บทที่ 690 เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล ไม่อาจเอ่ยนาม
“รีบร้อนไปไย!”
ตี้เจียงยังไม่ทันเปิดปาก บรรพชนจอมเวทรายหนึ่งที่บุคลิกดูมืดมนชั่วร้ายอย่างยิ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แววตาคู่นั้นเย็นยะเยือกดูราวกับคมมีดสองเล่ม ทำให้บรรพชนจอมเวทที่มีไฟลุกท่วมรีบหุบปากลงทันที
บรรพชนจอมเวทที่เหลือก็ไม่ได้เปิดปากขึ้นมา ล้วนรอคอยให้ตี้เจียงพูด
ตี้เจียงหันกลับมาช้าๆ ลืมตาขึ้น กวาดมองเหล่าบรรพชนจอมเวทด้วยแววตาเฉียบคม
“เผ่าจอมเวทคืนชีพครานี้ ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม พวกเราจะไม่ต่อสู้แก่งแย่งแดนเซียนอีก!”
ตี้เจียงค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา พอเขาพูดจบ เหล่าบรรพชนจอมเวทต่างมีสีหน้าตะลึงงัน
บรรพชนจอมเวทที่มีไฟลุกท่วมกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “จะไม่สู้ได้อย่างไร อย่างน้อยๆ ก็ต้องทำลายล้างเผ่าปีศาจ ล้างบางให้หมด!”
ในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครานั้น ศัตรูตัวฉกาจของเผ่าจอมเวทก็คือเผ่าปีศาจ เผ่าหนึ่งครองปฐพี เผ่าหนึ่งครองนภา หลังจากทั้งสองบาดเจ็บสูญเสีย ถึงได้ถูกเผ่ามนุษย์ที่ผงาดขึ้นมาฉกฉวยโอกาส
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยขึ้นว่า “แดนเซียนไร้ซึ่งเผ่าปีศาจแล้ว”
พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา บรรพชนจอมเวททั้งหมดมองไปที่นางด้วยความประหลาดใจ
จักรพรรดินีผืนพิภพถอนหายใจคราหนึ่ง บอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของแดนเซียนต่อเหล่าบรรพชนจอมเวท
เมื่อรับรู้ว่ายามนี้แดนเซียนสงบสุข อริยะสมานฉันท์ เหล่าบรรพชนจอมเวทต่างก็มองหน้ากัน
นี่ช่างเป็นยุคที่รุ่งเรืองถึงเพียงใดกัน!
ตี้เจียงเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “หานเจวี๋ยผู้นี้ยอดเยี่ยมนัก แม้ว่าตบะจะสูงล้ำ แต่ก็ไม่ถูกความละโมบเข้าครอบงำสติ ยังรักษาปณิธานบำเพ็ญไว้ ในจุดนี้เกรงว่าบรรพชนเต๋าจะเทียบเขาไม่ได้เลย”
เหล่าบรรพชนจอมเวทพยักหน้ารับ พวกเขาทราบแล้วว่า สาเหตุที่อริยะมรรคาสวรรค์สมัครสมานกันเป็นเพราะมีหานเจวี๋ยคอยข่มไว้
สมัยก่อนตอนที่บรรพชนเต๋ายังอยู่ บรรพชนเต๋าทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง เสแสร้งเพื่อกระตุ้นให้เหล่าอริยะพิสูจน์มรรค
“ใช่แล้ว เผ่าเอกาได้รับการดูแลจากเขามากมายนัก”
“พูดถึงเผ่าเอกา สมควรรับกลับเข้าเผ่าจอมเวทได้แล้วกระมัง”
“เจ้าพูดจาน่าขันเสียจริง คนเขาชุบเลี้ยงเผ่าเอกามาแสนกว่าปี พอเจ้าคืนชีพก็ต้องคืนให้เจ้าเลยอย่างนั้นหรือ”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร เผ่าเอกาก็เป็นเชื้อสายของเผ่าจอมเวทเรา”
“เผ่าเอกามีความคิดเป็นของตัวเอง หากพวกเขาทราบว่าบรรพชนคืนชีพ จะไม่อยากหวนคืนถิ่นฐานหรือ”
จักรพรรดินีผืนพิภพฟังคำพูดของพวกพี่ๆ แล้วได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
สมัยก่อนเป็นนางที่พาเผ่าเอกาไปฝากฝังไว้กับหานเจวี๋ยเอง แล้วจะมีหน้าไปทวงคืนได้อย่างไร
อีกอย่าง นางรับรู้ได้ว่าจิตใจของเผ่าเอกามิได้อยู่ที่เผ่าจอมเวท
ปีนั้นยามที่เผ่าเอกาไปยังเผ่าสวรรค์ นางเคยลองติดต่อไปหา ผลคือถูกปฏิเสธ
เผ่าเอกายอมรับเพียงหานเจวี๋ย ไม่ยอมรับนางแล้ว
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยไปว่า “อย่าได้นึกเรื่องเผ่าเอกาเลย พวกเรามาคิดกันก่อนเถิดว่าต่อไปจะลงหลักปักฐานกันที่ใด”
ตี้เจียงเอ่ยเสียงขรึม “แดนเทพหวนปัจฉิมใช้การไม่ได้ มุ่งหน้าไปบุกเบิกมรรคาสวรรค์แห่งใหม่ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาลเถิด ข้าจะเจริญรอยตามเทพบิดา เตรียมใช้สังขารนี้ผันแปรสร้างสรรพสิ่ง”
เมื่อเหล่าบรรพชนจอมเวทได้ฟัง ก็เริ่มใคร่ครวญดูแล้วว่าวิธีนี้ใช้การได้หรือไม่
….
