บทที่ 687 ทะลวงขั้น! ระยะสมบูรณ์!
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามิใช่แผนการของสำนักพุทธ ที่ส่งมอบโชควาสนาให้เจ้าก็เพื่อดึงดูดให้เจ้ากลายเป็นบรรพชนพุทธ”
หานเจวี๋ยถาม คำพูดของฉู่ซื่อเหรินยังโน้มน้าวเขาไม่ได้
ฉู่ซื่อเหรินตอบว่า “ข้าพึ่งพาโชควาสนานั้นจนแข็งแกร่งขึ้น หลังจากนั้นได้เข้าร่วมสำนักพุทธด้วยความบังเอิญ มิใช่เข้าร่วมสำนักพุทธเพราะได้รับโชควาสนานั้นขอรับ”
หานเจวี๋ยเงียบไป
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยอย่างจริงจัง “อาจารย์ปู่ ข้าอยากพิสูจน์ครึ่งอริยะให้ได้โดยเร็วขอรับ ท่านโปรดให้ข้าออกไปเถิด ท่านชุบเลี้ยงพวกเรามานานถึงเพียงนี้ จะเอาแต่ชุบเลี้ยงพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวเช่นนั้นหรือ พวกข้าเองก็อยากมีประโยชน์ต่อท่านเช่นกัน รอจนข้าพิสูจน์อริยะในฟ้าบุพกาลสำเร็จ จะกลับมานำพาสำนักซ่อนเร้นก้าวสู่จุดสูงสุดเป็นแน่ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากต้องการให้โลกนี้ไร้ซึ่งความทุกข์ยาก มิใช่เพียงละทิ้งการบำเพ็ญก็สามารถจบเรื่องได้ แต่จำเป็นต้องแข็งแกร่งจึงจะปราบปรามความละโมบทั้งหมดได้!
“ข้าอยากติดตามอาจารย์ปู่ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของผู้แข็งแกร่งที่สุด สร้างโลกที่สงบสุขและงดงามอย่างแท้จริงขึ้นมา!”
คุณค่าของเรื่องนี้สูงลิ่วขึ้นในชั่วพริบตา
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย จะพูดก็พูดไปสิ เจ้ายัดเยียดบทบาทสูงส่งถึงเพียงนั้นให้ผู้เฒ่าไปทำไมกัน
เขาจึงเอ่ยไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ข้าเพียงกังวลว่าฟ้าบุพกาลอันตรายเกินไป วันหน้าหากศิษย์ทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล เมื่อพวกเจ้าประสบภัย ข้าไม่อาจตามไปช่วยเหลือเป็นรายบุคคล ได้”
ฉู่ซื่อเหรินพลันรู้สึกตื้นตันใจ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “วางใจเถิดขอรับ อาจารย์ปู่ ข้าจะไม่เป็นภาระของท่านเด็ดขาด อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้อวดอ้างสมบัติวิเศษ ไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น โดยทั่วไปแล้วไม่น่าจะเผชิญกับอันตรายได้ หรือต่อให้เผชิญ ข้าจะพึ่งพาตัวเองเอาตัวรอดให้ได้ขอรับ”
พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว หานเจวี๋ยก็พูดอะไรไม่ได้อีก เขาให้ฉู่ซื่อเหรินไปเตรียมตัวเสีย
โชคดีที่ไม่มีศิษย์สืบทอดคนใดมายื่นความจำนงอยากออกไปก่อนกำหนดพร้อมกับฉู่ซื่อเหริน
ภายในวันเดียวกัน หานเจวี๋ยได้ส่งตัวฉู่ซื่อเหรินออกไป
หลังจากหานเจวี๋ยสอดส่องแดนเซียนและตรวจดูจดหมายเรียบร้อย ก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
….
สองพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดปีต่อมา
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงขั้นสำเร็จ!
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 234841/940, 799,999,999,999,999,999,999,999]
[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]
[ตบะ: เบิกฟ้าเสรีระยะสมบูรณ์ (อริยะสมบูรณ์แบบ)]
[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]
[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]
….
