บทที่ 698 ถือกำเนิดตามชะตา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ใจสั่นอยู่บ้าง
มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ในอนาคตน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ
ฉินหลิงโจมตีครั้งเดียว สามารถทำลายแดนต้องห้ามอันธการให้พังทลายได้ เกินไปหน่อยแล้ว
โชคดีที่ยังเหลือเวลาอีกสองหมื่นล้านกว่าปี
เงาร่างลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนท้ายสุดเป็นใครกัน
น่าจะอยู่ฝั่งเดียวกับพวกฉินหลิง
หรือจะเป็นตัวข้า
เนื่องจากหานเจวี๋ยเห็นว่าหลังเงาร่างนั้นยังมีเงาร่างอหังการอีกมากมาย แต่ละร่างดูน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นร่างจำลองเสรีสุญญตา!
อีกอย่าง ฉินหลิงยังเอ่ยถึงอนธการอีกด้วย
เทพมารอนธการบุกเบิกอนธการ ไม่แปลกเลย!
หานเจวี๋ยปรับอารมณ์
‘อนาคตน่ากลัวถึงเพียงนั้น ข้าต้องรักษาสภาวะมานะบำเพ็ญไว้ ไม่อาจหย่อนยานได้’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขาจะต้องยืนอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงจะวางใจได้
รอจนเขาบรรลุถึงระดับที่แข็งแกร่งที่สุด เขาจะทำตามอำเภอใจได้อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยไม่คิดมากอีก ทำความเข้าใจมหามรรคต่อ
มีจุดหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ คือต่อให้เป็นในอีกสองหมื่นล้านกว่าปีให้หลังอริยะมหามรรคก็ยังมีจำนวนน้อยอยู่ เหล่าผู้แข็งแกร่งมรรคาสวรรค์ที่ติดตามฉินหลิงพวกนั้นไม่มีอริยะมหามรรคอยู่เลย แม้แต่อริยะเสรีก็มีแค่คนเดียว อริยะมรรคาสวรรค์ก็มีไม่ถึงยี่สิบคน
แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นคือจอมเทพฟ้าบุพกาลทำลายล้างมรรคาสวรรค์ สังหารอริยะมหามรรคของมรรคาสวรรค์จนหมดสิ้นแล้ว
บอสใหญ่ตัวต่อไป จอมเทพฟ้าบุพกาล!
….
ณ เขาเทพปู้โจว
บนยอดเขา หน้าอารามเต๋าหลังหนึ่ง ฉินหลิงในชุดขาวนั่งสมาธิอยู่ริมผา ดูดซับปราณฟ้าประทานจากฟ้าดิน
หานอวี้เดินออกมาจากอารามเต๋า มาหยุดอยู่ข้างกายเขา
ฉินหลิงลืมตาขึ้น เงยหน้ามองหานอวี้ก่อนเอ่ยเรียก “อาจารย์ปู่”
เขาเคารพนับถือในตัวหานอวี้อย่างยิ่ง
อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขามองหานอวี้เป็นญาติคนหนึ่งไปแล้ว
ยามปกติ เทียนยงอาจารย์ของเขาไม่สนใจเขาเลย ล้วนเป็นอาจารย์ปู่ที่สั่งสอนชี้แนะการบำเพ็ญให้เขา
หานอวี้ยื่นมือไปลูบหัวอีกฝ่าย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เด็กน้อยอย่างเจ้าก็กลายเป็นจักรพรรดิเซียนไปแล้ว อีกไม่นานเผ่ามนุษย์จะจัดพิธีบวงสรวงหมื่นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น จักรพรรดิมวลมนุษย์จะจัดการประลองระหว่างบุตรแห่งสวรรค์จากราชวงศ์ต่างๆ ในฐานะที่อยู่ใต้สังกัดของจักรพรรดิมวลมนุษย์ จะต้องส่งบุตรแห่งสวรรค์เข้าร่วมเช่นกัน นี่คือโอกาสที่จะได้สร้างชื่อระบือนาม เจ้าอยากเข้าร่วมหรือไม่”
ฉินหลิงได้ฟังก็ลุกขึ้นมาทันที สองมือกำแน่น เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ข้ายินดีขอรับ! อาจารย์ปู่! ออกเดินทางเมื่อไรหรือขอรับ”
นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ทุกวัน เขาเอียนมานานแล้ว เขาอยากประลองกับผู้อื่นมาโดยตลอด จนใจที่สิ่งมีชีวิตในเขาเทพปู้โจวล้วนตั้งใจฝึกบำเพ็ญทั้งสิ้น อีกทั้งหานอวี้ก็ห้ามไม่ให้เขาก่อความวุ่นวาย
หานอวี้กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบ ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้าก่อน”
ฉินหลิงพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเผ่ามนุษย์ที่มีฐานะเป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์จะจัดพิธีบวงสรวงหมื่นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เรื่องนี้ก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่โตในแดนเซียน
บุตรแห่งสวรรค์ของเผ่าพันธุ์อื่นๆ รวมถึงสำนักดวงชะตาต่างๆ ล้วนถูกราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งในเผ่ามนุษย์มาชักชวนดึงตัวไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประลอง
นี่คือยุคสมัยของบุตรแห่งสวรรค์
บุตรแห่งสวรรค์ล้วนฮึกเหิมทระนง เชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ธรรมดา กำลังรอคอยโอกาสใหญ่เช่นนี้อยู่
ผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่อยากเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งมรรคาสวรรค์
บางทีพิธีบวงสรวงหมื่นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้อาจไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งมรรคาสวรรค์ แต่จะทำให้บุตรแห่งสวรรค์โดดเด่นออกมาและเข้าใกล้อันดับหนึ่งแห่งมรรคาสวรรค์ยิ่งขึ้น
คลื่นลมในแดนเซียนเปลี่ยนแปลงไปในชั่วขณะหนึ่ง
….
