บทที่ 480 พิชิตโจวฝาน เฮ่าเทียนตกตะลึง
“ดูเหมือนว่าอาจารย์ของเจ้าจะมีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมากฝีมือ สามารถจัดการกับอริยะได้อยู่หมัด” เฮ่าเทียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ
เขาให้ความสนใจในตัวหานเจวี๋ยมาโดยตลอด ในมหาเคราะห์ครั้งล่าสุด ดูเหมือนว่าในกลุ่มอิทธิพลทั้งหลายจะมีคนที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่เกือบทั้งหมด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหานเจวี๋ยสามารถช่วยชีวิตคนเหล่านั้นได้ แม้แต่ซูฉีผู้มีบาปหนาก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากอริยะ
บางทีการเข้าร่วมกับหานเจวี๋ยอาจจะเป็นหนทางที่ดีจริงๆ ก็ได้
เพียงแต่เฮ่าเทียนยังไม่แน่ใจว่าหานเจวี๋ยยืนอยู่ฝั่งของอริยะท่านใดกันแน่
หลงเฮ่ายิ้มและกล่าว “หากเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นของข้า แม้ว่าอาจจะแผลงฤทธิ์ยากเสียหน่อย แต่อย่างน้อยก็ฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ เจ้าสามารถค่อยๆ ฟื้นฟูตบะของเจ้าให้กลับมาได้อย่างไร้กังวล รอให้เจ้าก้าวสู่จุดสูงสุดเมื่อไร ค่อยออกไปผจญภัยอีกครั้ง ไม่ดีหรือ”
เฮ่าเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
…
แดนเซียนยิ่งคึกคักมากเท่าไร สัตว์อสูรก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าก็เช่นกัน
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าและสัตว์อสูรคือพวกแรกเป็นพวกทรงภูมิปัญญา
สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าส่วนใหญ่จะไม่สามารถแปลงร่างได้ พวกสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มักจะถูกเหล่าสัตว์อสูรเข่นฆ่า ส่วนพวกที่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้นพบว่าการกินสัตว์อสูรสามารถทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งระหว่างสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าและสัตว์อสูรจึงคุกรุ่น
วันเวลาผันผ่านไปราวติดปีก
หนึ่งพันปีผ่านพ้นไปอีกครา
ตบะของหานเจวี๋ยพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะคืบหน้าไปไม่รวดเร็วเท่ากับที่ผ่านมา แต่แค่รู้สึกถึงได้ก็นับว่าดีมากแล้ว
คนเราต้องรับรู้ถึงผลสำเร็จ ถึงจะมีแรงจูงใจให้ก้าวไปข้างหน้า
ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีนี้ เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นเองก็ก้าวหน้าไปไม่น้อย
จินกังนู่และจอมปีศาจคุกรัตติกาลก้าวเข้าสู่ระดับเทพในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองต่างบรรลุมหามรรคต้นกำเนิดที่รับถ่ายทอดมาจากหานเจวี๋ย
คนที่ฝึกมหามรรคต้นกำเนิดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
ลำพังแค่พวกเต้าจื้อจุนฝึกมหามรรคต้นกำเนิด หานเจวี๋ยก็รู้สึกได้ว่ามหามรรคต้นกำเนิดนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว
แม้ว่าเขาเองก็ต้องหยั่งรู้มหามรรคต้นกำเนิดเช่นกัน แต่เนื่องจากเขาเป็นผู้สรรค์สร้างมหามรรคต้นกำเนิดขึ้นมา เขาจึงสามารถสัมผัสได้ว่ามหามรรคต้นกำเนิดแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน
อยู่มาวันหนึ่ง
โจวฝานมาขอพบหานเจวี๋ย
“ไม่อนุญาต” หานเจวี๋ยตอบกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นึกแล้วว่าโจวฝานต้องการจะไปจากสำนัก!
จะยอมได้อย่างไร!
