บทที่ 546 มหันตภัยเทพมารอนธการ
‘หากข้ายอมรับคำขอเข้าฝันของตี้จวิน จะมีอันตรายหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนหกหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
สุดยอด!
อริยะมรรคาสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็จ่ายแค่สี่พันล้านปีเท่านั้น เพียงพอจะทำให้เห็นแล้วว่าตี้จวินแข็งแกร่งขนาดไหน
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยเลือกอย่างเงียบเชียบ
[ขณะนี้ไม่มี]
อะไรคือขณะนี้
หรือว่าหลังจากเข้าสู่แดนความฝันไปสักระยะจะมี?
หานเจวี๋ยซักถามต่อ
[การเข้าฝันครั้งปัจจุบันนี้ไม่มีอันตรายแน่นอน]
พอเห็นแบบนี้ หานเจวี๋ยถึงได้ยอมเลิกรา
แจ้งเตือนคำขอเข้าฝันจากตี้จวินยังคงส่งมารัวๆ
หานเจวี๋ยเลือกยอมรับคำขอเข้าฝัน
ทันใดนั้น หานเจวี๋ยมาโผล่ที่ห้วงจักรวาลมืดสลัวแห่งหนึ่ง พูดให้ถูกคือที่นี่เป็นตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เพียงฉายภาพจำลองของห้วงจักรวาลดาษดาราเท่านั้น ดูงดงามตระการตา
หานเจวี๋ยมองเห็นตี้จวิน อีกฝ่ายนั่งสมาธิอยู่หน้ากระดานหมากรุกโปร่งแสงกระดานหนึ่ง ตัวของตี้จวินช่างสมนามนัก หน้าตาหล่อเหลาสง่างามจริงๆ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม บุคลิกสุขุมมั่นคง ให้อารมณ์ดั่งจักรพรรดิผู้เปี่ยมคุณธรรมเมตตา เขาดูแตกต่างจากในตำนานอย่างยิ่ง
ในจินตนาการของหานเจวี๋ย อย่างน้อยๆ ก็น่าจะน่าเกรงขามยิ่งนัก จากรูปประจำตัวที่ได้เห็น ไม่มีความอ่อนโยนเช่นนี้อยู่เลย
หานเจวี๋ยเดินเข้าไป ค้อมกายคารวะ
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นลูกพี่ใหญ่ จำเป็นต้องมีมารยาทด้วย
ตี้จวินมองพิจารณาหานเจวี๋ย เอ่ยชมเชย “ไม่คิดเลยว่าในมรรคาสวรรค์ยังมีผู้ที่อาศัยพลังพิสูจน์มรรคอย่างเจ้าปรากฏตัว ยอดเยี่ยมจริงๆ”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างถ่อมตัว “หากเทียบกับผู้ทรงพลังอย่างท่านแล้ว ข้าจะนับเป็นอะไรได้ ถึงแม้จะไม่ทราบว่าท่านคือผู้ใด แต่แดนความฝันนี้ก็ทำให้ข้ายากหยั่งถึง น่าชื่นชมนัก”
ตี้จวินลูบเคราพลางยิ้มแวบหนึ่ง ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันอย่างมีมารยาท
หานเจวี๋ยรังเกียจการพูดคุยตามมารยาทที่สุด แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก จึงทำได้เพียงพูดคุยตามมารยาทต่อไป
เขาใช้แบบจำลองการทดสอบทำการคัดลอกตบะของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปพักใหญ่
ตี้จวินกลับเข้าประเด็น เอ่ยว่า “ครั้งนี้ที่เข้าฝันเจ้า เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ตามข้อความที่บรรพชนเต๋าทิ้งไว้ เทพมารอนธการจะอุบัติขึ้นในแดนเซียน เป็นผู้นำเทพมารฟ้าบุพกาล เข้ากวาดม้วนมหามรรค และเจ้าคือตัวแปร เจ้าอาจจะเป็นเทพมารอนธการ หรืออาจจะเป็นผู้ที่มีความหวังในการต่อกรกับเทพมารอนธการที่สุดก็เป็นได้”
หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “เทพมารอนธการคือสิ่งใด”
“แรกเริ่มก่อนเบิกนภาคือฟ้าบุพกาล ก่อนกำเนิดฟ้าบุพกาลคืออนธการ เจ้าจะเข้าใจว่าเป็นยุคสมัยที่โบราณกาลยิ่งกว่าผานกู่และบรรพชนเต๋าก็ได้ พวกเราสงสัยว่า ก่อนกำเนิดฟ้าบุพกาล เคยมียุคที่รุ่งเรืองยิ่งกว่า ก็คือยุคสมัยแห่งเทพมารอนธการ เพียงแต่เนื่องด้วยสาเหตุบางอย่าง อนธการจึงล่มสลาย ก่อกำเนิดเป็นฟ้าบุพกาล จากนั้นฟ้าบุพกาลก็ดำเนินรอยตามอนธการ ถูกเทพมารฟ้าบุพกาลแบ่งแยก กำเนิดเป็นมหามรรคและมรรคาสวรรค์”
“ดังนั้นเทพมารอนธการแข็งแกร่งที่สุดหรือ”
“ถูกต้อง”
“ข้าไม่ใช่เทพมารอนธการ และไม่อยากต่อกรกับเทพมารอนธการ อันตรายเกินไป…”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วขณะเอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าวิตกอย่างยิ่ง
ตี้จวินเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดคาดเช่นกัน เขาเอ่ยยิ้มๆ “ในมรรคาสวรรค์ปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งไปกว่าเจ้า เทพมารอนธการน่าจะยังไม่เติบใหญ่ ถึงขั้นที่อาจยังไม่ถือกำเนิดด้วยซ้ำ”
หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อยังไม่ถือกำเนิด เหตุใดจึงมาหาข้า มาเตือนข้า จะให้ข้าสังหารเทพมารอนธการตั้งแต่แบเบาะหรือ”
“ถูกต้อง!”