ครืนๆ…
สายฟ้าแลบตัดสลับ ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด หมอกแดงอวลตลบพลุ่งพล่าน
ผานซินคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาแท่นหนึ่ง สี่ทิศมีเสาขนาดมหึมาอยู่ทิศละต้น บนเสาแต่ละต้นแกะสลักเงาร่างของเทพมารที่ดูแปลกประหลาดและดุร้ายเอาไว้หลายตน
เบื้องหน้าเขา มีผลึกหินสีม่วงขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งตั้งอยู่ ลอยหมุนวนอย่างเงียบงัน
“สรุปคือ เจ้าไม่สามารถควบคุมมรรคาสวรรค์ได้”
เสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งแว่วขึ้น
ผานซินก้มหน้าต่ำกว่าเดิม เอ่ยด้วยความละอาย “ขออภัยด้วย สถานการณ์ของมรรคาสวรรค์ซับซ้อนเกินไป เส้นสายของเหล่าอริยะหยั่งลึกเหลือเกิน ข้ายากจะควบคุมพวกเขาได้”
เขาแข็งแกร่งกว่าเหล่าอริยะจริง แต่ในมรรคาสวรรค์ไม่อาจสังหารอริยะมรรคาสวรรค์ให้สิ้นชีพได้ เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ไม่กริ่งเกรงเขาเลย
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดที่สุดคืออริยะเหล่านี้แทบจะไม่ออกจากมรรคาสวรรค์เลย ราวกับจงใจป้องกันตัวเองจากเขา
เสียงกังวานแว่วขึ้นมา “ช่างเถิด ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรากฐานของสำนักเต๋าที่บรรพชนเต๋าก่อตั้งมาเนิ่นนาน มิใช่สิ่งที่เจ้าคิดจะเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้เลย เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลนั้นไม่เลวเลย ตอนนี้อาจจะยังไม่มีผล แต่รอจนถึงยามที่สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์ในมรรคาสวรรค์ไม่อาจแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกได้แล้ว เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลจะกลายเป็นทางเลือกของพวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจงปกป้องพวกเขาให้เติบใหญ่ ก็จะสามารถค่อยๆ แผ่ขยายเส้นสายของตนออกไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ผานซินตอบรับ
นัยน์ตาเขากลอกไปมาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ข้าอยากพิสูจน์มหามรรค แต่อาศัยเพียงการสืบทอดมรดกผานกู่ยังไม่เพียงพอ”
เขาไม่ได้โง่ ในเมื่อไม่สามารถใช้แผนการเอาชนะเหล่าอริยะได้ เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทางเพิ่มตบะเพื่อทิ้งระยะห่าง
ตอนนี้เขามีตบะระดับอริยะเสรีระยะสมบูรณ์แล้ว อยากจะพิสูจน์มหามรรค แต่กลับไร้ซึ่งแนวทาง เพราะในมรดกของผานกู่ก็ไม่มีจารึกเอาไว้
เสียงกังวานเอ่ยว่า “รากฐานของเจ้ายังไม่เพียงพอ รอไปก่อนเถิด เพิ่มพูนดวงชะตามรรคาสวรรค์ของตนไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ผานซินขมวดคิ้ว ทำได้เพียงยอมเลิกรา
“ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาลปรากฏบุตรแห่งสวรรค์รายหนึ่งขึ้น ถึงแม้จะมิใช่เทพมารฟ้าบุพกาล แต่มีคุณสมบัติแห่งเทพมารฟ้าบุพกาล เจ้าจงไปรับเข้าสังกัดเสีย ให้เขาคอยเฝ้าคุ้มกันที่ปลายทางของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล”
เสียงกังวานเอ่ยสั่งการ
ผานซินถามด้วยความแปลกใจ “หากมิใช่เทพมารฟ้าบุพกาล แล้วจะมีคุณสมบัติแห่งเทพมารฟ้าบุพกาลได้อย่างไร”
น้ำเสียงก้องกังวานเอ่ยว่า “อย่าได้ยึดติดกับแนวคิดจนถูกปิดกั้น เทพมารฟ้าบุพกาลเพียงจุติขึ้นตามชะตาฟ้าบุพกาล เมื่อกาลเวลาผ่านไป ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของผู้กำเนิดใหม่ย่อมก้าวข้ามอดีตไป มิเช่นนั้นฟ้าบุพกาลจะดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร ในอดีตยามที่ผานกู่ถือกำเนิดขึ้นมา เหล่าจอมเทพฟ้าบุพกาลก็มิได้มองเขาในแง่ดีเช่นกัน
