บทที่ 675 อายุสองแสนปี
หนึ่งพันปีผ่านไป
เดิมทีหานเจวี๋ยคิดจะปิดด่านไปจนกระทั่งอายุครบสองแสนปี แต่พอใคร่ครวญถึงว่าหลี่เสวียนเอ้ารออยู่นอกอาณาเขตเต๋ามานานแล้ว เขาจึงยุติการบำเพ็ญกลางคัน
เขาเคลื่อนย้ายหลี่เสวียนเอ้าเข้ามาในอารามเต๋า
หลี่เสวียนเอ้ารอคอยมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็ได้พบหานเจวี๋ย เขาพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดมาก เพราะทราบดีว่าหานเจวี๋ยติดนิสัยปิดด่านนานพันปี หากไม่ครบกำหนดหนึ่งพันปี ต่อให้เป็นอริยะ ก็อย่าหวังว่าจะได้พบหานเจวี๋ย
“เจ้าสำนักขอรับ ยามนี้สำนักซ่อนเร้น…”
หลี่เสวียนเอ้าเริ่มต้นรายงานสถานการณ์ จำนวนศิษย์ด้านนอกทะลุหลักสิบล้านแล้ว สำนักซ่อนเร้นมีบรรทัดฐานในการรับสมัครศิษย์ คืออย่างต่ำก็ต้องมีตบะระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่
นอกจากรับสมัครศิษย์แล้ว สำนักนิกายแห่งอริยะรวมถึงเผ่าพันธุ์มากมายต่างก็เป็นฝ่ายเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสำนักซ่อนเร้นก่อน
ในช่วงที่ผ่านมา มีบุตรแห่งสวรรค์มากมายปรากฏขึ้นในหมู่ศิษย์สำนักซ่อนเร้นนอกเขตเซียนร้อยคีรี
นี่ก็คือมรรคาสวรรค์ ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งเท่าแดนเทพหวนปัจฉิม แต่รากฐานมั่นคง มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นเสมอ เหล่าอริยะมหามรรคในแดนเทพหวนปัจฉิมก็เคยเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์มาก่อน ตอนนี้ถึงขั้นที่สามารถเปรียบเทียบกับเทพมารฟ้าบุพกาลได้แล้ว เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์
หลี่เสวียนเอ้าอยากแนะนำศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางส่วนเข้ามาฝึกบำเพ็ญในเขตเซียนร้อยคีรี พลังวิญญาณในเขตเซียนร้อยคีรีหนาแน่นกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในแดนเซียน ต่อให้หานเจวี๋ยไม่เทศนาธรรม ก็นับเป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่ดี
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ปฏิเสธ ให้หลี่เสวียนเอ้าคัดรายชื่อมาหนึ่งร้อยคน
อันที่จริงเขตเซียนร้อยคีรีกว้างขวางยิ่งนัก เพียงแต่เขาต้องการสร้างภาพว่ารับได้ในจำนวนจำกัด ให้หลี่เสวียนเอ้าเฟ้นหาศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดออกมา ศิษย์ที่เข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรีจะได้ถนอมเห็นค่าโอกาสนี้และมานะพากเพียรยิ่งขึ้น
หลังจากได้รับคำตอบ หลี่เสวียนเอ้าตื่นเต้นยิ่งนัก
หนึ่งร้อยตำแหน่ง!
เขามั่นใจว่าบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหนึ่งร้อยคนที่คัดเลือกมาอย่างน้อยก็ต้องมีศักยภาพไปถึงระดับต้าหลัว หรือแม้กระทั่งครึ่งอริยะได้!
