บทที่ 656 จอมเทพข่งเซวี่ย
“เตรียมออกศึกเถอะ เป้าหมายในครั้งนี้คือยมโลก พวกเราจะปล่อยให้เผ่าหายนะบุกเข้ามาไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นระเบียบวัฏสงสารจะวุ่นวาย”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย เบี่ยงหัวข้อสนทนากลับไปที่เผ่าหายนะ
สายตาของเขามองตรงไปที่เทพสูงสุดหนานจี๋
เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยขึ้นทันที “ข้าตัดขาดกับเทพสูงสุดหยวนสื่อไปแล้ว หากมรรคาสวรรค์พ่ายแพ้ ข้าไม่รอดแน่นอน ทุกท่านวางใจเถิด ข้าจะทุ่มกำลังสนับสนุนเต็มที่”
เขารู้สึกแปลกใจ เหตุใดเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยถึงไม่มองคนอื่นก่อน ไฉนจึงมองเขา
พวกเขามิใช่สหายรักกันหรอกหรือ
จอมอริยะเสวียนตูก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเราสมานฉันท์กันแล้ว อย่าได้ระแวงกันเอง ข้าขอเสนอให้ส่งสำนักวิถีสวรรค์มุ่งหน้าไปที่ยมโลกก่อน นิกายฉ่าน นิกายเจี๋ย นิกายเหรินและสำนักซ่อนเร้นอยู่พิทักษ์แดนเซียนและปวงสวรรค์ก่อน ข้าสงสัยว่าเผ่าหายนะจะเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง ตัวตนเหล่านั้นคงคำนวณไว้แล้วว่าพวกเราจะรับมืออย่างไร พวกเขาไม่มีทางส่งตัวเบี้ยทั้งหมดของตนออกมา”
เหล่าอริยชนพยักหน้ารับ
แผนจักจั่นทองลอกคราบของเจ้าแม่หนี่ว์วาทำให้พวกเขาไม่กล้าประมาท
ฟางเหลียงไม่คัดค้าน เอ่ยสั้นๆ ว่า “ข้าจะจัดการทันที”
เขาเริ่มถ่ายทอดเสียงหายอดแม่ทัพเทพ ให้เขาระดมพลศิษย์สำนักวิถีสวรรค์
จอมอริยะเสวียนตูมองมหาจักรพรรดิเซียว ถามว่า “การรับสมัครสมาชิกเผ่ามารเป็นอย่างไรบ้าง”
มหาจักรพรรดิเซียวตอบ “เป็นรูปเป็นร่างแล้ว พร้อมเข้าร่วมสงครามได้ตลอดเวลา สามารถใช้ศึกพิทักษ์ยมโลกครั้งนี้เป็นด่านทดสอบพวกเขาได้”
เผ่ามารกระจายตัวอยู่ตามมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์น้อยและในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล เป็นเผ่าที่กระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างที่สุด แม้แต่ในแดนบรรพกาลก็สะกดบรรพชนมารและเผ่ามารบรรพกาลไว้
ที่ผ่านมามหาจักรพรรดิเซียวไม่เคยมีอำนาจในมรรคาสวรรค์เลย เหตุผลหลักเป็นเพราะเขาไม่มีสำนักนิกายใต้สังกัด เผ่ามารถูกสะกดข่มมาโดยตลอด ตอนนี้ได้โอกาสที่เผ่ามารจะผงาดขึ้นมาแล้ว เมื่อได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์ ประกอบกับมีจอมอริยะเสวียนตูคอยดำเนินการ เผ่ามารจะฟื้นตัวขึ้นมาในไม่ช้าก็เร็วนี้
ในหมู่อริยชน นอกจากหลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าแล้ว ที่เหลือล้วนมีกองกำลังของตัวเอง แม้แต่สำนักไร้วิถีของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าก็เป็นรูปเป็นร่างยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าสำนักนิกายของอริยะรายอื่นๆ เลย
อีกอย่างคือ ยามนี้อริยะกว่าครึ่งล้วนเป็นสายสืบของหานเจวี๋ย
เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหลและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยถูกคุกสวรรค์อนธการสยบทาส ฟางเหลียงและหลี่เต้าคงมาจากสำนักซ่อนเร้น จอมอริยะเสวียนตูและหานเจวี๋ยก็มีไมตรีกันส่วนตัว
เหลือเพียงสือตู๋เต้า เทพสูงสุดหนานจี๋และมหาจักรพรรดิเซียว ทว่าสือตู๋เต้าก็เป็นสายลับของหานเจวี๋ยเช่นกัน ส่วนเทพสูงสุดหนานจี๋เป็นสหายรักของเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย
กล่าวอีกนัยคือ ตอนนี้มีเพียงมหาจักรพรรดิเซียวที่ยังสามารถคัดค้านหานเจวี๋ยได้
ตัวคนเดียวช่างลำบากนัก
จำต้องกล่าวเลยว่า ความรู้สึกนี้น่ารื่นรมย์ยิ่ง
หลังจากหารือแผนรับมือแล้ว เหล่าอริยะแยกย้ายกันไป จอมอริยะเสวียนตูเรียกหานเจวี๋ยไว้
“สหายเต๋าหาน หากครั้งนี้เผชิญหน้ากับอริยะเสรี ยังคงต้องให้เจ้าช่วยออกโรง ถึงอย่างไรปรมาจารย์ก็ไม่อยู่แล้ว” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยมีนัยแฝงเร้น
หานเจวี๋ยถามเขา “อริยะมหามรรคจะลงมือกับมรรคาสวรรค์หรือไม่”
“ไม่มีทาง อาจารย์ข้าบอกว่า ผู้ทรงพลังทั้งหมดในแดนเทพหวนปัจฉิมล้วนมุ่งหน้าไปยังแดนบรรพกาล ผนึกแดนบรรพกาลไว้ นี่คือฉันทามติ ไม่มีอริยะมหามรรคคนไหนกล้าฝ่าฝืน”
คำตอบของจอมอริยะเสวียนตูทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจ
ไม่มีอริยะมหามรรค ก็ยังกล้ามาแผลงฤทธิ์อย่างนั้นหรือ
รวมตัวกันมาโจมตีเพื่อให้ถูกทุบตีไปทีละรายหรือ
หานเจวี๋ยใคร่ครวญดูเล็กน้อย หากคิดกันในมุมของแดนเทพหวนปัจฉิม จะเชื่อกันได้อย่างไรว่าเขาไร้พ่ายในระดับเสรี
คาดว่าผู้ทรงพลังระดับเสรีที่มาในครั้งนี้คงแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการมาก ถึงขั้นที่อาจจะเป็นตัวตนที่เข้าใกล้ระดับมหามรรคแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ถ้าข้าสามารถจัดการได้ก็จะลงมือ ถ้าไม่ได้ ข้าก็จะหลบอยู่ในมรรคาสวรรค์ ไม่ไปยุ่งกับพวกเขา รอจนกว่าปรมาจารย์จะกลับมา”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างลุ่มลึกว่า “อาณาเขตเต๋าของเจ้าอยู่ในมรรคาสวรรค์ เจ้าจะให้ตนเองวางตัวในมรรคาสวรรค์อย่างไรเล่า เจ้าสามารถลงมือจากภายในมรรคาสวรรค์ได้เช่นนั้นหรือ”
“ฮ่าๆ เจ้าคิดมากไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าคงทำลายเผ่าเพลิงกัลป์ไปนานแล้ว ข้าเพียงใช้เวทลึกลับบางอย่าง สร้างมิติขึ้นในมรรคาสวรรค์ อาศัยมรรคาสวรรค์คุ้มครอง แต่ข้าก็ไม่อาจเดินเหินในแดนเซียนด้วยร่างจริงได้เช่นกัน”
หานเจวี๋ยไม่หลงกล คนผู้นี้คิดจะบีบให้เขาออกแรง
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ก็ถูก แม้กระทั่งบรรพชนเต๋าก็ยังลงมือในแดนเซียนไม่ได้”
ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยก็จากมา
จอมอริยะเสวียนตูมองทิศทางที่หานเจวี๋ยจากไป แววตาวูบไหว
….
เมื่อกลับมาถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยเริ่มทำนายอนาคต
‘ในเคราะห์ภัยครั้งนี้ ศัตรูแข็งแกร่งที่สุดที่มรรคาสวรรค์ต้องเผชิญหน้าด้วยคือใคร’
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[จอมเทพข่งเซวี่ย: อริยะเสรีระยะสมบูรณ์ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เทพปีศาจแห่งเผ่าปีศาจ ผู้สืบทอดพลังวิเศษมหามรรค]
เป็นอริยะเสรีระยะสมบูรณ์จริงๆ!
หานเจวี๋ยกลับไม่ร้อนรนเลย ยามนี้เขามีตบะระดับเบิกฟ้าเสรีระยะกลาง มีความมั่นใจในการต่อกรกับระยะสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามต้องฆ่าจอมเทพข่งเซวี่ยให้ได้ภายในเสี้ยววินาทีก่อนจะลงมือ มิเช่นนั้นอันตรายเกินไป
หานเจวี๋ยไม่เชื่อว่าอริยะมหามรรคทั้งหมดจะรวมตัวจดจ่ออยู่ที่แดนบรรพกาล ต่อให้อริยะมหามรรคเพียงส่งร่างแยกมา ก็ยังนับว่าอันตรายอย่างยิ่งในสายตาเขา
ต้องฝึกบำเพ็ญต่อ!
