ส่วนหยวนเมิ่งก็นั่งอยู่ที่ด้านซ้ายมือของตู๋กูจุน ตรงกลางยังมีซุ่นเอ๋อร์เบียดอยู่
นางเองก็ไม่ยอมถอย ทางหนึ่งอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ ลุกขึ้นมา เดินไปอีกสองก้าวจับนางยัดคืนไปในอ้อมอกขององค์หญิงใหญ่
พอกระพริบตาครั้งหนึ่ง ก็ลูบเจ้างูที่พันอยู่บนต้นแขน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอยู่บ้างว่า “หวังฉายไม่ชอบเด็ก กลัวจะทำให้ท่านหญิงน้อยได้รับบาดเจ็บ ยังคงอย่าเข้ามาใกล้ข้าจะดีกว่า”
ว่าแล้ว หวังฉายก็แลบลิ้นแผลบๆออกมาอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่
“แต่ว่าซุ่นเอ๋อร์ไม่กลัวมันนะ” ซุ่นเอ๋อร์ห่อริมฝีปาก ยื่นมือออกไปคิดจะลูบศีรษะของหวังฉาย
องค์หญิงใหญ่รีบคว้ามืออูมๆน้อยๆของนางกลับไป
นางไม่ต้องการแย่งชิงหรือแข่งขันกับหยวนเมิ่ง จึงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “แม่นางหยวนคิดรอบคอบดีแล้ว”
ระหว่างสตรีทั้งสอง คล้ายจะมีบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
อาหารมื้อนี้จึงกลายเป็นขัดเขินขึ้นมา
ตู๋กูเจวี๋ยรีบคิดหาหัวข้อสนทนามาแก้ความขัดเขิน เขาพึ่งจะกลับมาได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้เล่าอะไรให้ท่านผู้เฒ่าฟังอีกตั้งหลายเรื่อง
เพราะเรื่องในอดีตของราชบุตรเขย ทำให้พี่ใหญ่กับองค์หญิงใหญ่ต้องผิดใจกันไปพักใหญ่
ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะสามารถเปิดเผยความจริงออกมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงค่อยดีขึ้นไม่น้อย แต่ว่าก็ดันมามีหยวนเมิ่งแทรกอยู่ระหว่างกลางอีก
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสาม ก็ยิ่งไม่สะดวกอธิบายต่อคนภายนอก จึงได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่เช่นนี้
กลับกัน ด้านของตู๋กูจุน ที่นั่งอยู่ระหว่างสตรีทั้งสอง ยังคงสงบนิ่ง สีหน้าก็เรียบเฉยเป็นปกติ ราวกับว่าพวกนางทั้งสองมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเขาทั้งสิ้น
ตู๋กูเจวี๋ยที่ชมดูอยู่ด้านข้างต้องร้อนใจแทน เจ้าซุงท่อนนี้ ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเสียจริงๆ
เขากระแอมไอออกมาครั้งหนึ่ง ก็คลี่คลายบรรยากาศที่น่าขัดเขินออกไป “นั่นเอ่อ คืนนี้จันทร์กระจ่างราวผ่านการซักล้าง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ข้าอยู่ที่แดนจิ่วโจวพบเจอบรรยากาศอันงดงามและผู้คนมีน้ำใจไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีที่ใดเปรียบเทียบกับบรรยากาศยามค่ำของต้าโจวได้เลย”
หยวนเมิ่งก็ช่วยต่อบนสนทนา “นั่นย่อมแน่นอน เมื่ออยู่ภายใต้พระบารมีของไทเฮาน้อย เมืองหลวงหวงตูของต้าโจวก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง”
นางยังคุ้นเคยกับการเรียกหาตู๋กูซิงหลันเป็นไทเฮาน้อยอยู่ พอเอ่ยถึงตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงของนางก็ยังภาคภูมิใจอีกด้วย
เมื่อตู๋กูจุนรับนางเป็นน้องสาวบุญธรรม หยวนเมิ่งก็ถือว่าตนเองเป็นคนในครอบครัวของตระกูลตู๋กูแล้ว กระทั่งกับตู๋กูซิงหลันก็ทำตัวเหมือนเป็นญาติสนิท
ตอนแรกสุดนั้นนางเองไม่ได้ชื่นชอบตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าตอนหลังก็ไม่เหมือนกันแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยังอายุน้อยกว่านางสองปี แต่ว่าทั้งชาญฉลาดและมากฝีมือ ทั้งยังแข็งแกร่ง ที่สำคัญเรื่องความใจกล้าหน้าด้านได้ของนางนั้น นับว่าใครก็สู้ไม่ได้
นางชื่นชมตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังเคารพนับถือนาง
หากว่าสักวันหนึ่งในภายภาคหน้า สามารถกลายเป็นพี่สะใภ้ของนางได้ เช่นนั้นทั้งหมดก็ถือเป็นครอบครัวกันอย่างแท้จริงแล้ว