เมื่อนึกถึงว่าในอนาคตจะมีต้าหลัวหนึ่งร้อยคนที่ผงาดขึ้นมาจากการอุ้มชูของเขา เขาก็ตื่นเต้นยิ่งนักแล้ว
ตัวเขาก็เป็นเซียนทองต้าหลัวเช่นกัน แต่ห่างชั้นกับหลี่เต้าคงมากนัก เขารู้ตัวดีว่ายากจะพัฒนาไปได้อีก ดังนั้นจึงตั้งใจดูแลจัดการสำนักซ่อนเร้น ไขว่คว้าแย่งชิงเพื่อตัวเองในหนทางอื่น
หานเจวี๋ยก็รู้สึกพอใจหลี่เสวียนเอ้ามากเช่นกัน
หลังจากหลี่เสวียนเอ้าจากไปแล้ว หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ เตรียมตัวต้อนรับวาระอายุครบสองแสนปี
แดนเซียนในยามนี้เรียกได้ว่าอยู่ในยุครุ่งเรือง เผ่าหายนะผสานรวมเข้ากับมรรคาสวรรค์แล้ว จึงก่อกำเนิดโลกมนุษย์ธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ สำนักนิกายและเผ่าพันธุ์ต่างๆ เองก็เริ่มออกสำรวจแดนต้องห้ามอันธการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การชี้นำของเหล่าอริยชน
แม้ว่าแดนต้องห้ามอันธการจะว่างเปล่าไร้สิ้นสุด แต่เมื่อวันเวลาผันผ่านมาอย่างยาวนาน ผู้ทรงพลังมากมายดับสูญลงที่นี่ นี่จึงเป็นโอกาสวาสนา นอกจากนี้แดนต้องห้ามอันธการยังซุกซ่อนแดนลับและมิติชั้นรองบางส่วนเอาไว้ ทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์ต่อการขยายกลุ่มอิทธิพลออกไป
ในมุมมองของเหล่าอริยชน การจัดแจงเช่นนี้มีส่วนช่วยให้มรรคาสวรรค์เข้าใจฟ้าบุพกาลได้มากขึ้น ถึงขั้นที่ได้ทราบถึงตัวตนของศัตรูในอนาคตด้วย
ถึงแม้ภายในแดนเซียนจะมีการต่อสู้กันอยู่ แต่ภาพรวมยังคงสงบสุขดียิ่ง ในยุครุ่งเรืองเช่นนี้ ผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญย่อมโดดเด่นออกมาได้ง่ายที่สุด ไม่มีการต่อสู้ บุตรแห่งสวรรค์ก็สามารถเติบโตได้ดียิ่งขึ้น บนทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นไม่น้อยเลย
วันเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
หนึ่งพันปีต่อมา
แจ้งเตือนเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ยทีละแถวๆ
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสองแสนปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากมรรคาสวรรค์ทันที สร้างชื่อของเทพมารอนธการให้สะท้านฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกเลี่ยงข้อพิพาทในฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
สมกับเป็นโอกาสเลือกที่จะได้รับเพียงครั้งเดียวในรอบแสนปี ของรางวัลมั่งคั่งพรั่งพร้อมนัก
หานเจวี๋ยรักษาปณิธานเดิม เลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบงัน
[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ หลีกเลี่ยงข้อพิพาทในฟ้าบุพกาล ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…เสื้อคลุมห้วงกาลวิถี]
[เสื้อคลุมห้วงกาลวิถี: ยอดสมบัติฟ้าบุพกาลสายป้องกัน ก่อตัวขึ้นจากพลังแห่งกาลเวลากลายเป็นยอดสมบัติสายป้องกัน สามารถป้องกันการโจมตีจากตัวตนระดับมหามรรคได้]
ป้องกันการโจมตีจากตัวตนระดับมหามรรคได้อย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยปรีดายิ่งนัก!
เขาชมชอบสมบัติวิเศษสายป้องกันที่สุด บัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาลของผานซินทำให้เขาอิจฉาตาร้อนยิ่ง
นอกจากนี้ เขารวบรวมชิ้นส่วนมหามรรคได้แปดชิ้นแล้ว ขาดแค่ชิ้นเดียวก็สามารถตระหนักพลังวิเศษมหามรรคได้แล้ว
มีศิลาก่อวิญญาณเพิ่มเข้ามา เขาสามารถสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลได้อีกตน ในใจย่อมสุขสันต์นัก
กำไรแล้ว!
