บทที่ 500 อริยะผู้สมบูรณ์แบบ วิธีพิสูจน์มรรคที่แข็งแกร่งที่สุด
“บรรพชนสวรรค์ เหตุใดท่านจึงเอ่ยถึงเผ่ามาร เผ่ามารเป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าได้ของผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรานะขอรับ!” นักพรตเต๋าผมขาวรายหนึ่งก้าวออกมาพลางกล่าว
คำพูดของเขาทำลายความเงียบงัน ดึงดูดให้ผู้ทรงพลังเผ่าสวรรค์คนอื่นๆ พากันพูดสนับสนุน
เมื่อเอ่ยถึงเผ่ามาร พวกเขาล้วนกัดฟันกรอด จี้เซียนเสินมองเห็นก็ขมวดคิ้วนิดๆ
ห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ นอกจากจี้เซียนเสิน ที่เหลือล้วนส่งเสียงประณามความผิดบาปของเผ่ามาร
ผ่านไปนานพักใหญ่
หลังจากทุกคนสงบลง จี้เซียนเสินถามช้าๆ ว่า “ข้าอยากถามว่า พวกเจ้ามีความแค้นใดกับเผ่ามาร อย่าได้เอ่ยถึงตำนานยุคบรรพกาล พูดถึงแค่ตัวพวกเจ้าเอง”
เมื่อผู้ทรงพลังเผ่าสวรรค์ได้ฟัง ต่างก็มองหน้ากันเหลอหลา
พวกเขามิได้คิดไปตามคำพูดของจี้เซียนเสิน แต่ในใจกลับเกิดความสงสัยขึ้น
บรรพชนสวรรค์ถูกเผ่ามารยึดร่างหรือ
หรือว่ามรรคจิตถูกชักจูงหลอกล่อไป
ถึงได้ผิดครรลองคลองธรรมไปเช่นนี้!
แม้แต่แม่ทัพเทพสวรรค์ก็มองจี้เซียนเสินด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาแปลกๆ จากบรรดาลูกน้อง ทำเอาจี้เซียนเสินโมโหแทบตาย
คนพวกนี้คุยกันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ!
จี้เซียนเสินฝืนข่มโทสะ ส่ายหน้า โบกมือสื่อให้พวกเขาออกไป
….
นับตั้งแต่หานเจวี๋ยสิ้นสุดการแสดงธรรม เวลาผ่านมาสามสิบปีแล้ว
ด้วยฝีมืออันทรงพลังของหลี่เต้าคง สิ่งมีชีวิตที่ต้องการมาแย่งชิงปราณม่วงอนธการถูกขับไล่ออกไป พวกที่เหลืออยู่ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตตบะต่ำต้อยที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนมิได้มีเจตนาร้าย
หลังจบศึกครั้งนั้น ชื่อเสียงของสำนักซ่อนเร้นก็ขจรขจายออกไปอีกครั้ง
ข่าวเรื่องที่หลี่เต้าคงเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นก็แพร่ะกระจายไปทั่วแดนเซียนอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ใหญ่แห่งนิกายเหรินเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ข่าวนี้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในแดนเซียน
สำนักซ่อนเร้นนับว่ามีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างสมบูรณ์แล้ว เข้าใกล้การกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลระดับเจ้าจักรวรรดิชั้นแนวหน้าของแดนเซียนขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ในแง่ของชื่อเสียงก็เป็นเช่นนี้
ในวันนี้
หานเจวี๋ยสาปแช่งอริยะมิ่งจีเสร็จสิ้น ถึงแม้จะเพิ่งทะลวงขั้นไปไม่นาน แต่เขาไม่ได้นำอายุขัยมหาศาลมาสิ้นเปลืองไปกับอริยะมิ่งจี
หลังจากใช้แบบจำลองการทดสอบแล้ว หานเจวี๋ยคิดว่าความเป็นไปได้ในการสาปแช่งอริยะมิ่งจีให้ตายนั้นแทบจะเป็นศูนย์
ต้องสงบใจให้ดี ต่อไปต้องรักษาอายุขัยไว้ จะฟุ่มเฟือยไม่ได้
หานเจวี๋ยอยู่ไม่ไกลจากการพิสูจน์มรรคแล้ว เมื่อถึงเวลาเขาจะลงมือฆ่าอริยะมิ่งจีด้วยตัวเอง!