ห้าพันปีผ่านไป
หานเจวี๋ยสิ้นสุดการปิดด่านอีกครั้ง
ในสภาวะตระหนักมหามรรค ทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล
ระหว่างที่ตระหนักมรรค หานเจวี๋ยมองเห็นจอมเทพขงเซวี่ยและกวนปู้ไป้
ในระดับมหามรรคมีประตูบานหนึ่ง ยามที่หานเจวี๋ยมาถึงประตูบานนี้ มองเห็นว่าประตูบานนี้กีดขวางผู้ทรงพลังมากมายไว้ ในบรรดานั้นมีจอมเทพข่งเซวี่ยและกวนปู้ไป้รวมอยู่ด้วย ในหมู่พวกเขาบางคนมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ บางคนมีสีหน้าไม่ยินยอม และมีความสิ้นหวังฉายชัดอยู่เต็มใบหน้า
แม้ว่าจะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง แต่เมื่ออยู่หน้าประตูแห่งมหามรรค แต่ละคนก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา แสดงอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ออกมา
และหลังบานประตูแห่งมหามรรค หานเจวี๋ยมองเห็นเงาร่างมากมายเช่นกัน คนเหล่านั้นล้วนเป็นอริยะมหามรรคและดวงจิตมหามรรค
ในบรรดานั้นมีคนคุ้นเคยอยู่ส่วนหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นเต้าปู้หวัง หลี่มู่อี เทพบุพกาลและปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเป็นต้น ยามที่หานเจวี๋ยมองเห็นหลี่มู่อีก็สะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่าหลี่มู่อีก็เคยเป็นอริยะมหามรรคเช่นกัน สรุปแล้วเขาเผชิญอะไรมากันแน่ ระดับถึงได้ถดถอยลงไป
เขาไม่มีทางไปถามจอมอริยะเสวียนตูแน่อยู่แล้ว การตายของหลี่มู่อี ทำให้เกิดช่องว่างที่ไม่มีทางแก้ไขได้ระหว่างเขาและนิกายเหริน ไม่แน่ว่าสักวันเหล่าจื่ออาจจะมาคิดบัญชีกับเขาก็ได้
ระดับอริยะคือคูเมืองสวรรค์เส้นหนึ่ง แต่ระดับมหามรรคที่อยู่ถัดไปไหนเลยจะมิใช่คูเมืองสวรรค์ที่ยากจะข้ามผ่านได้ยิ่งขึ้นไปอีก!
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
‘ดูเหมือนจะไม่อาจเก็บตัวได้อีกแล้ว เมื่อพิสูจน์มหามรรค ต้องถูกพบเห็นแน่’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขามองเห็นประตูแห่งมหามรรคได้ ผู้แข็งแกร่งรายอื่นก็ทำได้เช่นกัน
แน่นอน จุดนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย
ถึงอย่างไรอริยะภายในมรรคาสวรรค์ก็ไม่รู้อยู่แล้ว ระดับของพวกเขาต่ำเกินไป และยังไปไม่ถึงประตูแห่งมหามรรค
ส่วนที่ว่าอริยะมหามรรคจะทราบเรื่อง เช่นนั้นก็ยิ่งดี จะได้สะเทือนขวัญพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่กล้ามาหาเรื่องมรรคาสวรรค์อีก
หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดูตามความเคยชิน
[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเผชิญกับการสะกดจองจำจากผู้ทรงพลังลึกลับ กายเนื้อแตกสลาย เหลือเพียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเข้าสู่แดนเทพหวนปัจฉิม]
[จักรพรรดิเซียนวัฏจักรสหายของท่านเริ่มดูดซับดวงชะตาแดนเซียนพิภพ]
[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]
[เทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่าน กายเนื้อมอดมลาย เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่หลบหนีไปได้]
[ลี่เหยาสหายของท่านได้รับการเข้าฝันจากปฐมบรรพชน เรียนรู้พลังวิเศษ]
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ] x8202012
….
