ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะลงมา มองดูมือที่เกาะกุมข้อเท้าของตนเองเอาไว้ ด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง
นางชื่นชอบความรู้สึกที่ได้รับการดูแลจากจีเฉวียนเช่นนี้อย่างยิ่ง
ยามที่เงยหน้าขึ้นมา ประกายในดวงตาก็มีแต่ภาพของจีเฉวียน นางมองดูเขา ด้วยความพึงพอใจอย่างลึกซึ้ง
“พวกเชียนเชียนบอกกับข้าว่า นับจากวันนี้ไป ท่านจะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวแล้ว” มุมปากของนางประดับไปด้วยรอยยิ้ม นัยตาเปล่งประกาย
“เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียวตลอดมา ก่อนหน้านี้ใช่ ตอนนี้ใช่ หลังจากนี้ก็ใช่” จีเฉวียนยื่นมือไปบีบปลายจมูกของนางเบาๆ นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
“เช่นนั้น ก็ต้องนอนกับข้าไปตลอดชาติเลยสินะ?” ตู๋กูซิงหลันกระพริบตา ในดวงตาเหมือนมีแสงดาวพร่างพราววิบวับ
จีเฉวียนชะงักไปเล็กน้อย เจ้าตัวน้อยผู้นี้ มักใช้ดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามาแทนคำพูดเกี้ยวพาราสีให้เขาเก้อเขินได้อยู่เสมอ
ฝ่ามือใหญ่ของเขาประคองใบหน้าของนางเอาไว้ ส่งริมฝีปากออกไป ประทับลงบนหน้าผากของนาง “แน่นอนอยู่แล้ว”
ตู๋กูซิงหลันนิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะฮิฮะ ออกมา
ด้วยความรับรู้ของนางในตอนนี้ย่อมไม่อาจเข้าใจได้ว่าการแต่งงานนั้นหมายความเช่นไรกันแน่ นางเพียงแต่คิดว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป จีเฉวียนจะเป็นของนางเพียงผู้เดียว หัวใจของนางก็เบิกบาน พอใจอย่างที่สุดแล้ว
ทั้งสองหัวเราะแก่กันอยู่ในเกี้ยว รับการคำนับจากบรรดาขุนนาง จากนั้นขบวนก็เริ่มเคลื่อนออกไปทางปากประตูวัง
ฮ่องเต้หญิงและตี้โฮว่เสด็จออกในขบวนแห่รับการคำนับและชื่นชมจากปวงประชา นี่เป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธีอภิเษก ที่ไม่อาจงดเว้นได้
หลังจากเสร็จขบวนแห่ รอจนถึงช่วงพลบค่ำ ก็จะเป็นพิธีอภิเษกและแต่งตั้งตี้โฮ่วอย่างเป็นทางการ
พอขบวนมาถึงปากประตูวัง ก็ดึงดูดความเคลื่อนไหวของฝูงชนทั้งหลาย
ทั้งหมดต่างพากันคำนับลง ปากก็ตะโกนโห่ร้องฮ่องเต้หญิงทรงพระเจริญหมื่นปีออกมา
กับตู๋กูซิงหลัน เหล่าพสกนิกรต่างมีแต่ความเคารพและชื่นชม คำถวายพระพรนี้ยิ่งเปล่งออกมาจากน้ำใสใจจริง
ตู๋กูเจวี๋ยเป็นตัวแทนของตู๋กูซิงหลันอนุญาตให้ทั้งหมดลุกขึ้น
ที่ปากประตูวัง กลีบบุปผาเริงระบำไปในอากาศ บนกำแพงเมืองมีระฆังทองแดงขนาดสามเมตรแขวนเอาไว้ เมื่อฮ่องเต้หญิงและตี้โฮว่โบกพระหัตถ์ เสียงระฆังก็ดังกังวานออกไป เปรียบเสมือนน้ำพระทัยอันอบอุ่นที่มีให้กับประชาชน
คราวนี้ จีเฉวียนค่อยเสด็จลงมาจากเกี้ยวทรง
พระองค์ทรงชุดมงคลสสีแดงเพลิง บนพระเศียรทรงกว้านหยกม่วง พระรูปโฉมที่เดิมทีก็งามล้ำอยู่แล้ว เมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ก็ยิ่งเหมือนทอทาบไปด้วยละอองสีทองอีกชั้นหนึ่ง จนส่องประกายไปทั่วทุกทิศทาง
ทันทีที่ได้เห็นพระองค์ ประชาชนนับพันนับหมื่นต่างก็ต้องตกตะลึงจนตาค้างไป
พวกเขาต่างก็ลืมตาโตขึ้นมา ตกตะลึงพรึงเพริดจนทำอะไรไม่ถูก
ก็ตี้โฮ่วผู้นี้….ที่จริงแล้ว?