เขาลุกขึ้นยืน ยืดตัวบิดขี้เกียจ
ในเวลานี้เอง ดวงจิตประหลาดพลันพุ่งเข้ามา หยุดตรงหน้าเขา หมุนวนไม่หยุด คล้ายร้อนรนอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยสื่อสารกับมันผ่านกระแสจิต
“เจ้าบอกว่าเจ้าอยากออกไปหรือ” หานเจวี๋ยขมวดคิ้วถาม
ดวงจิตประหลาดทำท่าพยักเพยิด ถึงจะพูดไม่ได้ ดูสีหน้าอารมณ์ไม่ได้ แต่มันแสดงท่าทางละห้อยน่าเวทนาออกมาอย่างชัดเจน
หานเจวี๋ยปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ แต่ดวงจิตประหลาดแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้น้อยครั้งนัก
อีกอย่างต่อให้ปล่อยเจ้าสิ่งนี้ออกไป คนอื่นก็มองไม่เห็นมันอยู่ดี
แม้กระทั่งหลี่เต้าคงยังไม่ค้นพบถึงการมีอยู่ของดวงจิตประหลาดเลย ดวงจิตประหลาดเคยเฉียดผ่านร่างของหลี่เต้าคง แม้ว่าหลี่เต้าคงจะขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งใด
“เจ้าจะออกไปทำอะไร”
สองมือของดวงจิตประหลาดโบกไปมาไม่หยุด หานเจวี๋ยมองไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำได้เพียงอาศัยการสื่อสารผ่านกระแสจิต ถึงอย่างไรในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พวกเขาก็เคยผสานรวมกันมาก่อน
เหตุผลที่มันอยากออกไป เพราะด้านนอกมีสิ่งที่ดึงดูดมันอยู่ มันอยากออกไปดูยิ่งนัก
หานเจวี๋ยลอบใช้ระบบวิวัฒนาการ ‘เป็นสิ่งใดกันที่ดึงดูดมัน’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[โชคร้าย จิตอาฆาต จิตสังหารและแรงกรรม]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ถามต่อว่า ‘มีอริยะกำลังใช้อุบายกับมันอยู่หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่มี]
หานเจวี๋ยพลันโล่งอก มองดวงจิตประหลาด เอ่ยว่า “กลับมาให้เร็วหน่อย ห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิต!”
ดวงจิตประหลาดพยักหน้ารับคำสั่ง
หานเจวี๋ยโบกมือส่งมันออกไป
ดวงจิตประหลาดก็มีวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งในแบบของมันเอง นอกจากพึ่งพาหานเจวี๋ยแล้ว มันไม่จำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นรั้งมันให้อยู่พากเพียรบำเพ็ญไปก็ไม่มีประโยชน์
การออกไปจากสำนักซ่อนเร้นของมันไม่ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆ เพราะนอกจากหานเจวี๋ย ก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงการมีอยู่ของมัน
หลังจากยืดเส้นยืดสายเสร็จ หานเจวี๋ยนั่งสมาธิบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรอีกครั้ง เริ่มทำความเข้าใจวิชายุทธ์ระดับมหามรรคอย่างมหามรรควัฏจักรอนธการ
ในมหามรรควัฏจักรอนธการบันทึกวิธีพิสูจน์มรรคไว้หลายแนวทาง วิธีที่ต้อยต่ำที่สุดคือพึ่งพาปราณม่วงอนธการเพื่อพิสูจน์มรรค
ดังนั้นปราณม่วงอนธการแท้จริงแล้วเป็นกุญแจแห่งมรรคาสวรรค์ เมื่อได้รับกุญแจดอกนี้ ถึงจะสามารถเบิกทางสู่มรรคาสวรรค์ได้ ได้รับดวงชะตามรรคาสวรรค์ อาศัยพลังแห่งมรรคาสวรรค์สำเร็จเป็นอริยะ หากมรรคาสวรรค์ไม่ล่มสลาย อริยะมรรคาสวรรค์ก็ยากจะสิ้นชีพ เว้นแต่จะเผชิญหน้ากับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต
หานเจวี๋ยย่อมไม่มีทางเลือกเดินบนเส้นทางนี้
เขาไม่คิดจะนำชีวิตของตนไปแขวนไว้บนมรรคาสวรรค์
เขาจะก้าวเดินบนเส้นทางพิสูจน์มรรคที่แข็งแกร่งที่สุด!
พิสูจน์มรรคด้วยพลัง!
พึ่งพาพลังเวทอันยิ่งใหญ่ของตน บังคับฝ่าทะลวงโซ่ตรวนแห่งระดับชั้น บรรลุถึงระดับอมตะชั่วนิรันดร์!
สิ่งที่เรียกว่าพิสูจน์มรรคด้วยพลังคือการฝึกมหามรรควิถีหนึ่ง มหามรรคต้นกำเนิดของหานเจวี๋ยเทียบเท่ากับมหามรรคสามพันวิถีผสานรวมกัน หากเขาพิสูจน์มรรคสำเร็จ เขาคิดว่าตนต้องกลายเป็นอริยะที่สมบูรณ์แบบที่สุดแน่นอน!
