บทที่ 705 น้องหาน
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังสอดส่องแดนเซียนอยู่ เสียงของจอมอริยะเสวียนตูก็แว่วขึ้นในหูเขา “สหายเต๋าหาน มาที่ตำหนักเอกภพเถอะ”
คนผู้นี้รู้จังหวะจริงๆ
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเก็บหนังสือแห่งความโชคร้ายและหินวิญญาณมรรคาสวรรค์เข้าไปในโลกอนธการ แบ่งสมาธิไปจัดการ ให้มันผสานรวมกันต่อไป
เขามายังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เข้าสู่ตำหนักเอกภพ
เหล่าอริยชนทยอยตามมาถึง
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
เรื่องตำแหน่งอริยะใหม่นั่นเอง
หานเจวี๋ยทำเช่นเดียวกับที่ผ่านมา นั่งฟังเหล่าอริยะถกเถียงกันโดยไม่ปริปากพูดเลย
มหาจักรพรรดิเซียวกล่าวว่า “เผ่ามารควรมีตำแหน่งอริยะได้แล้ว ข้ารอคอยมานานหลายยุคนัก”
ฉิวซีไหลเอ่ยถากถาง “สำนักพุทธนิกายตะวันตกของข้าก็รออยู่เช่นกัน!”
เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยแดกดันว่า “เดิมทีนิกายเหรินมีสองตำแหน่ง จอมอริยะสร้างคุณูปการสูงยิ่ง สมควรเห็นใจนิกายเหรินบ้าง ใช่หรือไม่ทุกท่าน!”
จอมอริยะเสวียนตูเหลือบมองเทพสูงสุดหนานจี๋แวบหนึ่ง รู้สึกฉงนอยู่ในใจ ตนไปล่วงเกินเทพสูงสุดหนานจี๋เข้าตอนไหนกัน
ผานซินเอ่ยว่า “เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลจำเป็นต้องมีอริยะ ตำแหน่งนี้สมควรยกให้ข้า”
เขาก็เริ่มหน้าหนาแล้ว แสดงความต้องการออกไปตรงๆ ไม่ลงคะแนนเสียงอีก
ชั่วขณะนั้น เหล่าอริยะเริ่มถกเถียงและมีปากเสียงกัน ต่างก็โต้เถียงกันอย่างบ้าคลั่ง
สือตู๋เต้าลุกขึ้นเดินจากไป
หลี่เต้าคงก็รีบตามออกไปเช่นกัน ไม่นานนัก แรงกดดันจากการต่อสู้ของสองอริยะพลันแผ่ซ่านผ่านอากาศเข้ามา
หานเจวี๋ยกลับไม่จากไป รับชมเหล่าอริยะโต้เถียงกันอย่างได้อรรถรส
เขาทิ้งระยะห่างจากเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ รวมถึงผานซินและจอมอริยะเสวียนตู ทั้งหมดล้วนไม่สามารถคุกคามเขาได้แล้ว มองเหล่าอริยะทะเลาะถกเถียงกัน ก็นับว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้ช่วงเวลาบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายของเขาได้ส่วนหนึ่ง
ผ่านไปสักพักใหญ่
จอมอริยะเสวียนตูมองหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “สหายเต๋าหานคิดเห็นอย่างไร”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ถามข้าหรือ เช่นนั้นก็ให้ข้าเถอะ เลี่ยงไม่ให้ทุกคนต้องแตกคอกัน”
เหล่าอริยชนผงะไป ต่างก็รู้สึกแปลกใจ
นี่มิใช่วิสัยของหานเจวี๋ยเลย
ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นมาทันที “ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน!”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยกล่าวว่า “สหายเต๋าหานสร้างคุณูปการต่อมรรคาสวรรค์มหาศาลนัก สมควรยกตำแหน่งอริยะให้สำนักซ่อนเร้นจริงๆ”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฟางเหลียงและหวงจุนเทียนต่างเห็นพ้องเช่นกัน
สีหน้าผานซินเรียบเฉย ทว่าในใจบิดเร่าๆ อยู่
เขาแน่ใจแล้ว อริยะห้ารายนี้ยืนอยู่ฝ่ายหานเจวี๋ยแน่นอน!
ยังมีหลี่เต้าคงที่ออกไปเมื่อครู่อีก อีกทั้งจอมอริยะเสวียนตูก็เอาใจหานเจวี๋ยอยู่ตลอด เจ็ดอริยะให้การสนับสนุนหานเจวี๋ยอย่างมั่นคง
เทพสูงสุดหนานจี๋ก็มองสถานการณ์ออกแล้วเช่นกัน เลือกสนับสนุนหานเจวี๋ยทันที ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องเลือกข้างแล้ว หากติดตามหานเจวี๋ยเขาย่อมได้อยู่อย่างสำราญ
ถึงอย่างไรผานซินและจอมอริยะเสวียนตูก็เป็นหัวเรือให้มรรคาสวรรค์ไม่ได้
แปดอริยะ…
รวมหานเจวี๋ยเข้าไปด้วย ก็นับเป็นเก้าอริยะ!