เพียงแต่ว่าไทเฮาน้อยกลับมารอบนี้ นางยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเลย เดิมทียังเข้าใจว่ามื้ออาหารค่ำในครอบครัววันนี้ จะได้พบนางเสียอีก จะได้พูดคุยกับนางบ้าง
หยวนเมิ่งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
พอหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องของตู๋กูซิงหลัน บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไปมาก
ตู๋กูเจวี๋ยหัวเราะเฮฮาอยู่ตลอด จาดนั้นก็เริ่มโอ้อวดฝีมือของน้องเล็กในแดนจิ่วโจวออกมา เล่าเสียจนมันหยดไฟลุก แทบจะยกตู๋กูซิงหลันให้กลายเป็นผู้มีอภินิหารเหนือมนุษย์อยู่แล้ว
เขาเล่าอย่างสนุกสนาน ทั้งหมดก็รับฟังอย่างยินดี
คนในครอบครัวตู๋กู ชอบฟังผู้อื่นชื่นชมยอดดวงใจของพวกเขาอยู่แล้ว
แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ยังรับฟังอย่างสนอกสนใจ พยักหน้ารับอยู่มิได้ขาด
ตั้งแต่เล็กจนโตนางก็เติบโตอยู่แต่ในรั้วในวัง ทุกการกระทำทุกคำพูดล้วนต้องระมัดระวังกริยามารยาท ไม่อาจทำตัวนอกกรอบ
ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ก็คือช่วงเวลาสั้นๆที่นางได้แต่งให้กับราชบุตรเขย
หลังจากนั้น ชีวิตที่เหลือก็มีแต่ความมืดมน
นางก็เหมือนนกขมิ้นสีเหลืองทองที่ล้ำค่าตัวหนึ่ง ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในกรง
สตรีอย่างตู๋กูซิงหลัน ทำให้นางต้องอิจฉา อิจฉาไปจนถึงแก่นกระดูก
ในห้องรับประทานอาหารของพวกเขามีหน้าต่าง หน้าต่างตรงนั้นถูกเปิดเอาไว้จนสุด บรรยากาศด้านล่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ตลาดกลางคืนของต้าโจวคึกคักยิ่งนัก ตะเกียงไฟส่องสว่าง ประดับประดาไปด้วยกระจกแวววาว ผู้คนก็คึกคักจนคึกครื้น
ตู๋กูเจวี๋ยยืดคอยาวมองลงไป อยู่ในดินแดนจิ่วโจวมาเกือบปี ทั้งยังถูกพิษของต้าซือมิ่งทรมานจนเกือบถึงชีวิต ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนเสียบ้าง เมื่อได้เห็นบรรยากาศในยามค่ำเช่นนี้ จึงชื่นชอบยิ่งนัก
พอกวาดสายตามองออกไป ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างในชุดสีดำอมทองที่ดูแสนจะคุ้นเคย หัวคิ้วของเขาก็ต้องกระตุกขึ้นมา
“นั่นมัน?”
พอเขาเอ่ยปากออกมา ผู้คนทั้งหมดก็พากันมองตามออกไป
จีเฉวียนช่างโดดเด่นยิ่งนัก
ถึงแม้ว่าจะสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ทั้งยังอยู่ใต้ฟ้ายามราตรี ท่ามกลางผู้คนนับพันนับหมื่น แต่ก็ยังสามารถแยกแยะเขาออกได้ในแวบเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังพาตู๋กูซิงหลันมาด้วย
หลังจากที่ออกมาจากบ้านศิลาหลังนั้น จีเฉวียนก็ยังมิได้ตรงกลับวังในทันที
สาวน้อยหลับไหลไปเพียงครู่เดียวก็ตื่นขึ้นมา นางบอกว่าหิวแล้ว อยากกินเนื้อ
ความสามารถในการกินของนาง ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปอีกมาก แค่ไม่ได้กินเนื้อเพียงครู่เดียวก็หิวโหยราวผีอดอยาก
บางทีอาจเป็นเพราะว่าร่างกายนี้ผ่านการบ่มเพาะจากดวงดาวสีดำดวงนั้น ความจุจึงเปลี่ยนเป็นมากกว่าเดิม ความต้องการอาหารของร่างกายจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
และสิ่งที่นางต้องการในตอนนี้ ก็คือเนื้อ
จีเฉวียนพานางเดินเที่ยวไปในตลาดกลางคืน
ถือโอกาสดูว่าขณะที่ปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คนในตลาดกลางคืน จะได้บังเอิญพบเจอพวกมารอีกหรือไม่
แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับเป็นว่า มือไม้ของตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนต่างก็พะรุงพะรังไปหมดแล้ว สาวน้อยเห็นอะไรเป็นต้องอยากซื้อไปเสียหมด
ขาหมูย่างของตระกูลหลี่ เอาสิบชิ้น
จีเฉวียน “ซื้อ”
ขนมเปี๊ยะเนื้อเค็มของจางจื่อ เอายี่สิบชิ้น
จีเฉวียน “ซื้อ”
………………….
