บทที่ 462 เผ่ากิเลน อายุแปดพันปี
“ไม่ง่ายดายปานนั้น หากไม่สามารถกลายเป็นอริยะได้ แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ที่พวกเจ้าได้รับจะกลายเป็นสิ่งผูกมัดเจ้า เมื่อมหาเคราะห์ไร้สิ้นสุดครั้งต่อไปมาเยือน พวกเจ้าจะหลบเลี่ยงอย่างไรเล่า หากไม่สำเร็จเป็นอริยะ สุดท้ายจะกลายเป็นธุลีปลิดปลิวในมหาเคราะห์”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเรียบเฉย คำพูดของเขาทำให้ทุกคนจมอยู่ในภวังค์ความคิด
ไก่คุกรัตติกาลร้องขึ้นว่า “ต่อสู้แก่งแย่งอันใดกัน ติดตามนายท่าน พลังมรรคก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง หลีกห่างจากเภทภัย ยังไม่นับว่ามีความสุขอีกหรือ คิดดูเถิดตบะของพวกเจ้า เพิ่มขึ้นเร็วไม่เท่าไปแก่งแย่งโชควาสนาจริงๆ น่ะหรือ”
เมื่อฟังแล้วทุกคนต่างก็ได้สติขึ้นมา
“ใช่แล้ว มีชีวิตรอดสิถึงจะสำคัญที่สุด”
“ตอนนี้พวกเราคือคนส่วนน้อยที่มีชีวิตรอดมาได้ เมื่อสรรพสิ่งใต้ร่มเงามรรคาสวรรค์ถือกำเนิดขึ้น พวกเราก็จะกลายเป็นลูกพี่ใหญ่”
“หากคิดแย่งชิงอริยะ วันหน้าก็ถอนตัวลำบากแล้ว”
“ถึงอย่างไรข้าก็จะเชื่อฟังอาจารย์”
“ข้าก็เช่นกัน”
ทุกคนพากันพูดคุยออกความคิดเห็น หานเจวี๋ยยิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้ร่วมวงต่อ
เขาเริ่มมองซ้ายมองขวา เตรียมสร้างอารามเต๋าของตนขึ้นมาสักหลัง ส่วนเกาะสำนักซ่อนเร้นก็ใช้เป็นพื้นที่ลับ
มรรคาสวรรค์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง วันเวลาแปรเปลี่ยนเป็นเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า
หานเจวี๋ยพบตำแหน่งเหมาะก็พลันโบกมือขวา อารามเต๋าหลังหนึ่งที่ขนาดไม่นับว่าใหญ่เกินไปก่อตัวปรากฏขึ้นภายในป่า
“พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญไปตามวิถีของตนเถิด ถึงแม้จะไร้ซึ่งสรรพสิ่งใต้ร่มเงามรรคาสวรรค์ ก็ไม่อาจชักช้าเสียเวลาได้”
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย เหล่าศิษย์ต่างสลายตัวไปทันที
สิงหงเสวียนขยับเข้ามาหา ยิ้มหวานพลางเอ่ยถาม “ท่านพี่ ข้าสามารถอยู่ร่วมอารามกับท่านได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบว่า “เจ้าย้ายมาอยู่ข้างๆ ข้าได้ ข้าไม่สะดวกที่จะอาศัยอยู่ร่วมกัน”
สิงหงเสวียนเบะปาก ได้เพียงพยักหน้ารับ เข้าใกล้หานเจวี๋ยได้อีกนิดก็ยังดี
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์อยากเอ่ยวาจาแต่ก็เงียบไป สุดท้ายยังคงเลือกตามเซียนซีเสวียนจากไป
ตบะของสตรีทั้งสองล้วนสู้สิงหงเสวียนไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีความกล้ามากเท่าสิงหงเสวียน
หานเจวี๋ยไม่ได้กลับเข้าไปในอารามเต๋า แต่เริ่มเตร็ดเตร่ไปรอบๆ เขตเซียนร้อยคีรี
ถึงแม้อายุใกล้จะครบแปดพันปีแล้ว แต่เขายังไม่เคยไปไหนเลยจริงๆ ครั้งก่อนที่มาเยือนแดนเซียน อยู่ได้ไม่นานก็เผ่นหนีแล้ว ด้วยกลัวว่าจะได้พบกับอันตราย