หานเจวี๋ยนำเสื้อคลุมห้วงกาลวิถีออกมาทันที เตรียมทำให้มันจดจำเจ้าของ
เสื้อคลุมห้วงกาลวิถีหรูหรายิ่ง ด้านในเป็นเสื้อคลุมสีขาว ประทับลวดลายแห่งวิถีฟ้า เป็นสีฟ้าเหลือบเงินดูลึกลับซับซ้อน ชั้นนอกปกคลุมด้วยแสงธรรมที่คล้ายแพรโปร่ง ส่องสว่างเป็นประกาย
ใช้เวลาอยู่หลายปี หานเจวี๋ยถึงได้ประทับผนึกสี่สิบเก้าชั้นลงในเสื้อคลุมห้วงกาลวิถีสำเร็จ ครอบครองสมบัติชิ้นนี้อย่างสมบูรณ์
วิธีประทับความเป็นเจ้าของสิ่งนี้แตกต่างไปจากสมบัติวิเศษชิ้นอื่น แต่สำหรับหานเจวี๋ยแล้วมิใช่เรื่องยากเลย
หลังจากสวมเสื้อคลุมห้างกาลวิถีแล้ว หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตัวเองดูหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม
เขาเก็บแสงเทพแห่งหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราและแสงเทพแห่งอริยะเสรีของตน เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเลิศล้ำ
แต่ก่อนเขารู้สึกว่ามีแสงเทพแพรวพราวไปทั่วร่าง ทำให้ดูมีสง่ามีราศีนัก แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกเบื่อบ้างแล้ว
มิน่าเล่าตัวตนระดับปรมาจารย์ถึงได้หวนกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
ยังคงเลือกสู้กับผานซิน
เขายืนนิ่งให้ผานซินฟัน
ฟันอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม เมื่อหานเจวี๋ยรู้สึกเบื่อหน่ายถึงได้ยุติลง
ผานซินทำลายเกราะป้องกันของเขาไม่ได้!
หานเจวี๋ยท้าสู้กับปรมาจารย์ลัญจกรสรวงต่อ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็ทำลายเกราะป้องกันของเขาไม่ได้เช่นกัน แต่หานเจวี๋ยก็ยังสังหารอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี เพียงแค่สู้ได้อย่างสูสีเท่านั้น
หานเจวี๋ยเริ่มเข้าใจความรู้สึกของผานซินตอนเผชิญหน้ากับอริยะมหามรรคทั้งกลุ่มแล้ว ต้องบอกเลยว่าเบิกบานมากจริงๆ
หานเจวี๋ยเปลี่ยนคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ
เขาพบว่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในแบบจำลองการทดสอบ ล้วนไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของเสื้อคลุมห้วงกาลวิถีได้
เฮ้อ…
เส้นทางของผู้ไร้พ่ายช่างโดดเดี่ยวโดยแท้
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตัวเองเหลิงไปเสียแล้ว แต่คู่ต่อสู้เป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เขาหันเหความสนใจไปที่ปราณแห่งเทพมารในโลกอนธการ เริ่มคัดเลือกว่าจะบ่มเพาะเทพมารฟ้าบุพกาลตนไหนขึ้นมา
‘หากข้าบ่มเพาะเทพมารฤทธาขึ้นมา ผานกู่จะรับรู้ได้หรือไม่’
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
เทพมารฤทธาที่เขาต้องการถามถึง มิใช่ตัวตนเดิมของผานกู่
[ได้]
หานเจวี๋ยจึงล้มเลิกความคิดนี้ทันที
ตอนนี้ยังหาเรื่องผานกู่ไม่ได้!
สุดท้ายหานเจวี๋ยตัดสินใจเลือกใช้ศิลาก่อวิญญาณกับเทพมารกาลเวลา
เทพมารกาลเวลาเป็นร่างจำลองเทพมารที่เขาตระหนักเข้าใจได้เร็วที่สุด กฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในมหามรรคสามพันวิถีด้วย ในอนาคตเทพมารกาลเวลาอาจจะมีประโยชน์ช่วยเหลืองานเขาได้
กระบวนการกำเนิดวิญญาณต้องใช้เวลา หานเจวี๋ยจึงหันเหความสนใจไปที่สิงหงเสวียนที่อยู่อารามเต๋าข้างๆ กัน
หน้าท้องของสิงหงเสวียนเริ่มนูนออกมานิดๆ แล้ว แต่ก็ยังดูไม่เหมือนคนท้องอยู่ดี เด็กน้อยจอมซนคนนั้นยังอยู่ในระหว่างผดุงครรภ์
หานเจวี๋ยพอจะเข้าใจแล้ว
เทพมารอนธการยุคก่อนกำเนิดฟ้ากับเทพมารอนธการยุคหลังกำเนิดฟ้ามีข้อแตกต่างกันอยู่ ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างเทพมารขุนพลสวรรค์และมู่หรงฉี่
หานเจวี๋ยเป็นกลายเป็นเทพมารอนธการในยุคหลังกำเนิดฟ้า หานทั่วยังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง
เขาคาดหวังในพรสวรรค์ของบุตรคนเล็กหลังจากถือกำเนิดยิ่งนัก
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาตัดสินใจใช้ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์ให้สิงหงเสวียนเป็นระยะๆ ป้องกันไม่ให้ตัวตนเหนือธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในความมืดวางแผนเล่นงานเขาได้
………………………………………………………………