ตู๋กูซิงหลันเอาแต่ใจอย่างยิ่ง ถึงกับไม่ยอมให้เขาเอาอาหารไปเก็บเอาไว้ในถุงเฉียนคุน
ส่วนจีเฉวียนก็ตามใจนางอย่างที่สุด กวาดซื้อมาหมดทุกอย่าง บนตัวของเขาจึงมีอาหารแขวนอยู่เต็มไปหมด
จนแทบจะเหลือแต่ศีรษะที่ยังว่างอยู่เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูน่าดึงดูดใจจนผู้คนต้องพากันหันกลับมามอง ชาวเมืองหลวงตี้ตูต่างก็เคยพบเห็นตู๋กูซิงหลันมาหลายครั้งแล้ว พอเจอนาง ก็รีบส่งอาหารมาถวาย แต่ละคนต่างไม่ต้องการเงิน
ตู๋กูซิงหลันรับเอาไว้อย่างยิ้นดี ริมฝีปากน้อยๆคอยกล่าวขอบคุณเสียงหวานจ๋อยอยู่ตลอดเวลา
จีเฉวียนที่มีอาหารแขวนอยู่เต็มตัว ใบหน้าจึงพลอยถูกปิดบังไปด้วย คนบนถนนไม่ทันสังเกตดูรูปโฉมของเขา ทั้งหมดพุ่งความสนใจไปยังตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
ก่อนที่ฮ่องเเต้หญิงจะเสด็จไปจากแดนโบราณนี้พักใหญ่ นางมันจะมาเดินเล่นในเมืองอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเหล่าชาวบ้านได้เห็นนางต่างก็รู้สึกสนิทสนมจนคุ้นเคย
ตู๋กูซิงหลันไม่ใช้เกี้ยวหาบ พวกชาวบ้านพอได้เจอนาง บางคนก็ปลาบปลื้มจนถึงขั้นหลั่งน้ำตาออกมา
จากเดิมทีที่เป็นการเดินชมบรรยากาศยามค่ำธรรมดา พอกลายเป็นจุดสนใจของคนขึ้นมา ทั่วทั้งตลาดก็ตื่นเต้นกันใหญ่แล้ว
จีเฉวียนมองดูนาง ก็คิดย้อนกลับไปถึงต้าโจวในยามก่อนๆ
บรรยากาศที่มีแต่ความเงียบงันวังเวง แต่ละขุมกำลังต่างสู้รบแย่งชิง ไม่มีทางที่จะได้เห็นบรรยากาศอันสงบสุขและคึกคักเช่นนี้ได้เลย
ตอนที่เขาได้ขึ้นครองราชย์นั้น ก็ตั้งปณิธานเอาไว้ข้อหนึ่ง
“เราปรารถนาให้แผ่นดินมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีเด็กน้อยที่ตกระกำลำบากเช่นเดียวกันกับเราอีกแล้ว ไม่ต้องมีใครเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีการแก่งแย่งในหมู่พี่น้อง ไม่ต้องมีความแห้งแล้งกันดาร ไม่ต้องมีการอพยพและพลัดพราก”
“เราปรากรถนาให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล มีภูเขามีแม่น้ำ ร่วมเสพสุขไปพร้อมๆกับประชาชน”
และทั้งหมดนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ทำได้สำเร็จหมดแล้ว
เขามอบแผ่นดินทั่วหล้าให้กับนาง นางมอบความสงบสุขใต้หล้าให้กับเขา
ช่วงชีวิตที่เหลือ เขาเพียงต้องการปกป้องโลกใบนี้ และปกป้องนางเท่านั้น
………………………