ในเวลานี้ ภายใต้มรรคาสวรรค์ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามเขาได้ เขาย่อมใจกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
คนอื่นๆ ไม่ได้ตามหานเจวี๋ยไป ต่างทราบดีว่าหานเจวี๋ยอยากเดินเพียงลำพัง
ลี่เหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เขาอยู่ในแดนต้องห้ามก็ยังรับรู้สถานการณ์ของมหาเคราะห์ได้ตลอด ข้าสงสัยว่าเขาคงอยู่ไม่ไกลจากระดับอริยะแล้ว ไม่แน่ว่าอาจพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะแล้วก็เป็นได้ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจไยดีตำแหน่งอริยะเลย”
อู้เต้าเจี้ยนอดพยักหน้ารับไม่ได้ รู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูมีเหตุผล
หานเจวี๋ยเดินทอดน่องพลางแผ่จิตรับรู้ออกไป
เขารู้สึกว่าพื้นที่แถบนี้ค่อนข้างพิเศษ สามารถคงสภาพภูมิประเทศป่าเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนมหาเคราะห์จะสิ้นสุดลงต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเป็นแน่
พลังวิญญาณของที่นี่ก็นับว่าพรั่งพร้อม เกือบจะเทียบเคียงกับพลังวิญญาณในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสิงหงเสวียนที่เผ่ามนุษย์ก่อนหน้านี้ได้เลย แต่แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอาณาเขตเต๋าของเขาแล้ว ยังห่างชั้นกันไกลนัก
ผ่านไปไม่นาน หานเจวี๋ยก็ค้นพบพื้นที่ต้องห้ามอันลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน
เขาดำดินลงไปทันที มาถึงห้องใต้ดินลึกลับแห่งหนึ่ง ด้านหน้าคือประตูศิลาบานใหญ่มโหฬาร สูงตระหง่านน่าเกรงขาม บนประตูสลักลวดลายโบราณเอาไว้มากมาย
ประตูศิลาบานนี้ผสานผลึกอาคมอันทรงพลังไว้ หากจิตรับรู้ที่เข้าใกล้มิใช่ระดับเซียนทองต้าหลัว จะไม่มีทางรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทุกสิ่งที่อยู่ภายในประตูเลย
หานเจวี๋ยสำแดงร่างจำลองเทพมารสุญตาออกมา เทพมารสุญตาพลันโบกมือคราหนึ่ง พลังสุญตาเข้าปะทะประตูศิลา ผลึกของประตูศิลาอันตรธานหายไปในทันใด แม้แต่บานประตูก็สลายกลายเป็นธุลีลอยล่อง หานเจวี๋ยเพ่งมองเข้าไปพบว่าด้านหลังประตูศิลาคือโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดสลัวไปหมด ด้านในเก็บซ่อนไข่ใบใหญ่ยักษ์ไว้มากมาย
หืม?
หานเจวี๋ยแผ่จิตรับรู้ออกไป พบว่าไข่เหล่านั้นมีสัญญาณชีพแฝงอยู่ ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่
พวกมันรอดพ้นจากพลังวิเศษทลายมรรคามาได้อย่างไร
เขาเอ่ยถามในใจทันที
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เซียนทองต้าหลัวแห่งเผ่ากิเลนเสียสละพลังมรรคและดวงชะตาตลอดจนพลังวิเศษฟ้าประทานของตน ปิดกั้นถ้ำนี้ออกจากมรรคาสวรรค์ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากพลังทำลายล้างของพลังวิเศษทลายมรรคา]
เผ่ากิเลน!