หานเจวี๋ยเห็นปรมาจารย์ลัญจกรสรวงตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ ก็อดตัวสั่นไม่ได้
แม้ว่าในแบบจำลองการทดสอบ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจะสังหารเขาไม่ได้แล้ว แต่ในใจเขา ปรมาจารย์เป็นมาตรฐานของพลังการต่อสู้ขั้นสูง
เป็นผู้ใดกันแน่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสะกดปรมาจารย์ลัญจกรสรวงได้ง่ายๆ!
หานเจวี๋ยเกิดความสงสัยอย่างยิ่ง
เขาใช้ความสามารถวิวัฒนาการทันที
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หนึ่งพันล้านล้านปี!
หานเจวี๋ยตกใจ
นี่มิใช่การสาปแช่ง ค่าตัวของอริยะมหามรรคก็แค่หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปีเท่านั้น หนึ่งพันล้านล้านปี นี้มันเพิ่มขึ้นกี่เท่ากัน
เป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยได้พบตัวตนระดับนี้ ในใจค่อนข้างกระสับกระส่ายอย่างน่าประหลาด
ช้าก่อน!
จะกลัวไปทำไมล่ะ!
เขาอยู่ในอาณาเขตเต๋า ต่อให้เป็นผู้สร้างมรรคาก็ไม่สามารถสอดส่องสถานการณ์ภายในอาณาเขตเต๋าได้!
ดำเนินการต่อ!
หลังจากหานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ ไม่ได้มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาเหมือนในอดีต ครั้งนี้ไม่มีข้อความใดๆ โผล่ออกมาเลย
ภายในอารามเต๋าเงียบสงัด
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดดันที่แกร่งกล้ายิ่งนักอย่างหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาด
ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เขาแทบจะหลงลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว
หานเจวี๋ยรู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมา
ผ่านไปราวสิบวินาที ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
[เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล: ไม่ทราบตบะ เทพเจ้าฟ้าบุพกาล ยอดมหามรรค ควบคุมกฎระเบียบ ไม่อาจเอ่ยนาม]
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองของหานเจวี๋ย เสมือนไอหมอก สลายหายไปทันที เขามองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายเลย
ท่าทางจะเลิศล้ำนัก!
ข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ยอีกครั้ง
[ไม่อาจเอ่ยนาม: ความสามารถพิเศษ ทันทีที่เอ่ยชื่อออกมา อีกฝ่ายจะรับรู้ได้ทันที ต่อให้อยู่ในอาณาเขตเต๋าก็ยากจะกีดกันได้]
หานเจวี๋ยโล่งใจ โชคดีที่ตนไม่มีนิสัยชอบพึมพำกับตัวเอง
ไม่อาจเอ่ยนามได้เช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก
แค่เรียกชื่ออีกฝ่ายก็รับรู้ได้แล้วหรือ
หานเจวี๋ยนึกถึงปรมาจารย์ลัญจกรสรวงขึ้นมาอีกครั้ง เขาถูกตัวตนเช่นนี้สะกดจองจำ นับว่าจบสิ้นแล้ว
หากว่ากันแล้ว หานเจวี๋ยก็มีความประทับใจในตัวปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยิ่งนัก
ในบรรดาคนที่เขารู้จัก มีเพียงปรมาจารย์ลัญจกรสรวงที่เหมาะสมกับจินตนาการอันสมบูรณ์พร้อมของเหล่าผู้แสวงหามรรคา
วางตัวอยู่เหนือสถานการณ์ พลังวิเศษมหาศาล ดูคล้ายจะเฉยเมย แต่กลับยังมีเสี้ยวความเมตตาอาดูรต่อสรรพสิ่งทั้งปวง
ไม่ทราบเช่นกันว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไปล่วงเกินตัวตนระดับนี้ได้อย่างไร
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลน่าจะแตกต่างจากอริยะมหามรรค ไม่แยแสมรรคาสวรรค์ ผู้อื่นเป็นถึงเทพเจ้าแห่งฟ้าบุพกาล เก่าแก่โบราณยิ่งกว่าดวงจิตมหามรรคเสียอีก มรรคาสวรรค์จะคงอยู่หรือไม่ เขาย่อมไม่สนใจ
………………………………………………………………