เปลือกตาผานซินกระตุกแวบหนึ่ง สถานการณ์ไม่สู้ดีเลย
เขามองไปที่หานเจวี๋ยทันที เอ่ยถามว่า “สหายเต๋าหานต้องการแย่งกับข้าหรือ”
ต่อให้เขาวางแผนเล่นเล่ห์ไม่เป็นสักแค่ไหนก็ยังมองออกเช่นกัน เหล่าอริยะยกให้หานเจวี๋ยเป็นผู้นำ หากหานเจวี๋ยยอมยกให้เขา อริยะรายอื่นๆ ล้วนจะไม่คัดค้าน
เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่า ที่ผ่านมาเป็นความคิดของหานเจวี๋ยใช่หรือไม่ที่ให้เหล่าอริยะมาเล่นเล่ห์ใส่เขา
หานเจวี๋ยถามกลับ “เจ้าอยากได้มากหรือ”
ผานซินตอบ “แน่นอนอยู่แล้ว!”
“เจ้าต้องการเลือกผู้ใด”
“ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดไว้”
“เช่นนั้นคือยังไม่มีผู้ที่เหมาะสม เจ้าแค่อยากยึดตำแหน่งไว้ก่อนกระมัง ข้าขอเสนอเต้าจื้อจุนศิษย์ของสำนักซ่อนเร้น คุณสมบัติของเขาทุกท่านน่าจะทราบกันดี”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเรียบเฉย เหล่าอริยะได้ฟังต่างก็พยักหน้ารับ
เต้าจื้อจุน อดีตบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของแดนเซียน ยามนี้เป็นยอดฝีมือระดับครึ่งอริยะ มีคุณสมบัติจริงๆ!
ผานซินขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลจำเป็นต้องมีอริยะคอยประจำการ หากทุกท่านต้องการเช่นนี้ ก็ส่งอริยะสักคนไปที่ฟ้าบุพกาลเถอะ”
เหล่าอริยชนเงียบงัน
หานเจวี๋ยก็เงียบไปเช่นกัน
ผู้ใดจะกล้าไปที่ฟ้าบุพกาลเล่า!
เมื่อออกห่างจากมรรคาสวรรค์ อริยะมรรคาสวรรค์อย่างพวกเขาล้วนตายได้ทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยหวั่นเกรงจอมเทพฟ้าบุพกาลเข้าแล้ว ยิ่งไม่มีทางยอมออกไป
ผานซินคล้ายจะสกัดทัพอริยะได้แล้ว เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกเจ้าล้วนใจฝ่อ ไยต้องมาแย่งชิงกับข้าอีก ข้าก็ทำเพื่อมรรคาสวรรค์เช่นกัน วันหน้ามรรคาสวรรค์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก จำเป็นต้องให้อริยะมุ่งหน้าไปบุกเบิกฟ้าดินที่ฟ้าบุพกาลเช่นกัน อย่าให้การแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ของพวกเจ้าถ่วงรั้งการพัฒนาของมรรคาสวรรค์เลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ยกให้เจ้าแล้วกัน แต่ต้องคัดเลือกจากภายในมรรคาสวรรค์เท่านั้น”
ผานซินตอบ “แน่นอนอยู่แล้ว”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยต่อว่า “เรื่องตำแหน่งอริยะใหม่ก็ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสหายเต๋าผานเถอะ”
เหล่าอริยะที่เหลือเห็นหานเจวี๋ยตอบตกลงแล้ว ย่อมไม่มีความเห็นอีก การประชุมครั้งนี้ของเหล่าอริยะจึงสิ้นสุดลงเช่นนี้
เหล่าอริยะต่างจากไป
ผานซินเชิญหานเจวี๋ยไปเป็นแขกที่ตำหนักผานกู่ หานเจวี๋ยก็ไม่ปฏิเสธ
เมื่อทั้งสองมาถึงตำหนักผานกู่ก็พากันนั่ง หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าผานกู่เปิดใช้เขตหวงห้ามแล้ว ป้องกันการสอดส่องของอริยะคนอื่นๆ
ผานซินถอนหายใจคราหนึ่ง ถอนใจหนักหน่วงยิ่ง
หานเจวี๋ยแสร้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สหายเต๋าผานได้ตำแหน่งอริยะสมใจแล้ว เหตุใดจึงทอดถอนใจเล่า”
ผานซินกลับเอ่ยว่า “สหายเต๋าหาน ข้าอายุมากกว่าเจ้า ซ้ำยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยเก่า ไม่สู้พวกเรามาเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้องเถิด พี่ชายอย่างข้าลำบากนัก เรื่องราวในอดีตเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาแล้ว ยามนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น แต่กลับถูกบังคับให้ต้องพัฒนาตน ไม่มีอิสระเลยสักนิด ข้ามีใจอยากทดแทนคุณมรรคาสวรรค์ แต่เหล่าอริยะมักจะกีดกันข้า…”