โจวฝานขมวดคิ้วและกล่าวว่า “หากเรายังไม่เคลื่อนไหวอีก อาณาเขตทั้งสามของสำนักซ่อนเร้นจะถูกยึดครองอย่างแน่นอน”
หานเจวี๋ยกล่าว “อยากยึดก็ยึดไป เจ้าฝึกบำเพ็ญให้ถึงระดับครึ่งอริยะเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน จนกว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าอย่าหวังที่จะได้ออกไปข้างนอกเลย”
โจวฝานเป็นร่างจำลองของอริยะเจ็ดวิถี ออกไปก็คงไม่ตาย แต่จะก่อปัญหาใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยต้องกักตัวโจวฝานเอาไว้ที่นี่ ให้เขาฝึกมหามรรคต้นกำเนิด เมื่อเวลาผ่านไปอริยะเจ็ดวิถีย่อมไม่กล้าที่จะมารังควานโจวฝานอีก
เมื่อโจวฝานแข็งแกร่งพอ อริยะเจ็ดวิถีก็จะไม่กล้าหมายหัวหานเจวี๋ยอีก หากหานเจวี๋ยสิ้นลม ผู้ฝึกมหามรรคต้นกำเนิดทั้งหมดจะต้องพบเจอหายนะ รวมถึงโจวฝานด้วย
“ครึ่งอริยะ? เช่นนั้นต้องใช้เวลานานเท่าไร”
สีหน้าของโจวฝานตกตะลึง แม้ว่าตัวเขาจะมีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลแล้ว แต่หากจะฝึกบำเพ็ญให้บรรลุระดับครึ่งอริยะนั้น…
เขาจ้องมองหานเจวี๋ยแล้วถาม “เจ้าเป็นครึ่งอริยะแล้วหรือ”
“หืม?”
“ข้าถามเจ้าอยู่”
“เจ้าเรียกอาจารย์ว่าอะไรนะ ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้าคงจะปล่อยปละละเลยเจ้าไปหน่อยกระมัง ไป ไปทำแบบจำลองการทดสอบเดี๋ยวนี้!”
หานเจวี๋ยบังคับโจวฝานให้เข้าร่วมแบบจำลองการทดสอบโดยไม่สนความสมัครใจของโจวฝาน
ไม่กี่วันต่อมา
โจวฝานเดินออกมาจากอารามเต๋า สีหน้าหมองเศร้า สองมือใต้แขนเสื้อสั่นเทาเล็กน้อย
ไก่คุกรัตติกาลโผล่มาวนเวียนใกล้ๆ ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ มันยิ้มและถามขึ้น “ไอ้ลูกหมา เป็นอะไรไปน่ะ”
โจวฝานไม่ตอบ เขาเดินกลับที่พักของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก สภาพเหมือนศพเดินได้
ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่ว
ศิษย์คนอื่นๆ ที่คิดอยากจะไปจากสำนักก็ไม่กล้าขอพบหานเจวี๋ยอีก
พวกเขาคาดเดากันว่าต่อไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลกาสวรรค์ ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงไม่ยอมให้พวกเขาออกจากสำนัก
ฉันพลัน สายสมแห่งการฝึกบำเพ็ญอันทรหดก็พัดผ่านมาสู่สำนักซ่อนเร้นอีกครั้ง
สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยสาปแช่งอริยะมิ่งจีเสร็จก็ออกมาจากอารามเต๋า เดินเล่นไปรอบๆ เขตเซียนร้อยคีรี
ดวงจิตประหลาดลอยตามหลังเขาไป จนถึงทุกวันนี้ นอกจากหานเจวี๋ยแล้วก็ยังไม่มีใครมองเห็นดวงจิตประหลาด
ศิษย์สำนักซ่อนเร้นเกือบทุกคนต่างฝึกบำเพ็ญกันหมด ยกเว้นเพียงคนเดียว นั่นคือหานตั้วเทียน
หานตั้วเทียนเรียกสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าทั้งหลายมาชุมนุมกัน ณ บริเวณหุบเขา
หานเจวี๋ยเดินมาถึงยอดเขา และเฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ
“หืม?”
หานเจวี๋ยทำสีหน้าแปลกใจ ‘เจ้าหมอนี่กำลัง…ฝึกทหารอยู่หรือ’
เขาเห็นหานตั้วเทียนยืนอยู่ด้านหน้าสุด สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าต่างก็กำลังเลียนแบบท่าทางเตะต่อยของเขา
‘น่าสนใจ’
หานเจวี๋ยเฝ้าดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะจากไป เขาไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับหานตั้วเทียนนัก
หานเจวี๋ยเดินมาถึงเขตของเผ่าเอกา เผ่าเอกาทั้งหมดกำลังฝึกบำเพ็ญ ทำให้ทั่วทั้งดินแดนเงียบสงัด
พฤติกรรมของเผ่าเอกาทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยที่หายไปนาน
หลงเฮ่า!