และเป็นอริยะที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย!
สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องทำในตอนนี้คือผสานมหามรรคต้นกำเนิดให้เป็นหนึ่งเดียวกับคุณสมบัติกายและวิญญาณของตน เขาจะกลายเป็นมหามรรค แต่มิอาจควบคุมพลังแห่งมหามรรคได้
สรุปผลแล้วดูเหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริงยากเย็นนัก คุณสมบัติกายยากจะรองรับพลังแห่งมหามรรคได้ เพียงแต่หานเจวี๋ยมีคุณสมบัติกายดาราอนธการ ฝึกได้ง่ายกว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยยังมิอาจคาดการณ์ได้ว่าตนจะพิสูจน์มรรคตอนไหน แต่เขาต้องพิสูจน์มรรคให้ได้!
….
ณ ชายแดนเขตเซียนร้อยคีรี
หานตั้วเทียนยืนอยู่ที่ตีนเขา สามเซียนยอดลำนำยืนห่างออกไปสิบก้าว
ระยะสิบก้าวนี้คือขอบเขตจำกัดของค่ายกลอาณาเขตเต๋า โปร่งใสไร้สีสัน ทว่ามีตัวตนอยู่จริง
เซียนหน้าเหยี่ยวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส เรื่องที่ท่านให้พวกเราไปสืบ พวกเราสืบพบแล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในละแวกนี้น่าจะเป็นวานรแขนยักษ์ วานรแขนยักษ์ชนิดนี้เป็นหนึ่งในสี่วานรวิปโยค เล่าขานกันว่าในยุคบรรพกาล สี่วานรวิปโยคเป็นตัวตนอันเลิศล้ำ ถึงขั้นที่เคยมีวานรแขนยักษ์ตัวหนึ่งได้รับคำยกย่องชมเชยจากอริยะด้วย”
หานตั้วเทียนเลิกคิ้ว ถามว่า “ตบะเขาอยู่ระดับไหน”
“ระดับจักรพรรดิ”
“ช่วยไปพาตัวมาให้ข้าที พวกเจ้าให้ความช่วยเหลือข้าเป็นอย่างดี ครั้งหน้าเมื่อสำนักซ่อนเร้นเปิดรับศิษย์ ข้าจะช่วยขอความเมตตาให้พวกเจ้า รับพวกเจ้าเข้ามา”
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”
สามเซียนยอดลำนำเอ่ยด้วยความปรีดา คุกเข่าลง โขกศีรษะให้หานตั้วเทียน
หานตั้วเทียนโบกมืออย่างเฉยเมย สามเซียนยอดลำนำพากันจากไป
เมื่อเห็นพวกเขาไปไกลแล้ว หานตัวเทียนปั้นหน้าไม่ไหวอีกต่อไป พรูลมหายใจออกมา
“ต่อให้เสแสร้งอย่างไร ก็ยังห่างชั้นกับอาจารย์ปู่เทียด หรือเป็นเพราะข้าไม่มีแสงส่องอยู่ด้านหลัง”
หานตั้วเทียนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาฉายแววริษยา
เขาชมชอบหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราที่อยู่ข้างหลังหานเจวี๋ยเป็นที่สุด มีสง่าราศีมากเหลือเกิน
หานตั้วเทียนไม่เคยพบตัวตนที่ทรงพลังยิ่งไปกว่าหานเจวี๋ยเลย แม้ว่าจะมีฐานะเป็นศิษย์โหลน แต่ทุกครั้งที่พบหน้าหานเจวี๋ย ความรู้สึกกดดันเช่นนั้นล้วนทำเอาเขาหายใจไม่ออก
ทันใดนั้น ขณะที่หานตั้วเทียนหันหลังเตรียมจากไป
“สหายน้อย!”
เสียงชรามีอายุแว่วขึ้นมา หานตั้วเทียนหันไปมอง
มองเห็นเงาร่างหลังค่อมร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ผมเขาขาวดุจขนกระเรียนใบหน้าเปล่งปลั่งดังผิวทารก มือถือไม้เท้า ใบหน้าฉายแววเมตตา
หานตั้วเทียนเลิกคิ้ว คล้ายจะแปลกใจยิ่งที่อีกฝ่ายมุดออกมาจากใต้ดิน
ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือเทพเจ้าที่แห่งเขตเซียนร้อยคีรี ถูกส่งมาจากเผ่าสวรรค์ ช่วยพาข้าไปพบเจ้าสำนักซ่อนเร้นหน่อยได้หรือไม่”
………………………………………………………………