อนว่าจู่ถูคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในมหาเคราะห์แดนเซียน ซึ่งเท่ากับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในระดับต้าหลัว

จะจัดการอย่างไรดี

ปล่อยไปไม่ได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วตำแหน่งที่ตั้งของวังวนมิติอาจจะถูกเปิดเผย

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปหาจ้าวอวิ๋น

จ้าวอวิ๋นก้มมองอู๋เต้า ดางตาปรากฏเจตนาสังหาร อู๋เต้าหวาดกลัวจนรีบตะโกนดังลั่น

“ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว! ข้าก็ถูกตามล่าอยู่เช่นกัน จนตรอกไร้หนทางแล้ว ปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไม่กลับมาอีกอย่างแน่นอน!”

“ไม่ปล่อยข้าไปก็ได้ ข้ายอมเป็นทาส อย่าสังหารข้าเลย!”

ยิ่งมีตบะสูงเท่าไร ก็ยิ่งรักชีวิตมากเท่านั้น ดูเหมือนอู๋เต้าจะไม่มีวิธีรักษาชีวิตหนทางอื่นเหลืออยู่แล้ว ท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง

จ้าวอวิ๋นหิ้วอู๋เต้าไว้แล้วเหาะเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน จากนั้นก็กลับไปที่ต้นฝูซังตามลำพัง

เหล่าศิษย์ต่างไม่รู้สึกเป็นห่วงหานเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย กลับเริ่มพูดคุยกันแล้วว่าอู๋เต๋าจะรอดหรือไม่

ลี่เหยากล่าวว่า “ดีที่สุดคือฆ่าทิ้งเสีย ตัดปัญหาในอนาคต”

ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างเหี้ยมเกรียมเหลือเกิน”

อู้เต้าเจี้ยนแค่นเสียง “มิใช่ว่าเมื่อครู่คนผู้นั้นโอหังยิ่งนักหรอกหรือ หากพวกเราสู้เขาไม่ได้ เจ้าคิดว่าเขาจะไว้ชีวิตพวกเราหรืออย่างไร”

“เขาก็ไม่ได้พูดว่าจะสังหารพวกเรานี่!”

“แค่ไม่ทันได้พูดเท่านั้นเอง”

“เข่นฆ่ามากไปก็มิใช่เรื่องดี หากคุยเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นการไม่เคารพต่อการเวียนว่ายตายเกิด”

เมื่อเห็นคนทั้งสามกำลังจะทะเลาะกันแล้ว จอมปีศาจคุกรัตติกาลจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อให้เขารอดไปได้ ถึงอย่างไรก็ต้องถูกข้าทุบตีอยู่ดี”

จ้าวเซวียนหยวนกล่าวด้วยความภูมิใจ “ไม่เหมือนข้าเลย ข้าสายตายอดเยี่ยม ยอมศิโรราบด้วยตัวเอง”

เมื่อเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นมาได้สักพัก ทุกครั้งที่จ้าวเซวียนหยวนนึกถึงอดีตขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

นี่เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตนี้ของเขา!

ในอดีตเขาเชื่อฟังการจัดการของเหล่าผู้อาวุโสมาโดยตลอด น้อยมากที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง

การออกจากเผ่ามนุษย์ กราบหานเจวี๋ยเป็นอาจารย์ สำหรับผู้มีฐานะเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์อย่างเขาแล้ว ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน

อีกด้านหนึ่ง

ภายในถ้ำ

หานเจวี๋ยจ้องมองอู๋เต้า ถามขึ้นว่า “สถานการณ์ของโลกพันอนันต์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าถูกผู้ใดตามล่า”

อู๋เต้ากล่าวด้วยความประหม่า “ช่วงนี้โลกพันอนันต์วุ่นวายยิ่ง สำนักที่มีดวงชะตายิ่งใหญ่ต่างต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน อริยบุคคลไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย ข้าถูกศัตรูตามล่า”

“ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ปล่อยข้าไปเถิด”

หานเจวี๋ยถามต่อ “หากข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าจะเคียดแค้นชิงชังข้าหรือไม่”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!”