‘เจ้าเด็กนั่นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’
หานเจวี๋ยเกือบลืมหลงเฮ่าไปแล้ว
หลงเฮ่าอยู่ข้างนอกเขตเซียนร้อยคีรี กำลังซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง
หานเจวี๋ยตรวจสอบหาศัตรูตัวที่แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ๆ นอกเขตเซียนร้อยคีรีมีเพียงหลงเฮ่าผู้มีตบะปฐมเทพขั้นหนึ่งเท่านั้น
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กระตุ้นของวิเศษในกายทั้งหมด หยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราพลันเปล่งแสงเทพออกมาปกคลุมร่างของเขา
ลึกเข้าไปในถ้ำภูเขา หลงเฮ่ารู้สึกได้ถึงแสงอันเจิดจ้าที่ปรากฏขึ้น เขาลืมตาและมองออกไป เห็นเพียงร่างของหานเจวี๋ย ทว่าไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้
หลงเฮ่าลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ เตรียมพร้อมรับการปะทะ
แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “อาจารย์?”
หานเจวี๋ยตอบ “ข้ายังเป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่อีกหรือ”
หลงเฮ่ารีบร้อนคุกเข่าลง และกล่าวออกมาด้วยความเคารพยำเกรง “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน นับเป็นอาจารย์ชั่วชีวิต!”
“แม้แต่พ่อแท้ๆ เจ้ายังปลิดชีพได้ลงคอ ข้าไม่กล้ารับเจ้าเป็นศิษย์อีกต่อไปแล้ว หากวันใดเจ้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วหันมาสังหารข้าทิ้งเสียจะทำเช่นไร”
น้ำเสียงของหานเจวี๋ยฟังดูถากถางอย่างยิ่ง
หลงเฮ่าล่าวด้วยความอึดอัดใจ “ข้าเพียงแต่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจเท่านั้น หาได้มีเจตนาจะสังหารท่านพ่อ วังสวรรค์ภายใต้การปกครองของเขา เดินทางมาถึงทางตันแล้ว เขารักษาคำสัตย์ต่อบรรพชนเต๋าอย่างคนหูตามืดบอด คิดอยากจะปกป้องราษฎรในไตรภพ ทว่ากลับรังแกคนอ่อนแอ โอนอ่อนต่อผู้แข็งแกร่ง เช่นนี้แล้ววังสวรรค์จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร แม้แต่เผ่ามังกรแท้เองยังดูถูกดูแคลนเขา”
“ในอดีตที่ผ่านมา กลุ่มอิทธิพลทั้งสี่ วังสวรรค์ วังเทพ สำนักพุทธ และวังปีศาจต่างฝ่ายต่างแสดงละครเพื่อรักษาสมดุลระหว่างกัน แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ จักรพรรดิสวรรค์จะลดตัวลงมาเสมอกับผู้อื่นได้อย่างไร! เขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์! เขาสูญเสียบารมีแห่งจักรพรรดิสวรรค์ไปจนสิ้นแล้ว!”
ยิ่งพูด หลงเฮ่าก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ
เห็นได้ชัดว่าเขาเก็บคำพูดเหล่านี้เอาไว้นานมากแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยตัดบท “ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่อยากรู้ด้วย เรื่องที่ข้าอยากรู้ก็คือเจ้ากลับมาทำไม”
หลงเฮ่ากัดฟันพูด “ข้าอยากกลับเข้าสำนักซ่อนเร้นอีกครั้งขอรับ”
“มาซ่อนตัวชั่วคราว แล้วกลับออกไปก่อเรื่องใหม่อีกครั้งน่ะหรือ? เจ้าเห็นสำนักซ่อนเร้นเป็นอะไร”
“ไม่ขอรับ…ต่อไปในภายหน้าข้าจะไม่ออกไปจากสำนักเด็ดขาด หากไม่มีคำสั่งจากท่าน!”
“ไปคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่หน้าเขตเซียนร้อยคีรี คุกเข่าคำนับ พร้อมทั้งตะโกนว่าเจ้าผิดไปแล้ว ทำเช่นนั้นไปหนึ่งพันปี”
“หา?”
หลงเฮ่าตกใจสุดขีด
หานเจวี๋ยไม่สนใจอีกฝ่ายอีก เขาหายตัวไปในชั่วพริบตา
สีหน้าของหลงเฮ่าโศกเศร้าลงทันที
เฮ่าเทียนปรากฏตัวออกมาและกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “ครึ่งอริยะ อาจารย์ของเจ้าอย่างน้อยก็ต้องเป็นครึ่งอริยะแน่นอน มิน่าเล่า ดูเหมือนว่าข้อมูลของเจ้าจะผิดพลาด อาจารย์ของเจ้าไม่มีทางอายุแค่หนึ่งหมื่นปีเป็นแน่!”
หลงเฮ่ากล่าวอย่างเจ็บปวด “คุกเข่าหนึ่งพันปี แล้วต้องป่าวร้องสำนึกผิดตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เฮ่าเทียนกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าอยากกลับไปไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน หากข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า คงไม่ลงโทษเจ้าง่ายดายเช่นนี้แน่”
………………………………………………..