เมื่อเห็นอายุขัยที่ยืนยาวของตน หานเจวี๋ยรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
รอจนทะลวงถึงระดับอริยะมหามรรคได้ อายุขัยต้องเพิ่มขึ้นมาอีกสองหลักแน่นอน แค่คิดก็เบิกบานยิ่งนัก
หานเจวี๋ยทำให้ตบะเสถียรต่อ
เขาใช้เวลาถึงห้าสิบปีเต็ม ตบะจึงเสถียรมั่นคง
หานเจวี๋ยไม่ได้ยกระดับพลังวิเศษ แต่ตรวจดูจดหมายก่อน
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอวี้ผูถีศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอวี้ผูถีศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ถูกพลังแข็งแกร่งบังคับลบล้างเจตจำนง]
[โจวฝานศิษย์ของท่านผสานรวมกับเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ กายเนื้อเกิดความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นกายามหามรรค ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านได้รับพระบรมธาตุฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]
[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านคืนชีพให้สิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวท ดวงชะตาเผ่าจอมเวทเพิ่มพูน]
….
อวี้ผูถี!
เยี่ยมมาก!
ตาเจ้าแล้ว!
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งทันที
ไม่ง่ายเลยว่าจะทะลวงขั้นได้ สังหารศัตรูเพิ่มความสำราญก็นับเป็นเรื่องดี
เขาไม่กลัวฐานะจะถูกเปิดเผย หากถูกอริยะมหามรรคคนอื่นๆ จับได้ จะได้ข่มขวัญพวกเขาไปในตัว เตือนให้ทราบว่าอย่าได้ลงมือกับคนใกล้ตัวหานเจวี๋ย
ห้าวันต่อมา
อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง
ในห้องโถงใหญ่โตส่องแสงเจิดจ้า มีพุทธองค์สูงใหญ่ในพระอิริยาบถยืนหลายต่อหลายองค์ตั้งอยู่ ความสูงยากจะหยั่งวัดได้
บนแท่นกลม มีนักพรตเต๋าสองคนนั่งสมาธิอยู่
เป็นอวี้ผูถีและเจียอิ๋น
เจียอิ๋นขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เขายังสาปแช่งอยู่หรือ”
อวี้ผูถีกัดฟันตอบ “ใช่ จู่ๆ พลังคำสาปแช่งก็ทวีความรุนแรงขึ้น”
เจียอิ๋นได้ฟังก็ถอนหายใจ เอ่ยเพียงว่า “ไยเจ้าต้องคิดวางแผนเล่นงานวังสวรรค์ด้วย เจ้าไม่คิดดูบ้างเล่า หากวังสวรรค์ไร้ที่พึ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะผงาดขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องอินกั่วเทียนก่อนหน้านี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับวังสวรรค์
“มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็คือตัวการที่อยู่เบื้องหลังหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยใส่ใจจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย อีกทั้งในหมู่เทพเซียนที่เจ้าจับมาก็มีบุตรชายของหานเจวี๋ยอยู่ หานเจวี๋ยจะไม่แค้นเจ้าได้อย่างไร”
สีหน้าอวี้ผูถีมืดครึ้ม กล่าวไปว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหานเจวี๋ยมีอิทธิพลต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมากปานนี้”
นึกถึงครั้งอดีต ตอนเขารู้จักหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็เหมือนมดปลวก นี่เพิ่งผ่านมากี่ปีกันเล่า
พลังคำสาปแช่งอันรุนแรงโจมตีเข้ามาอีกระลอก แทบจะเข้าท่วมทับเจตจำนงของอวี้ผูถีแล้ว
เจียอิ๋นก็สัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
สมควรตาย!
เหตุใดจึงแข็งแกร่งขนาดนี้
เทียบกับตอนสาปแช่งจุนทีคราก่อนแล้วแข็งแกร่งกว่ามากนัก!
หรือว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน หรือไม่เขาอาจจะสังเวยสิ่งมีชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมกระมัง
อวี้ผูถีถามเสียงเครียด “ทำอย่างไรดี รู้สึกเหมือนจะต้านไม่อยู่แล้ว!”
เจียอิ๋นเอ่ยว่า “จัดการตรงๆ เลยเถอะ ระเบิดตัวเองซะ ข้าจะเก็บเสี้ยวจิตดั้งเดิมของเจ้าไว้ เมื่อมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่มาเยือนค่อยคืนชีพให้เจ้าพร้อมจุนที!”