แววตาตี้จวินคมกล้าขึ้นมา
หานเจวี๋ยสัมผัสถึงความรู้สึกกดดันที่ยากจะอธิบายได้อย่างหนึ่ง ความรู้สึกกดดันนี้ไม่ได้ทรงพลังนัก แต่กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดยิ่ง
ตี้จวินจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “หานเจวี๋ย เจ้ากล้ารับภารกิจนี้หรือไม่ หากทำสำเร็จ ข้าจะบันดาลโอกาสวาสนาอันไร้ขีดจำกัดให้แก่เจ้า หลุดพ้นจากความอนิจจัง”
หานเจวี๋ยพลันนึกถึงอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว ตนฝันถึงยักษาตนหนึ่ง เขาก็เคยพูดจาทำนองนี้
ราวกับว่าหานเจวี๋ยอยู่ในห้วงมายาก็มิปาน
ตอนนี้ตี้จวินก็เอ่ยถึงอีก นี่หมายความว่าอย่างไร
ขณะที่เขากำลังจะถาม ตี้จวินก็กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร ระดับไม่เท่ากัน รอให้เจ้าแตะขอบเขตมหามรรคแล้ว จะเข้าใจแน่นอน”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางถาม “เช่นนั้นเทพมารอนธการมีลักษณะเด่นอย่างไร”
ตี้จวินส่ายหน้า “เทพมารอนธการ ไม่มีผู้ใดรู้จัก พวกเราเหล่าผู้พิสูจน์มหามรรคก็ไม่เคยเห็นเทพมารอนธกรมาก่อนเช่นกัน เทพมารอนธการเป็นเพียงคำพยากรณ์อย่างหนึ่งที่บรรพชนเต๋ากล่าวไว้ บางทีอาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ดึงดูดชักนำมาอย่างแน่นอน เจ้าอดทนรอคอยต่อไปก็จะรู้เอง”
หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นครุ่นคิด
ใครคือเทพมารอนธการกันแน่
แล้วเทพมารอนธการคืออะไร
หานเจวี๋ยปิดกั้นความทรงจำของตนโดยตรง ไม่กล้านึกถึงว่าตนก็คือเทพมารอนธการ
ตี้จวินเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอริยะ หานเจวี๋ยจำเป็นต้องระวัง
ถึงขั้นที่ต้องเสแสร้งแม้กระทั่งในใจ!
“ภายหน้าหากมาเยือนแดนเทพหวนปัจฉิม ก็มาเยี่ยมข้าได้” ตี้จวินกล่าวประโยคนี้จบก็โบกมือ
แดนความฝันสลายตัวลง
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ผีน่ะสิที่จะไปแดนเทพหวนปัจฉิม!
ไม่ง่ายเลยกว่าผู้เฒ่าจะถึงขอบเขตไร้พ่ายในแดนเซียนได้ ทำไมต้องย้ายไปพื้นที่ระดับสูงกว่าให้โดนไล่ทุบอีกเล่า
‘ดูเหมือนฐานะเทพมารอนธการจะเปิดเผยไม่ได้ หาไม่แล้วจะอันตรายเกินไป’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขาถึงขั้นที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะไม่ออกนอกเขตมรรคาสวรรค์
ด้านนอกอันตรายเหลือเกิน!
ยังคงเป็นมรรคาสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เขาต้องรีบทะลวงระดับแล้ว
รอจนเขาได้ครอบครองดวงชะตามรรคาสวรรค์ ครอบครองมรรคาสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็สามารถทำตามใจได้แล้ว!