[อู๋เต้าเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]

อู๋เต้าลอบด่าอยู่ในใจ จะไม่เกลียดชังพวกเจ้าได้อย่างไรเล่า

เมื่อนึกถึงว่าตัวเขาก็เป็นผู้ทรงพลังที่มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือนามของโลกพันอนันต์เช่นกัน ในยุครุ่งโรจน์ มีศิษย์นับล้านมาฟังเขาแสดงธรรม หากตอนนี้ไม่ตกอับล่ะก็…

ยิ่งคิดอู๋เต้าก็ยิ่งหดหู่ใจ

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นำตัวอู๋เต้าเข้าสู่จักรวาลโลกดาราทันที จากนั้นก็สังหารเสีย

อู๋เต้าไม่ทันตั้งตัวเลย เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นในจักรวาลโลกดาราก็ถูกวัชระเทพมารขุนพลสวรรค์ชกจนสิ้นชีพ กายสิ้นจิตสลาย

‘น่าเสียดาย จิตใจเจ้าไม่ดีงามพอ เจ้ามาหาเรื่อง ข้าคิดจะปล่อยเจ้าไป เจ้าสมควรต้องซาบซึ้งในตัวข้ามิใช่หรือ’

หานเจวี๋ยคิดด้วยสีหน้านิ่งเฉย

สำนักซ่อนเร้นในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องดึงดูดยอดฝีมือเข้ามาแล้ว แทนที่จะรับตัวยอดฝีมือจากภายนอกที่ไม่มีเสถียรภาพเข้ามา มิสู้ปลูกฝังชุบเลี้ยงจากในสำนักดีกว่า

นอกจากเหล่าศิษย์ของเขาแล้ว เผ่าเอกาก็มีศักยภาพมากเช่นกัน

นับตั้งแต่จักรพรรดินีผืนพิภพยกเผ่าเอกาให้หานเจวี๋ยแล้ว เผ่าเอกาก็นับถือหานเจวี๋ยเป็นเทพบิดร พวกเขาถึงขั้นก่อสร้างรูปสลักศิลาของหานเจวี๋ยขึ้นมาเพื่อสักการะบูชาด้วย

ตอนนี้ เผ่าเอกาและสำนักซ่อนเร้นยังมิได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีการติดต่อสื่อสารกันเป็นระยะ ไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นชอบไปเล่นกับพวกเขาเป็นที่สุด

หานเจวี๋ยหลับตาลง บำเพ็ญต่อไป

เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายเกาะสำนักซ่อนเร้น ถึงอย่างไรวังวนมิติที่เชื่อมต่อกับทางโลกพันอนันต์ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้อยู่ดี

หลายเดือนผ่านไป

อู๋เต้ายังไม่ออกมาจากถ้ำเทวา เหล่าศิษย์ต่างทราบดีว่าเขาไม่รอดแล้ว

จอมปีศาจคุกรัตติกาลเดาได้ว่าอู๋เต้าต้องมีจิตพยาบาทชิงชังแล้วถูกหานเจวี๋ยจับสังเกตได้เป็นแน่

เขาเคยติดต่อกับต้วนหงเฉินมาก่อน รู้สึกว่าหานเจวี๋ยมีความสามารถในการอ่านใจ

และข้อสันนิษฐานนี้ของเขาก็ทำให้คนอื่นเชื่อถือเช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่มีทางเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่หากมาคุกคามเขา เขาไม่มีทางปรานีเด็ดขาด

ฉู่ซื่อเหรินก็ไม่ได้พูดอันใดมากนัก เขาไม่เชื่อคนอื่น แต่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของหานเจวี๋ย

ตั้งแต่ติดตามหานเจวี๋ยมา พวกเขาไม่เคยประสบกับความทุกข์ยากอันตรายอีกเลย ทุกวันล้วนฝึกฝนบำเพ็ญอย่างสบายใจ ที่นี่ปลอดภัยกว่าสำนักพุทธเสียอีก

….