หานเจวี๋ยลอบตระหนกกับตัวเอง จิตรับรู้ของเขาตรวจจับตัวตนทรงพลังอื่นใดไม่ได้แล้ว เขาเรียกแบบจำลองการทดสอบออกมาตรวจสอบดู ก็ตรวจไม่พบถึงการมีอยู่ของเซียนทองต้าหลัวเผ่ากิเลนเลย
กล่าวอีกนัยคือ คนผู้นั้นตายไปแล้วจริงๆ
หานเจวี๋ยเดินเข้าไปในถ้ำ ตรวจนับไข่กิเลนเหล่านี้
เมื่อตัดไข่ที่สูญเสียสัญญาณชีพไปแล้ว ยังมีไข่กิเลนที่มีชีวิตเหลืออยู่กว่าหนึ่งพันสองร้อยใบ ภายในถ้ำมีผนึกบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ สามารถชักนำพลังวิญญาณจากใต้ดินถ่ายทอดเข้าสู่ไข่กิเลน ทำให้มันเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
‘หากเก็บไข่พวกนี้ไว้จะเกิดบ่วงกรรมเกี่ยวเนื่องกับอริยะหรือไม่’ หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ยังไม่พบในขณะนี้]
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถเก็บไข่กิเลนเหล่านี้ไว้ได้
เขาตรวจตราถ้ำนี้อย่างละเอียด เมื่อแน่ใจแล้วไม่มีอันตรายจึงเรียกมู่หรงฉี่และเต้าจื้อจุนมา
มู่หรงฉี่นับว่าเป็นผู้จัดการประจำสำนักซ่อนเร้น งานประลองใหญ่ประจำศตวรรษก็เป็นเขาที่จัดขึ้น เขามีความสามารถด้านการจัดการยิ่งนัก ส่วนเต้าจื้อจุนก็เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด
“นำไข่กิเลนเหล่านี้กลับไปที่สำนักซ่อนเร้น ต่อไปพวกเจ้าก็ใส่ใจดูแลให้มากหน่อยเถิด”
เมื่อมู่หรงฉี่และเต้าจื้อจุนมองเห็นไข่กิเลนกว่าหนึ่งพันใบที่อยู่ในถ้ำก็พลันตกตะลึงไป
เต้าจื้อจุนเอ่ยด้วยอย่างทอดถอนใจ “เป็นพื้นที่ของเผ่ากิเลนจริงๆ สินะ”
มู่หรงฉี่เอ่ยถาม “เผ่ากิเลนสูญสิ้นแล้วหรือ”
หานเจวี๋ยจำต้องวิวัฒนาการดูอีกครั้ง เมื่อแลกเปลี่ยนด้วยอายุขัยสองพันล้านปี ก็ได้รับการยืนยันว่าเผ่ากินเลนสิ้นเผ่าพันธุ์แล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงไข่เหล่านี้
“อืม ไข่ที่เหลืออยู่เหล่านี้ ต่อไปให้รับเข้าสู่สำนักซ่อนเร้น” หานเจวี๋ยกล่าว จากนั้นก็หันหลังจากไป
มู่หรงฉี่และเต้าจื้อจุนเดินเข้าไปในถ้ำ อุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เมื่ออกมาจากใต้ดินแล้ว หานเจวี๋ยก็เดินเตร็ดเตร่ต่อไป
ผ่านไปหลายวัน เขาถึงกลับไปบำเพ็ญในอารามเต๋า เขาแยกร่างหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมาตนหนึ่ง ให้ออกไปตรวจสอบสถานการณ์
ถึงแม้เขาจะแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่เขายังคงไม่อยากออกไปเดินสะเปะสะปะอยู่ดี
หากเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีจากครึ่งอริยะนับร้อย จะทำอย่างไรเล่า
อะแฮ่ม
พูดจาเกินจริงไปหน่อยแล้ว จะมีครึ่งอริยะนับร้อยได้อย่างไรกัน
อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มั่นคงปลอดภัยเต็มที่ หานเจวี๋ยไม่คิดจะออกนอกบริเวณอาณาเขตเต๋า
เขากางเขตอาคมระบบไว้ภายในอารามเต๋าหลังใหม่ ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกไม่สามารถสอดส่องเข้ามาในอารามเต๋าได้
ความตื่นเต้นยินดีที่มาถึงในคราแรกถูกกาลเวลาลบเลือนไปอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างเริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญ
….
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว
ภายในอารามเต๋า อักษรสามแถวเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ยในทันใด
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบแปดพันปีแล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง เผยตัวต่อโลกทันที เผยแพร่มรรคไปทั่วหล้า สร้างชื่อเสียงขจรหมื่นโลกา จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ ไม่ร่วมแก่งแย่งชิงดี จะได้รับองครักษ์อาณาเขตเต๋าหนึ่งนาย]
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างไม่ลังเลเลย
องครักษ์เต๋ารายนี้ก็เป็นได้เพียงระดับครึ่งอริยะเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกสือตู๋เต้าอีกครั้ง
[เริ่มคัดลอกองครักษ์อาณาเขตเต๋า]
หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา เอ่ยถามในใจว่า ‘ข้าสามารถเคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋าออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้นได้หรือไม่’
อาณาเขตเต๋ามีพื้นที่กว้างขวางครอบคลุมยิ่งนัก ยามนี้ไม่เหมาะจะจำกัดไว้เพียงในเกาะสำนักซ่อนเร้นอีก
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
แพงขนาดนี้เชียว?
หานเจวี๋ยลอบสบถในใจ อดทนไว้!
เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย ย้ายออกมาจะเหมาะกว่า
ดำเนินการต่อ!
………………………………………………………………