เขาเริ่มบ่นพล่ามไม่รู้จบ
ได้ยินคนผู้นี้แทนตัวว่าพี่ชาย หายเจวี๋ยก็อดหรี่ตาไม่ได้ ลังเลว่าควรจับผานซินยัดใส่คุกสวรรค์อนธการตอนนี้เลยดีหรือไม่
“น้องหาน ต่อไปเจ้าต้องให้การสนับสนุนพี่ชายอย่างข้านะ ข้ารู้ว่าสาเหตุที่เจ้าปกป้องมรรคาสวรรค์ เพียงเพราะอยากได้รับการคุ้มครองของมรรคาสวรรค์ ข้ามาปกป้องมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์ปกป้องเจ้า พวกเราร่วมมือกัน มุ่งหน้าสู่มหามรรคไปด้วยกันได้แน่!” ผานซินพูดจาทะเยอทะยานนัก
ครั้งนี้หานเจวี๋ยเป็นฝ่ายยกตำแหน่งอริยะให้เขาก่อน ทำให้เขาพอจะมองเห็นความหวัง
หากดึงหานเจวี๋ยมาเป็นพวกได้ มรรคาสวรรค์ก็อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว!
แค่คิดผานซินก็ตื่นเต้นยิ่งนัก
หานเจวี๋ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยากปกครองมรรคาสวรรค์ขนาดนั้น ข้าว่าเจ้ายังไม่มีความสามารถในการดูแลจัดการมรรคาสวรรค์อย่างแท้จริง”
ผานซินพูดคุยโวไปอย่างหน้าด้านๆ ว่า “ความสามารถเป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเลือก ต่อให้จอมอริยะเสวียนตูจะมีความสามารถแค่ไหน แต่อาจารย์ของเขาคือเหล่าจื่อแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม!
“ข้าไม่เห็นด้วยเลย ข้าคือทายาทรุ่นหลังของผานกู่ ปกป้องมรรคาสวรรค์ก็คือการดูแลคุ้มกันเทพยักษาผานกู่!”
หานเจวี๋ยถาม “หลังจากเจ้ารวมมรรคาสวรรค์เป็นหนึ่งแล้วจะทำอย่างไรต่อ”
มาแล้ว!
ผานซินข่มความลิงโลดยินดีไว้ เขารู้สึกว่าตนกำลังจะทำสำเร็จแล้ว!
เขาไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ แต่ใคร่ครวญแล้วค่อยกล่าวว่า “เสวียนตูคิดพัฒนาสู่ฟ้าบุพกาลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่หากมรรคาสวรรค์ต้องการตั้งตัวในฟ้าบุพกาลอย่างมั่นคงจริงๆ ยังคงต้องหาที่พึ่ง ในขณะที่มรรคาสวรรค์กำลังพัฒนาอยู่ ข้าได้เสาะแสวงหาที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ให้มรรคาสวรรค์แล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถสั่นสะเทือนแดนเทพหวนปัจฉิมได้ เป้าหมายแรกของข้าคือดวงจิตมหามรรคเก่าแก่โบราณ ถึงแม้ดวงจิตมหามรรคจะอยู่ในระดับเดียวกับอริยะมหามรรค แต่ดวงจิตมหามรรคโบราณเหล่านั้นล้วนมีพลังสะกดข่มอริยะมหามรรคได้”
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา
ผานซินก็ยิ้มตามพลางถามว่า “น้องหานก็เห็นด้วยกับความคิดของพี่ใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยซัดฝ่ามือใส่ทันที โจมตีลงบนร่างของผานซิน
ผานซินไม่ทันตั้งตัว แข็งทื่อไปทันที พลังเวททั่วร่างถูกฝ่ามือผนึกสุญญตาผนึกไว้ วิญญาณก็ไม่สามารถหนีออกจากร่างได้
“เจ้า…”
ผานซินเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หานเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง พาเขากลับมาที่อารามเต๋าในเขตเซียนร้อยคีรีทันที
ผานซินถูกโยนใส่คุกสวรรค์อนธการ เขาจ้องหานเจวี๋ยเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ หวาดหวั่นและสับสน
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหานเจวี๋ยถึงลงมือ
ทั้งยังหวาดหวั่นในพลังของหานเจวี๋ย
สับสนว่าหานเจวี๋ยอาศัยสิ่งใดถึงสามารถสะกดเขาไว้ได้
………………………………………………………………