อวี้ผูถีไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง
เขาไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เรื่องราวจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้
“ตกลง!”
อวี้ผูถีตอบรับอย่างรวดเร็ว ระเบิดร่างสลายวิญญาณโดยตรง ทิ้งเสี้ยววิญญาณสายหนึ่งไว้ให้เจียอิ๋น
….
[อวี้ผูถีศัตรูคู่อาฆาตของท่านระเบิดพลังมรรคดับสูญ เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณสายหนึ่ง]
เมื่อหานเจวี๋ยเห็นจดหมายฉบับนี้ พลังคำสาปแช่งก็ว่างเปล่าทันที
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
ผู้เฒ่าใช้อายุขัยยังไม่ถึงหมื่นล้านปีด้วยซ้ำ!
หานเจวี๋ยถึงขนาดหลงเข้าใจผิดไปว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากนัก
แต่พอนึกย้อนดูดีๆ ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายเคยมีประสบการณ์มาแล้วอย่างแน่นอน
แต่เหตุใดพอเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณสายหนึ่งถึงสาปแช่งต่อไม่ได้เล่า
หรือว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการลับบางอย่าง
หรือนี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า คงอยู่แม้นเพียงเสี้ยว ไม่อับปางชั่วนิรันดร์ของเหล่าอริยะมหามรรค
เช่นนั้นก่อนหน้านี้เต้าปู้หวังถูกปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสังหารได้อย่างไร
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้อวี้ผูถีไม่อาจก่อเรื่องได้อีกแล้ว
หานเจวี๋ยไม่คิดต่อ เริ่มทำความเข้าใจพลังวิเศษ
อีกด้านหนึ่ง
ภายในตำหนักลึกลับหลังหนึ่ง
หานทั่วและอี๋เทียนถูกขังไว้ในคุก รอบข้างมีเทพเซียนอีกหลายร้อยคน
อี๋เทียนเอ่ยหยอกว่า “น้องชาย พวกเรามาพนันกันเถอะ เจ้าว่าครั้งนี้อวี้ผูถีจะสิ้นชีพอย่างไม่คาดฝันอีกหรือไม่”
หานทั่วกลอกตา เอ่ยว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเราจะโชคดีเช่นนั้นทุกครั้ง”
อี๋เทียนส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ใช่โชคดีเสียที่ไหน ข้าว่า ต้องมีตัวตนเหนือชั้นคอยคุ้มครองพวกเราอย่างลับๆ อยู่ ต่อให้เป็นอริยะมหามรรคก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา เจ้าลองเดาดูเถิดว่าเป็นผู้ใด”
หานทั่วได้ฟังก็นึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมาทันที
แต่เขาไม่กล้าฟันธง
หานเจวี๋ยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ยามที่มาเข้าฝันครั้งก่อน หานเจวี๋ยยังกำชับเขาซ้ำๆ บอกว่าเขาพึ่งพาได้แค่ตัวเอง ดังนั้นต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่คล้ายตัวตนแข็งแกร่งที่จะตามปกป้องถนอมทายาทเลย
หานทั่วยิ้มอย่างจนใจ ตนคิดอะไรอยู่กัน!
หลงเชื่อคำพูดเหลวไหลของอี๋เทียนเป็นจริงเป็นจังไปได้ ตอนนี้พวกเขายังคงตกเป็นเชลยอยู่ จะรอดชีวิตไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
ในเวลานี้เอง กลิ่นอายทรงพลังโจมตีออกมาจากส่วนลึกของความมืดมิดนอกคุกคุมขัง ก่อให้เกิดสายลมโหมกระโชก
เหล่าเทพเซียนตกใจจนพากันลุกขึ้นยืน มองเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกคุก โบกมือปลดเปลื้องผนึกจองจำในทันใด
เป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย!
“ฝ่าบาท!”
เหล่าเทพเซียนต่างก็ปิติปรีดา
หานทั่วมีสีหน้าแปลกใจ อี๋เทียนตบไหล่เขา เอ่ยยิ้ม “ดูสิ ข้าเดาไว้ไม่ผิดเลย แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใดที่หน้าใหญ่ใจโตถึงเพียงนี้”
………………………………………………………………