“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนถือกำเนิดขึ้นตามชะตา คุณสมบัติของเขาไม่อาจคาดคะเนได้ อย่าว่าแต่ฟ้าบุพกาลเลยแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดตามชะตามรรคาสวรรค์ก็ปรากฏผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือชั้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเหล่าจื่อและหานเจวี๋ย”
ผานซินตกอยู่ในห้วงความคิด
มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากผลึกหินสีม่วง ตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของผานซิน
ผานซินลุกขึ้นยืน ค้อมกายคำนับ จากนั้นจึงจากไป
แท่นบูชาหวนสู่ความเงียบสงัด สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไป
….
ณ หมื่นโลกาฉายชัด ภายในห้วงมิติเสมือนจริง เหล่าศิษย์สืบทอดของสำนักซ่อนเร้นนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะตัวหนึ่ง กำลังพูดคุยกันอย่างเข้มข้นร้อนแรง
สิงหงเสวียนพลันปรากฏตัวขึ้น นางหาตำแหน่งว่างแล้วนั่งลง
ปิดด่านมานาน นางเองก็ต้องการผ่อนคลายบ้างเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของแดนเซียน
หมื่นโลกาฉายชัดเป็นศูนย์กลางสำหรับแลกเปลี่ยนข่าวสารของสำนักซ่อนเร้นเสมอมา แม้แต่หลี่เต้าคงที่พิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะแล้วก็ยังกลับมาเป็นประจำ มิได้มีช่องว่างเหินห่างกับเหล่าศิษย์สืบทอดเพียงเพราะตนเป็นอริยะเลย
สิงหงเสวียนได้ยินพวกเขาพูดคุยเรื่องพิธีบวงสรวงหมื่นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ เอ่ยนามของบุตรแห่งสวรรค์ออกมาไม่น้อยเลย
เช่นตู๋กูสิง เซวียนหยวนเช่อ ฉินหลิง หวาอิน เจ้าเจิ้งเป็นต้น
สิงหงเสวียนรับฟังอย่างได้อรรถรส แดนเซียนมีสีสันขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ
นางอดไม่ได้ที่จะลูบไล้หน้าท้องของตน แววตาปรากฏความคาดหวัง
ไก่คุกรัตติกาลเห็นสิงหงเสวียนปรากฏตัวขึ้น จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าว่า หลังถือกำเนิดแล้วนายน้อยของพวกเราจะมีคุณสมบัติอย่างไร”
ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ ทุกคนล้วนมองไปทางสิงหงเสวียน
สิงหงเสวียนคือคู่บำเพ็ญเพียรที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของหานเจวี๋ย เหล่าศิษย์จึงไม่กล้าพูดจาหยอกล้อ
หลี่เต้าคงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “หนึ่งในใต้หล้า”
เขาไม่ได้เจตนาจะอวดอ้าง แต่ในฐานะเผ่ามนุษย์ การตั้งครรภ์หลายหมื่นปี สายเลือดคงก้าวข้ามระดับเซียนไปแล้ว ต่อให้เป็นบุตรแห่งมหาเคราะห์ก็สู้ไม่ได้
เหล่าศิษย์ที่เหลือต่างเห็นด้วย
สิงหงเสวียนส่ายหน้าพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้คุณสมบัติดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร พวกเจ้าไม่รู้จักอาจารย์ของพวกเจ้าหรือไร หลังเด็กคนนี้ถือกำเนิดต้องถูกกักตัวไว้ในเขตเซียนร้อยคีรี ไม่ได้ออกไปไหนแน่นอน”
นางมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของหลี่เต้าคง
นางทราบถึงคุณสมบัติของบุตรตนดีที่สุด เพราะมีเขาคอยช่วยเหลือ ตบะของนางถึงเพิ่มขึ้นเร็วกว่าแต่ก่อนมากนัก ถึงขั้นที่สามารถใช้คำว่าเพิ่มขึ้นฉับพลันมาบรรยายได้
………………………………………………………………