‘เทพมารอนธการ รวมเทพมารฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่ง มิใช่ข้าหรอกหรือ’
หานเจวี๋ยรู้จักตัวเองดียิ่ง ตนน่ะหรือจะชักนำให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่
ไม่ถูกแล้ว!
หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดบรรพชนเต๋าจึงเชื่อว่าข้าเป็นตัวแปรเล่า
‘ข้าอยากรู้ว่าบรรพชนเต๋าคิดว่าข้าคือเทพมารอนธการหรือไม่’
[เกี่ยวข้องกับตัวตนที่อยู่เหนือกว่าขีดจำกัดของระบบ ไม่สามารถทำนายได้]
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว ระดับของบรรพชนเต๋าลึกล้ำเกินหยั่งจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขานึกว่าขีดจำกัดของบรรพชนเต๋าคือมรรคาสวรรค์ แต่ฟังจากถ้อยคำของตี้จวินแล้วน่าจะอยู่เหนือไปกว่านั้น
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิด ถามว่า ‘มีผู้ใดคิดว่าข้าคือเทพมารอนธการหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนแปดหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
มีจริงๆ หรือ?
หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อทันที
เงาร่างหนึ่งผุดขึ้นในสมองของเขา เบื้องหน้าปรากฏข้อความแถวหนึ่ง
[อริยะเจ็ดวิถี]
คนผู้นี้…
หานเจวี๋ยพลันหวั่นวิตกขึ้นมา ในอาณาเขตเต๋ามีร่างแยกร่างจำลองของอริยะเจ็ดวิถีอยู่ ก็คือโจวฝาน
หรือว่าอริยะเจ็ดวิถีสอดส่องเขาอยู่
หานเจวี๋ยถามต่อทันที
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนแปดหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ขณะนี้ไม่มี]
‘เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงคิดว่าข้าคือเทพมารอนธการ’
[คาดเดา]
ครั้งนี้ไม่โดนหักอายุขัย
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ถามต่อว่า ‘อริยะเจ็ดวิถีมีจิตคิดร้ายกับข้าหรือไม่’
[ขณะนี้ไม่มี]
หานเจวี๋ยโล่งอกในที่สุด
ถามรวดเดียวสี่คำถาม ถึงแม้จะมีสองข้อที่ไม่โดนหักอายุขัย แต่นับรวมแล้วเขาก็ถูกหักไปไม่น้อยอยู่ดี
ต้องกล่าวเลยว่า เมื่อครู่หานเจวี๋ยตระหนกเกินไป เขาสามารถใช้คำถามที่ครอบคลุมสมบูรณ์กว่านี้เพื่อวิวัฒนาการได้
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาโจวฝานทันที
ในไม่ช้า โจวฝานก็มาขอเข้าพบ
โจวฝานถามด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์ จะถ่ายทอดพลังวิเศษให้ข้าหรือขอรับ”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างสงบ “เจ้าเป็นต้าหลัวแล้ว อยากออกไปหาประสบการณ์สักเที่ยวหรือไม่”
โจวฝานตะลึงงัน ถามด้วยความแปลกใจ “มิใช่ต้องบรรลุครึ่งอริยะถึงจะออกไปได้หรอกหรือ”
“มหันตภัยมารสวรรค์ถูกกำจัดแล้ว อริยชนในชั้นฟ้าที่สามสิบสามจะก่อตั้งเมืองฟ้าบุพกาล ศิษย์ของสำนักต่างๆ ล้วนไปเข้าร่วม ข้าอยากให้เจ้าเป็นตัวแทนของสำนักซ่อนเร้น”
“เมืองฟ้าบุพกาลหรือ ได้ขอรับ! ข้าไป!”
ดวงตาโจวฝานส่องประกาย ตอบรับทันที
ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม นั่นคือพื้นที่ของอริยะ
อีกอย่างเรื่องนี้ก็ได้เป็นตัวแทนของสำนักซ่อนเร้นด้วย เขาได้สร้างผลงานพอดี!
“อืม เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ ข้าพร้อมไปได้ทันที”
หานเจวี๋ยพลันโบกแขนเสื้อ ส่งตัวเขาออกไปทันใด
หลังโจวฝานจากไป หานเจวี๋ยเข้าฝันฉิวซีไหล เทพสูงสุดหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ฝูซีเทียนและมหาจักรพรรดิเซียวตามลำดับ แจ้งให้ทราบว่าโจวฝานจะเป็นตัวแทนของสำนักซ่อนเร้นไปเข้าร่วมเมืองฟ้าบุพกาล
เหตุผลที่แจ้งให้อริยะทั้งหมดทราบ เพราะหานเจวี๋ยกลัวว่าในหมู่อริยะจะมีคนขัดขาและปองร้ายโจวฝาน แน่นอนว่าต่อให้ปองร้าย ก็เล่นงานอริยะเจ็ดวิถีไม่ได้อยู่ดี
………………………………………………………………