แผนการของฉางซุนซิ่วเดิมทีถูกวางเอาไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เม็ดหมากบนกระดานกลับถูกเททิ้งไป
เขาโกรธเกลียด เคียดแค้น ในดวงตาเหมือนมีเปลวไฟลุกโชน
เสียงตะโกนเมื่อครู่รุนแรงดุจสายฟ้าคำราม โหมแรงจนเส้นผมยาวๆของจีเย่ว์ปลิวขึ้นมาในอากาศ
จีเย่ว์กลับมิได้เปลี่ยนสีหน้า เพียงยกแขนเสื้อขึ้นมา ปาดเช็ดละอองน้ำลายบนใบหน้าทิ้งไป เขายังคงสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “เอ็นร้อยหวายของเจ้าถูกตัดทิ้งไปแล้วมิใช่หรือ? ทำไมอยู่ๆถึงได้หายดีขึ้นมา?”
อยู่ๆก็ถูกย้อนถามใส่ ทำเองฉางซุนซิ่วถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
ทั้งๆที่เขากำลังเป็นฝ่ายหาเรื่อง แต่เพียงพริบตา กลับถูกจีเย่ว์ยันทัพกลับมา?
ขณะที่เขากำลังอ้ำอึ้งอยู่นั้น ฝูงชนก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมา
จริงด้วย ทำไมก่อนหน้านี้พวกเขาถึงได้ไม่ทันได้สังเกตนะ ขาของราชครูหายดีได้อย่างไร? ไม่เพียงแต่รักษาจนหาย แต่ยังดูแข็งแรงกว่าเดิมด้วย
ฉางซุนซิ่วอ้าปากค้าง กำลังคิดจะหาข้อแก้ตัว จีเย่ว์ตอกกลับไปในทันควันว่า “ก็เพราะว่าเจ้ากลายเป็นมารไปแล้ว เมื่อกลายเป็นสุนัขรับใช้ของพวกมาร ก็เลยแลกเอาสองขาที่แข็งแรงมาใช่หรือไม่?”
ฉางซุนซิ่ว “เจ้า!” เขาตะลึงไปแล้วจริงๆ จีเย่ว์ผู้นี้กล้าดีอย่างไร! มันกล้าพูดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร
สายตาของเขากวาดมองออกไปโดยรอบครั้งหนึ่ง ใต้เท้าซือหลินยังคงอยู่ที่นี่ มันกลับกล้าเปิดเผยเรื่องฐานะในเผ่ามารของเขาออกมา คงจะไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?
พอได้ยินเผ่ามารสองคำนี้ คนที่เปลี่ยนสีหน้าไปก่อนใครก็คือหยวนเมิ่งที่อยู่บนกำแพงสูง
หัวใจของนางเหมือนถูกแทงลงไปดาบหนึ่ง ดวงตาที่เหมือนมีหมอกจางๆคู่นั้นไปหยุดอยู่ที่ร่างของฉางซุนซิ่ว นับตั้งแต่ที่คนผู้นี้ปรากฏตัว นางก็สัมผัสได้ถึงไอมารที่อยู่ในร่างของเขาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะถูกปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดก็ตามเถอะ
ที่แท้ อี้อ๋อง ก็ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน?
นางอดไม่ได้ที่จะกุมหยกวิญญาณที่จีเฉวียนมอบให้แนบแน่นกว่าเดิม ด้วยความเกรงกลัวว่าไอมารในร่างจะเล็ดลอดออกไป
มิใช่เป็นเพราะกลัวว่าฐานะของตนเองจะถูกเปิดโปง แล้วจะทำให้ตนเองต้องพบเคราะห์กรรมอะไรบ้าง
แต่เพราะเกรงว่าจะทำให้ไทเฮาน้อยต้องพบกับปัญหายิ่งกว่าเดิม
เดิมทีวันนี้คือวันมงคลสมรสของนาง เดิมทีวันนี้สมควรมีแต่เรื่องให้เบิกบานใจ ไม่ควรต้องมาเป็นทุกข์เพราะเรื่องใด
“เจ้ากลายเป็นมารไปแล้ว เมื่อคิดจะใช้พลังของพวกมารมาบีบคั้นข้ากับคนรัก ก็ย่อมง่ายดายจะตายไป” จีเย่ว์โบกขลุ่ยในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็โอบวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมเอาไว้ด้านหลัง “แต่ว่าความชั่วร้ายย่อมไม่มีทางชนะ ข้าเชื่อว่า ฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่ว จะต้องทรงปกป้องพวกเราได้อย่างแน่นอน จึงได้อดทนรอจนถึงตอนนี้เพื่อกระชากโฉมหน้าของเจ้าออกมา”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลเลอะเทอะอะไร!” ฉางซุนซิ่วทนไม่ไหวอีกต่อไป ลงมือต่อจีเย่ว์ในทันที ความสามารถในการพลิกดำขาวของคนผู้นี้ทำให้เขาชิงชังอย่างที่สุด
ลางสังหรณ์ไม่ดีที่รู้สึกได้เมื่อครู่ ตอนนี้กลับเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
จีเย่ว์วางแผนเล่นงานเขาแล้วจริงๆ!
ไอ้ตัวที่สมควรตาย!
ใจกลางฝ่ามือของเขาผุดไอสีดำออกมา พริบตาที่ไอสีดำกลายเป็นแส้ยาวบนฝ่ามือนั้นก็ฟาดออกไป ตวัดเข้าใส่ร่างของจีเย่ว์ในทันที
แต่แส้นั้นยังไม่ทันจะพุ่งออกไป หลงเซียวก็นำราชองครักษ์กลุ่มใหญ่เข้ามาล้อมเอาไว้ อีกทั้งอู้เจินก็พาศิษย์จากอารามเทียนเก๋อกวนทั้งหมดเหาะลงมาด้วย เพียงพริบตาเดียวฉางซุนซิ่วก็ถูกรายล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
จีเย่ว์เองก็ฉวนโอกาสนี้ เหาะถอยหลังออกไป เพียงแค่ใช้กำลังภายในไม่กี่อึดใจ เขาก็พาวิญญาณของร่างเดิมเหาะขึ้นไปจนถึงบนกำแพงสูงร่อนลงไปยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน
ยามที่ดวงตาทั้งสี่ข้างของคนทั้งคู่สบกันนั้น จีเย่ว์ก็ค้อมศีรษะให้กับจีเฉวียนเล็กน้อย ถือเป็นการแสดงความเคารพออกมา
ดวงตาของจีเฉวียนยังคงเย็นยะเยือกเช่นเดิม แต่ก็พยักหน้าให้กับเขาครั้งหนึ่ง
ชั่วพริบตานั้น ความห่างเหินที่ลึกล้ำของสองพี่น้อง ก็สลายหายไปราวกับหมอกควัน
จีเฉวียนกุมมือของวิญญาณในร่างเดิมขึ้นมา ค่อยๆผลักนางไปทางจีเฉวียนอย่างช้าๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไปเถอะ”
นางกุมมือของเขาเอาไว้แน่น ครู่หนึ่งถึงได้ยอมปล่อย
นางเงยหน้ามองดูจีเย่ว์จากนั้นก็หันไปหาตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน
ตู๋กูซิงหลันในชุดแต่งงานดูเปล่งประกายระยิบระยับหาใดเทียบ
ตั้งแต่ตอนที่จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง นางก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน
เป็นนางที่ขอร้องจีเย่ว์ให้พานางมาหาตู๋กูซิงหลัน เพื่อจะได้ทดแทนน้ำใจที่ติดค้างคืนให้กับนาง
เพราะมีตู๋กูซิงหลัน จึงทำให้มีนางขึ้นมา
ตลอดเส้นทางอันยาวไกลที่นางติดตามจีเย่ว์มาถึงที่นี่ นางก็ค่อยๆพบว่า ตนเองเดิมทีก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตู๋กูซิงหลันเท่านั้น ผู้ที่ส่วมใส่ชุดแต่งงานตรงหน้าผู้นี้ต่างหาก จึงเป็นตู๋กูซิงหลันที่แท้จริง
หากไม่มีตู๋กูซิงหลัน ก็จะไม่มีนาง
นางติดค้างหนี้ชีวิตตู๋กูซิงหลันถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือเมื่อก่อกำเนิด และอีกครั้งคือหลังจากที่ตายแล้วก็ยังได้รับการรักษาเศษเสี้ยวดวงวิญญาณเอาไว้
นางจดจำบุญคุณนี้ได้ และบุญคุณนี้ ก็จะตอบแทนคืนให้กับตู๋กูซิงหลันทั้งหมดในยามนี้เอง
ตู๋กูซิงหลันมองดูนาง เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งดูเหมือนว่ากำลังจะกลับมารวมกันอีกครั้ง
วิญญาณในร่างเดิมคลี่ยิ้มให้กับนาง “ที่เคยติดค้างเจ้าไว้ ย่อมต้องคืนให้กับเจ้าอยู่แล้ว”
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้เอ่ยตอบนาง ก็เห็นปลายนิ้วของจีเฉวียนขยับ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสลงบนหน้าผากของวิญญาณในร่างเดิม จากนั้นก็จับเศษเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณออกมาจากดวงวิญญาณนั้น ผนึกเข้าไปในหน้าผากของตู๋กูซิงหลัน
ทันทีที่ถูกดึงเศษเสี้ยววิญญญาณออกไป วิญญาณของร่างเดิมก็อ่อนยวบลง เงาร่างของนางเปลี่ยนเป็นเลือนราง
จีเย่ว์รีบคว้านางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ทุ่มเทพลังทั้งหมดในร่างของเขาถ่ายทอดเข้าไป ป้องกันไม่ให้วิญญาณที่บอบบางนั้นแตกสลาย
จีเฉวียนเองก็มิได้ดูอยู่เฉยๆ ฝ่ามือของเขาขับพลังวิญญาณออกมา ถ่ายทอดพลังนั้นเข้าไปในร่างเงาของนาง ทั้งยังนำวิญญาณของนางผนึกกลับเข้าไปในปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะของจีเย่ว์
“จงดูแลปิ่นไม้ไห่ถางนี้ให้ดี อีกครึ่งปีให้หลังนางก็จะตื่นขึ้นมาเอง” จีเฉวียนเอ่ยแล้วก็ส่งมืออีกข้างวางลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
ฝ่ามือใหญ่โอบรอบเอวคอดของนางเอาไว้ พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลถูกถ่ายทอดเข้าไปในร่างกายของนางอย่างไม่มีเสียดาย
ผ่านไปพักใหญ่ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณนั้นก็ถูกนางดูดซับเข้าไปจนหมดสิ้น
รอจนดวงตาดอกท้อคู่นั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ประกายแสงจากนัยตาคู่นั้นก็กลายเป็นทั้งร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
นางลุกขึ้นยืนตัวตรง มองออกไปยังรอบด้าน ค่อยหันกลับมามองดูจีเฉวียนที่อยู่ข้างกาย
ในสมองเกิดภาพเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วราวฝูงม้าวิ่งผ่าน
เรื่องที่ตู๋กูน้อยสามขวบกระทำลงไป ก็ผุดขึ้นมาไม่มีหยุด
จนกระทั่งเมื่อจีเฉวียนเอ่ยเรียกนางออกมาคำหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้หายเหม่อลอย
เมื่อหันหน้ามา และมองเห็นจีเฉวียนอย่างเต็มตา ในสมองก็ผุดคำพูดเรื่องที่เคยคุยกันไว้ว่าจะกินเนื้อที่มิใช่กินเนื้อเหล่านั้น
นางต้องกระแอมออกมาเล็กน้อย สายตาก็มองลอดผ่านเข้าไปในสาปเสื้อที่เผยอออกมาของเขา
ผิวพรรณที่เผยออกมานั้นดูเรียบลื่นดุจเนื้อหยกโบราณ…
นางรีบหันหน้าไปทางอื่น แต่มือก็ยังคงกุมจีเฉวียนเอาไว้ “ข้าหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้ว”
หากมิใช่เพราะว่าจีเฉวียนทุ่มเทถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนมาให้นางอย่างไม่มีเสียดาย นางก็คงจะไม่มีทางหายได้เร็วเช่นนี้
และก็เพราะว่าจิตวิญญาณนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของตนเองมาก่อน การหลอมรวมจึงทำได้อย่ากลมกลืนไร้ปัญหาใดๆ
เมื่อตู๋กูซิงหลันดึงสายตากลับมา ก็หันไปมองดูจีเย่ว์ครู่หนึ่ง
นางคิดไม่ถึงเลยว่า สักวันหนึ่ง จีเย่ว์จะนำดวงวิญญาณจากร่างเดิมกลับมาช่วยเหลือนาง
“เมื่อทำดีมีเมตตาย่อมได้รับเมตตาตอบ ฮ่องเต้หญิงมิจำเป็นต้องขอบคุณสิ่งใด” จีเย่ว์คุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่ที่เบื้องหน้า “ข้ากับหลันหลัน ต่างก็สำนักในบุญคุณของท่าน ไม่เคยลืมเลือนแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม”
…………………..