เขาก็คือ….
เหล่าราษฎรในเมืองต้าโจว จะมากน้อยต่างก็เคยได้เห็นอดีตฮ่องเต้ของตนเองมาบ้าง
ดวงพระพักตร์นั้น แม้ว่าจะได้เห็นเพียงแค่แวบเดียว ก็ไม่มีทางลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต
ฝ่าบาทมิใช่ว่าทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วหรอกหรือ?
ดวงตาของเหล่าราษฎรต่างก็เกิดความสับสนขึ้นมา พวกเขาพึ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่าฮ่องเต้หญิงพระองค์นี้ทรงเคยเป็นไทเฮาน้อยมาก่อน ทั้งยังมีข่าวเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับพระองค์และอดีตฮ่องเต้อยู่มากมาย
หลังจากนั้น….นางก็กลายเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นเหยียน ฮ่องเต้ทรงยึดแคว้นฉินและยกให้กับนาง หลังจากรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดเป็นปึกแผ่น ก็ยกทั้งหมดมาไว้ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้หญิง
ส่วนพระองค์เอง กลับมีข่าวออกมาว่าสิ้นพระชนม์ไปในทะเลไร้ก้น
แต่ว่าตอนนี้ พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว?
แถมยังกลายเป็นตี้โฮ่วของฮ่องเต้หญิง?
พริบตานั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างมีเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
หากว่าเป็นกาลก่อน พวกเขาคนหนึ่งคือฮ่องเต้ คนหนึ่งเป็นไทเฮา ด้วยฐานะที่เกี่ยวข้องกันของทั้งสอง มิว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
แต่ว่าตอนนี้ คนหนึ่งคือฮ่องเต้หญิงผู้ครองดินแดนโบราณทั้งหมด อีกคนก็คืออดีตฮ่องเต้ที่ ‘ฟื้นจากความตาย’
ศักดิ์ฐานะที่ถ่วงรั้งเอาไว้ จึงไม่มีอีกแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตื่นตะลึง แต่พอคิดดูให้ละเอียด ในเมื่อตี้โฮ่วผู้นี้ทรงเป็นอดีตฮ่องเต้ต้าโจว…..เช่นนี้ก็นับว่าคู่ควรและเหมาะสม
เพราะว่าบุคคลที่ในใจมีแต่เพียงฮ่องเต้หญิงเพียงพระองค์เดียวเช่นอดีตฮ่องเต้นี้ เกรงว่าในใต้หล้านี้ก็คงจะมีแค่เพียงผู้เดียวกระมั้ง?
ดังนั้นหลังจากที่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ฝูงชนก็ค่อยๆทยอยกันสงบลง
ที่จริงแล้วมิว่าฮ่องเต้หญิงจะทรงเลือกใคร ขอเพียงฮ่องเต้หญิงทรงพระเกษมสำราญ ก็นับว่าเพียงพอแล้วมิใช่หรือ?
นางอาศัยความสามารถของตนเอง ปกครองดินแดนโบราณทั้งหมดให้ร่มเย็นเป็นสุข เหล่าราษฎรมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่อย่างได้รับความเคารพในคุณค่า มีอิสระเสรี ฮ่องเต้หญิงเช่นนี้สมควรให้นางได้มีความสุขสำราญพระทัยไปชั่วชีวิต!
จีเฉวียนมองดูเหล่าราษฎรที่คุกเข่าอยู่ใต้กำแพงอย่างเรียบเฉยรอบหนึ่ง เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า เมื่อพวกเขาได้เห็นตนเอง จะต้องแตกตื่นตกใจและขุ่นเคืองขึ้นมา
แต่ตอนนี้พอมองดูแล้ว ฝูงชนกลับสงบนิ่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มากมาย ท่ามกลางผู้คนนับพันนับหมื่น กลับไม่มีผู้ใดคัดค้านขึ้นมาแม้แต่ผู้เดียว
ในที่สุด จีเฉวียนก็เข้าใจแล้วว่า พื้นที่ที่เสี่ยวซิงซิงของตนตราตรึงอยู่ในใจของประชาชนนั้นมิใช่สิ่งที่อะไรหรือใครก็จะสามารถมาทดแทนได้โดยง่าย
เขายืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือเข้าไปในเกี้ยวทรง เกาะกุมมือที่บอบบางข้างหนึ่งเอาไว้ ดึงตัวตู๋กูซิงหลันออกมาเบาๆ
ผ้าคลุมเกี้ยวปลิวมา พลิ้วขึ้นไปบนฟ้ามุมหนึ่ง
หมวกมงกุฏหงส์ของนางส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง เสียงที่ลอยไปตามลมเข้าสู่ริมหูของผู้คนทั้งหลาย
มุมผ้าสีแดงที่ปลิวขึ้นมานั้น เผยให้เห็นดวงพักตร์ครึ่งหนึ่งของตู๋กูซิงหลันพอดี
เพียงแค่พริบตานั้น ก็สร้างความประทับใจไปชั่วชีวิตให้กับทุกผู้คนที่ได้เห็น
ฮ่องเต้หญิง มิว่าเมื่อใดก็ทรงงดงามจนบาดตาอยู่เสมอ และความงามของนางในวันนี้ก็ยิ่งทำให้สีสันของผู้คนและทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านจืดจางลงไป
พริบตานั้นเอง สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่นางเพียงผู้เดียว
แม้จะได้เห็นดวงพักตร์เพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ทำให้ผู้คนต่างหลงใหลจนลืมตนไปแล้ว
มือที่ใหญ่กว่าของจีเฉวียนแทบจะกุมมือทั้งหมดของนางเอาไว้ในฝ่ามือของเขาทั้งหมด เพียงแค่ออกแรงดึงมือของนางเบาๆก็ดึงคนออกมาจากเกี้ยวทั้งร่าง
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน นางขยับเท้าก้าวออกไป รองเท้าปักสีแดงพึ่งจะวางลงไปบนพื้นข้างหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นชาของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมา
“แค่ตัวปลอมผู้หนึ่ง ก็สมควรจะได้จัดงานอภิเษกถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบลง น้ำเสียงที่ดังขึ้นมานั้นช่างบาดหูอย่างยิ่ง
ฝูงชนต่างก็พากันงุนงงไปหมด ต่างพากันมองหาว่าที่มาของเสียงคือที่ใด
ส่วนคนผู้นั้นก็มิได้แอบซ่อนอีกต่อไป เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ก้าวออกมาจากฝูงชนที่แน่นขนัด เดินออกมาอย่างองอาจ
“ท่าน….ราชครู?”
มีคนจดจำเขาได้
“มิใช่ว่าถูกขังเอาไว้ในคุกหลวงหรอกหรือ? ทำไม….”
ฝูงชนต่างก็ทั้งตกตะลึงและสงสัย ฉางซุนซิ่ว ในต้าโจวแทบจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักเขา
พอฉางซุนซิ่วปรากฏตัว สีหน้าของคนตระกูลตู๋กูก็พากันเคร่งเครียดขึ้นมา
โดยเฉพาะตู๋กูจุน เขาถึงกับกุมดาบยักษ์ขึ้นมาอย่างแนบแน่นในทันที
เรื่องศพคืนชีพในแคว้นเหยียน….. เขายังมิได้คิดบัญชีกับมันให้ละเอียดเลย แต่คนผู้นี้ กลับกล้ามาก่อความวุ่นวายในงานอภิเษกของน้องเล็ก?
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าตู๋กูเองก็มิสู้ดี
การรักษาความปลอดภัยในวันนี้ เขาเป็นคนวางแผนและจัดการด้วยตนเอง แต่กลับยังไม่อาจป้องกันให้เจ้าตัวร้ายเช่นนี้โผล่ออกมา?
ฉางซุนซิ่วมิได้สนใจมองปฏิกริยาของพวกเขา เขาก้าวยาวๆออกไปที่เบื้องหน้าของฝูงชน เขายิ้มออกมาอย่างเย็นชา เงยหน้ามองดูคนทั้งสองที่ยืนอยู่บนกำแพงสูง
“ก็แค่วิญญาณเร่ร่อนที่มายึดร่างของตู๋กูซิงหลัน กลับกล้าหลอกลวงผู้คนทั้งหมดเสียจนอยู่หมัด!”
เขาชี้นิ้วออกไปที่ตู๋กูซิงหลันซึ่งกำลังก้าวออกมา “ทุกคนจงเบิกตามองดูให้ดี สตรีผู้นี้มิใช่ฮ่องเต้หญิง นางก็แค่ตัวปลอมที่มาแย่งชิงร่างกายของผู้อื่น!”
……………….