หานเจวี๋ยหลับตาลง พยายามจะบรรลุระดับเบิกฟ้าเสรีระยะปลายให้ได้ในเร็ววัน
เมื่อไปถึงระยะปลาย ระยะสมบูรณ์ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
เมื่อไปถึงระยะสมบูรณ์ ก็อยู่ห่างจากอริยะมหามรรคเพียงก้าวเดียว!
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องการที่จะฝ่าทะลวงให้ได้เร็วขึ้น
….
ณ แดนต้องห้ามอันธการ หมอกหนาอบอวลแผ่ปกคลุม
สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางไอหมอก อิริยาบถต่างกันไป ล้วนมีหน้าตาอัปลักษณ์ ราวกับสัตว์ร้ายยุคโบราณ
มีสัตว์ร้ายร่างยักษ์ที่รูปร่างคล้ายพยัคฆ์ร้ายเก้าตัวถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ อีกด้านของโซ่ตรวนเชื่อมเข้ากับเมืองใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ทั้งมืดมิดและชั่วร้าย ดูคล้ายกระดองเต่า
บนอาคารหลังหนึ่งที่สูงที่สุดในเมืองอันใหญ่โตนี้มีเงาร่างที่ผ่านการแปลงกายแล้วหลายสิบร่างยืนอยู่
ผู้นำเป็นสตรีนางหนึ่ง สวมชุดเกราะสีดำ บนศีรษะสวมกวานกระดูกมังกร เครื่องหน้าคมคาย แต่ใบหน้าซีกซ้ายปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ ทำให้ดูโหดเหี้ยมชั่วร้าย
สตรีเกราะดำจ้องมองตรงไปด้านหน้า เปิดปากถาม “จอมเทพจะมาถึงยามใด”
บุรุษชุดดำที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงขรึม “อยู่ระหว่างเดินทางขอรับ” เขาถูกวังเทพแห่งแดนต้องห้ามอันธการพัวพัน คาดว่าคงล่าช้าไปอีกสักระยะ
สตรีเกราะดำขมวดคิ้ว
เวลานี้เอง ควันดำกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นข้างกายนาง เงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน “ท่านหัวหน้าเผ่า เขากลับชาติไปเกิดในวัฏจักรหกวิถีแล้วขอรับ พร้อมเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ”
สตรีเกราะดำได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ผ่านไปพักใหญ่
“เปิดใช้ค่ายกลหยินหยาง เปิดช่องทางเข้าสู่อาณาเขตยมโลกมรรคาสวรรค์ ทันทีที่เปิดทางได้ ให้ทั้งเผ่าบุกเข้าไป ยึดครองยมโลกให้เร็วที่สุด หากไม่มีคำสั่งจากข้า มิต้องบุกเข้าไปในโลกคนเป็น!”
สตรีเกราะดำสั่งการเสียงขรึม
ผู้ทรงพลังแห่งเผ่าหายนะที่อยู่ด้านหลังขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ในไม่ช้า เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องขึ้นท่ามกลางหมอกหนาทึบเป็นระลอก ราวกับเสียงแตรสงคราม
….
ณ ยมโลก
สุดปลายแม่น้ำปรโลก เทพเซียนและเทพผีนับไม่ถ้วนเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ยืนอยู่สองฝั่งแม่น้ำปรโลก รวมถึงเหาะอยู่กลางอากาศด้วย
ยอดแม่ทัพเทพที่มีแสงเทพส่องระยับพลันขมวดคิ้ว เขามองเห็นระลอกคลื่นปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดตรงปลายสุดของแม่น้ำปรโลก ห้วงมิติกำลังไหวกระเพื่อม
ตูม!
ห้วงมิติพลันฉีกขาด ลำแสงสีแดงฉานน่าพรั่นพรึงก่อให้แม่น้ำปรโลกเกิดคลื่นซัดสาด มุ่งสู่ส่วนลึกของยมโลก
ยอดแม่ทัพเทพลงมือทันที ใช้ร่างกายอันแกร่งกล้าต้านรับลำแสงสีแดง
กลิ่นอายน่าหวาดผวาสายหนึ่งทะลักออกมาจากโพรงมิติ สิ่งที่บุกเข้ามาเป็นอันดับแรกคือยักษาสูงนับหมื่นจั้งน่าพรั่นพรึงตนหนึ่ง ร่างกายของมันประหนึ่งสร้างขึ้นจากดินโคลน ทรงพลังข่มขวัญผู้คน
………………………………………………………………