ภายใต้ท้องนภาที่มีเมฆฝนปกคลุม ปฐพีย้อมด้วยโลหิต ขุนเขานทีสะบั้นทลาย ราวกับเคยถูกพลังอันน่าหวาดหวั่นบางอย่างเข้าถล่ม ผืนธรณีมิมีส่วนที่สมบูรณ์เลยสักแห่ง

ซูฉีพิงเศษศิลาขนาดมหึมาก้อนหนึ่ง เขาหอบหายใจอย่างหนัก สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่ขอบฟ้า

สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ที่ขอบฟ้าและบนพื้นดิน ปิดล้อมเขาไว้ เมื่อกวาดตามองไป ในแต่ละทิศล้วนมีเงาร่างของผู้บำเพ็ญจากเผ่ามนุษย์ ปีศาจ มังกร วิหคแดงและกิเลนอยู่เต็มไปหมด

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างมองซูฉีด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยเจตนาสังหาร ทั้งชิงชังและโกรธเกรี้ยว

ซูฉีต่อสู้เพื่อวังสวรรค์มานานหลายปี โชคร้ายของเขาแทบจะแพร่ไปทั่วทุกซอกมุมของแดนเซียนแล้ว เขาล่วงเกินศัตรูไว้มากมายเกินไปจริงๆ

ยามนี้วังสวรรค์ตกอับ ใกล้จะล่มสลายแล้ว ซูฉีจึงกลายเป็นตัวระบายความโกรธแค้นของสรรพสิ่ง

“ซูฉี เจ้าหนีไม่รอดแล้ว! เทพเซียนก็ไม่มีทางมาช่วยเจ้าแล้ว!”

ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์รายหนึ่งตะโกนเย้ยหยัน น้ำเสียงดังก้องฟ้าดิน ดึงดูดให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ พากันตะโกนด่าทอตาม ถ้อยคำระคายหูสารพัดแว่วมาให้ได้ยิน

ทว่าซูฉีมิได้รู้สึกโกรธเคืองเลย กลับเผยรอยยิ้มออกมา

“พวกเจ้าคิดจะมาล้างแค้นข้าหรือ แต่พวกเจ้าเคยจดจำบ้างหรือไม่ว่าตนก่อกรรมไว้มากน้อยเพียงใด ก่อกรรมก็คือก่อกรรม ไม่แบ่งแยกใหญ่เล็ก สิ่งที่ตัวข้าซูฉีเคยกระทำ ข้ายอมรับ แต่ถ้าต้องการสังหารข้า ก็ลงมือได้เลย อย่ามัวพล่ามไร้สาระเพื่อหวังปลอบประโลมจิตใจอันไม่สงบของพวกเจ้าเลย!”

ซูฉีเอ่ยพลางเหาะขึ้นไป ไอแห่งความโชคร้ายทะลักออกมาอีกครั้ง ลอยอบอวลอยู่รอบกายเขา

ภาพนี้ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตพากันถอยกรูดออกไป ไม่มีใครกล้าเข้าไปสังหารซูฉีเป็นคนแรก

ครืน! ครืน! ครืน…

พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงฝีเท้าอันน่าหวาดหวั่นแว่วดังมาจากขอบฟ้า ทุกคนต่างหันไปมอง เงาร่างที่สูงนับหมื่นจั้งร่างหนึ่งก้าวเข้ามา

“ซูฉี เจ้ากวาดล้างเผ่าพันธุ์ของข้า วันนี้จะต้องทำให้เจ้าจิตสิ้นวิญญาณสลายให้ได้!”

เสียงตะคอกที่เปี่ยมด้วยความโกรธแค้นดังก้องขึ้น สั่นสะเทือนไปทั่ว

ซูฉีขมวดคิ้ว รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

ในยามนี้เอง เสียงหนึ่งแว่วขึ้นข้างหูซูฉี

‘อยากจบทุกอย่างหรือไม่ ขอเพียงเจ้ายอมสำแดงพลังวิเศษ มหาเคราะห์จะปิดฉากลงตรงนี้ สรรพสิ่งที่เหลือรอดจะรู้สึกซาบซึ้งในตัวเจ้า ถึงขนาดที่เจ้าจะได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์ เนื่องจากเจ้าได้หยุดยั้งมหาเคราะห์อันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้’

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท