บทที่ 647 หน่วยลงทัณฑ์ซ่อนเร้น ภาวะติดขัดของเผ่าเอกา
หลังจากปล่อยตัวเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็ทุ่มเทสมาธิฝึกบำเพ็ญ
เวลาผ่านไปในชั่วพริบตา
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งพันปี
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตรวจดูกล่องจดหมาย
ในช่วงที่ผ่านมานี้ จอมอริยะเสวียนตูออกไปแล้ว วางแผนครอบครองแดนเซียนพิภพ ขยายดวงชะตามรรคาสวรรค์
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวในกล่องจดหมายแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจดหมายแจ้งเผชิญกับการโจมตี แต่ยังไม่มีการแจ้งว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
เท่าที่อ่านดู แดนเซียนสงบปลอดภัยกว่าฟ้าบุพกาล จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและหานทั่วแทบจะทำศึกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ทราบว่ากำลังต่อสู้กับผู้ใดอยู่
หลังจากอ่านจดหมายจบ หานเจวี๋ยก็เคลื่อนย้ายไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
เขาแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไปด้านนอก สำรวจทั่วแดนเซียนพิภพ
เขาจับกลิ่นอายของจอมอริยะเสวียนตูได้ อยู่ที่ชายขอบแดนเซียนพิภพ
ถึงแม้แดนเซียนพิภพจะนับว่าเป็นมรรคาสวรรค์น้อย แต่ความสามารถในการป้องกันตัวกลับห่างชั้นจากมรรคาสวรรค์นัก จอมอริยะเสวียนตูคิดจะมาก็มาได้เลย แดนเซียนพิภพไม่อาจต่อต้านและขัดขวางได้
จอมอริยะเสวียนตูกำลังสำแดงพลังเวท รวบรวมดวงชะตาแดนเซียนพิภพ หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจ
เขาสอดส่องตัวเลือกเทพมารที่ตนคัดไว้
หยางตู๋ เริ่นกังและอิ่นหงเฉินยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตัวเลือกเทพมารคนอื่นๆ ดับสูญไปนานแล้ว
ในหมู่คนทั้งสาม ตบะของหยางตู๋เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิเซียนมากเข้าไปเรื่อยๆ
หานเจวี๋ยพบว่าในร่างของหยางตู๋ซุกซ่อนพลังมหามรรคอันยิ่งใหญ่ไว้ กลิ่นอายนี้เด่นชัดยิ่งนักสำหรับผู้ครอบครองร่างจำลองเสรีสุญญตาอย่างหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย สีหน้าพลันแปลกพิกล
เขาทำนายพบว่าก่อนหน้านี้หยางตู๋ไปเป็นสายลับที่มิติไร้ขอบเขต กลายเป็นผู้กลับชาติมาเกิดชั้นแนวหน้า ได้รับฟังเทศนาธรรมจากอริยะที่อยู่เบื้องหลังมิติไร้ขอบเขต ประสบความสำเร็จตระหนักพลังแห่งมหามรรคเสี้ยวหนึ่ง
หนึ่งพันปีมานี้ มิติวัฏจักรขับไล่มิติไร้ขอบเขตออกไปจากแดนเซียนพิภพแล้ว จอมอริยะเสวียนตูไปหาอริยะตนนั้นด้วยตัวเอง หลังจากสองอริยะประลองพลังเวทกัน อริยะตนนั้นก็ยอมประนีประนอม ออกจากแดนเซียนพิภพไป มิใช่เพียงเท่านี้ กลุ่มผู้กลับชาติมาเกิดชั้นแนวหน้าของมิติไร้ขอบเขตก็ถูกบังคับดึงตัวเอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก
หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าฝันหยางตู๋
ภายในแดนความฝัน
เมื่อหยางตู๋เห็นหานเจวี๋ยที่มีแสงเทพบดบังกายก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เขาเคยพบอริยะมาแล้ว แต่อริยะผู้นั้นเทียบหานเจวี๋ยไม่ติดเลย ความองอาจน่าเกรงขามทำให้เขายากจะลืมลง เขามองแวบเดียวก็จำได้ทันที
“น้อมพบผู้อาวุโส!”
หยางตู๋คุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย น้ำเสียงตื่นเต้นอยู่บ้าง
หากไม่มีหานเจวี๋ย เขาไม่มีทางมาถึงวันนี้ได้
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเฝ้ามองการเติบโตของเจ้ามาตลอด จากนี้ข้าจะมอบทางเลือกให้เจ้าสองทาง”
“หนึ่ง ติดตามข้าไปตอนนี้ ไปฝึกฝนที่อาณาเขตเต๋าของข้า”
“สอง อยู่ที่แดนเซียนพิภพต่อ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อีกร้อยล้านปีให้หลังข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้ง”
หยางตู๋ได้ฟังก็สูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ตามท่านไปขอรับ!”
เขาเพลิดเพลินกับทุกอย่างในแดนเซียนพิภพแล้ว!
นับตั้งแต่ได้เข้าร่วมมิติไร้ขอบเขต สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดยังคงเป็นการฝึกบำเพ็ญ!
เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น!
เขาอยากแข็งแกร่งจนไม่ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ต้องถูกผู้อื่นบงการอีก
หานเจวี๋ยพอใจกับการตัดสินใจของหยางตู๋ยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “หากไปกับข้า เจ้าอาจต้องบากบั่นบำเพ็ญยาวนานยิ่ง นานจนแดนเซียนพิภพอาจล่มสลายไปตามธรรมชาติ เจ้ายินดีหรือไม่”
หยางตู๋ตะลึงงัน คำพูดของหานเจวี๋ยทำให้เขาตกใจ
แต่ในขณะเดียวกันก็ฟังความหมายที่แฝงอยู่ออก
เขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าแดนเซียนพิภพ!
“ข้ายินดีขอรับ!” หยางตู๋รีบเอ่ยตอบ
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระอีก สลายแดนความฝันทันที ดึงตัวหยางตู๋ข้ามมิติเข้าสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
เมื่อหยางตู๋ร่อนลงตรงหน้าหานเจวี๋ย เขาตกตะลึง
หานเจวี๋ยเริ่มใช้ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์กับเขา ป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน
เมื่อหยางตู๋ได้สติกลับมา ก็รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระเช่นกัน ขณะที่รอให้ระบบชำระล้าง เขาส่งมหามรรคต้นกำเนิดเข้าครอบคลุมวิญญาณของหยางตู๋ ทำให้เขาเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคอย่างรวดเร็ว ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญแห่งมหามรรคต้นกำเนิด
ส่วนเริ่นกังและอิ่นหงเฉินยังต้องฝึกฝนประสบการณ์ต่อ
ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็ไม่อยากก่อผสานกับเทพมารฟ้าบุพกาล
หากจะผสานหยางตู๋เข้ากับปราณเทพมาร ก็ต้องยกระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณ จากนี้หานเจวี๋ยวางแผนจะให้เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ไม่ให้ออกไปไหน
สิบปีต่อมา
หยางตู๋เดินออกมาจากอารามเต๋า
เขามองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในไม่ช้าก็มองเห็นพวกมู่หรงฉี่ เทพมารขุนพลสวรรค์ จิ้งจอกชาดและต่งจั๋วทั้งสี่คน
เขาลอบตระหนกอยู่ในใจ
สี่คนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งได้!
เขาไม่เคยรู้สึกหวั่นใจเช่นนี้มาก่อนเลย
เวลานี้เอง มู่หรงฉี่ลืมตาขึ้น กวักมือเรียกเขา
แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่หยางตู๋มองเห็นท่าทางของเขา จึงเข้าไปหาทันที
หานเจวี๋ยเคยอบรมเขาไว้ว่า ยามปกติให้ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ สุภาพมีมารยาทต่อผู้อื่น
เมื่อมาถึงเบื้องหน้ามู่หรงฉี่ หยางตู๋ประสานหมัดคารวะอย่างนอบน้อม เอ่ยแนะนำตัว
มู่หรงฉี่กล่าวว่า “ข้าคือมู่หรงฉี่ ตบะของเจ้าต่ำต้อยถึงเพียงนี้ จะเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้หรือ เจ้ามาจากที่ใดกัน”
เทพมารฟ้าบุพกาลหรือ
หยางตู๋ประหลาดใจ นั่นคือสิ่งใดกัน
เขาไม่กล้าปิดบัง บอกเล่าออกไปตรงๆ
มู่หรงฉี่เคยได้ยินเกี่ยวกับแดนเซียนพิภพมาก่อน แต่สำหรับมิติวัฏจักร เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
‘ไม่คิดเลยว่าอิทธิพลของอาจารย์ปู่จะแผ่ไปไกลถึงเพียงนี้ ไม่ได้เก็บตัวเหมือนในฉากหน้าที่แสดงออกเลย’ มู่หรงฉี่ทอดถอนใจอยู่ภายใน
หานเจวี๋ยดูเหมือนจะไม่แก่งแย่งไม่ช่วงชิง แต่ความจริงกลับลอบชุบเลี้ยงกองกำลังอันแข็งแกร่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ความคิดลึกล้ำดั่งมหาสมุทร
ทว่ามู่หรงฉี่มิได้รู้สึกต่อต้านเลย กลับรู้สึกปลอดภัยวางใจยิ่งกว่าเดิม
มีเพียงติดตามอาจารย์ปู่ต่อไปเช่นนี้ เส้นทางถึงจะราบรื่น
ตรงกันข้าม หากมีเพียงตบะที่แข็งแกร่ง ทว่าไร้แหล่งพึ่งพิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสะดุดล้ม
มู่หรงฉี่พูดคุยกับหยางตู๋ เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น
หานเจวี๋ยกลับมาที่อาณาเขตเต๋าหลัก
หลี่เสวียนเอ้าคุกเข่าคารวะอยู่หน้าประตูอารามเต๋า หานเจวี๋ยจึงให้เขาเข้ามา
เมื่อมาถึงเบื้องหน้าหานเจวี๋ย หลี่เสวียนเอ้าคารวะอย่างนอบน้อม จากนั้นก็กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ศิษย์สำนักซ่อนเร้นที่อยู่ด้านนอกทยอยกลับมากันแล้ว ศิษย์สืบทอดต่างก็กลับมากันครบแล้ว มีศิษย์ในนามแปดพันเจ็ดร้อยสามสิบหกคนที่ยังไม่กลับมา ข้าแจ้งเตือนไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่กลับมา ข้าคิดจะประกาศออกไปว่าพวกเขาทรยศต่อสำนักซ่อนเร้น อีกทั้งกำลังก่อตั้งหอคุมกฎแห่งสำนักซ่อนเร้นขึ้น เพื่อจับกุมศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ขอรับ”
“ถึงแม้สำนักซ่อนเร้นจะเป็นสำนักเพียรบำเพ็ญ แต่กฎระเบียบที่พึงมีก็ยังต้องมีอยู่”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หอคุมกฎให้โจวหมิงเยวี่ยมาดูแลจัดการ เจ้าช่วยเป็นธุระก่อตั้งหอคุมกฎให้เขา จำกัดสมาชิกหอไว้ที่หนึ่งหมื่นคน จะต้องมีตบะในระดับเทพ สามารถให้เผ่าเอกาแบ่งคนในเผ่ามาเข้าร่วมได้ ”
“ทราบแล้วขอรับ”
หลี่เสวียนเอ้าพยักหน้ารับ เขากลับมิได้รู้สึกผิดหวังเลย เขาคือผู้พิทักษ์รอง เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับสิทธิ์กุมอำนาจอีก มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นในสำนักซ่อนเร้น
โจวหมิงเยวี่ยคือมหาอริยะผิงเทียนที่เคยก่อความวุ่นวายให้วังสวรรค์ในมหาเคราะห์คราก่อนกลับชาติมาเกิด ยามนี้กราบฉู่ซื่อเหรินอดีตบรรพชนพุทธภควัตเป็นอาจารย์ นับว่าเป็นศิษย์สายตรงของหานเจวี๋ย ตบะก็พุ่งทะยานสู่ระดับต้าหลัวแล้ว
ให้เขารั้งตำแหน่งผู้นำหอคุมกฎ ต้องได้รับการสนับสนุนจากเหล่าศิษย์สืบทอดแน่
“เรียกหอคุมกฎฟังดูหยาบกระด้างเกินไป เรียกว่าหน่วยลงทัณฑ์ซ่อนเร้นเถอะ” หานเจวี๋ยคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หลี่เสวียนเอ้าย่อมไม่โต้แย้ง
ไม่นานนัก หลี่เสวียนเอ้าก็จากไป
หานเจวี๋ยทอดสายตามองไปยังเผ่าเอกาที่อยู่ในเขตเซียนร้อยคีรี
เผ่าเอกาหนึ่งหมื่นคนล้วนกลับมาหมดแล้ว ทว่าตอนนี้เผ่าเอกาเผชิญปัญหาคอขวด ชาวเผ่าทั้งหมดค้างอยู่ในระดับปฐมเทพขั้นหก ไม่อาจทะลวงระดับได้
คล้ายกลับมีพลังลึกลับอย่างหนึ่งสะกดข่มระดับของพวกเขาเอาไว้
ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ และไม่ได้คาดหวังให้เผ่าเอกาทะลวงระดับอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เผ่าเอกาทนรับไม่ไหวอยู่บ้าง บรรยากาศภายในเผ่าค่อนข้างตึงเครียด
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการ ‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเผ่าเอกาถึงไม่อาจพิสูจน์ต้าหลัวได้’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ค่าตัวระดับอริยะมหามรรค!
………………………………………………………………